Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

The Alex Blake Charlie Sessions ครั้งแรกกับ Music Festival ในโรงงานผลิตไฟฟ้า

The Alex Blake Charlie Sessions มิวสิกเฟสติวัลของสิงคโปร์ นำเสนอประสบการณ์ใหม่ให้กับซีนเทศกาลดนตรี ด้วยการเปลี่ยนโรงงานผลิตไฟฟ้าเก่าแก่ให้กลายเป็นพื้นที่ให้อิสระในการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ถึงความภาคภูมิใจในความหลากหลายทางเพศ ผ่านทั้งดนตรี และงานศิลปะ ก็น่าสนใจนะว่าเขาจะขมวดรวมทุกสิ่งที่ว่าให้เกิดขึ้นใน Pasir Panjang Power Station ภายในวันเดียวได้ยังไง วันเสาร์ที่ผ่านมา Fungjaizine ก็ได้ไปพิสูจน์ความตั้งใจของพวกเขามาเป็นที่เรียบร้อย ต้องบอกว่าเกินคาดมาก ๆ

7 ธันวาคม 2562

The Alex Blake Charlie Sessions

ว่ากันตามตรงเราก็นึกไม่ออกหรอกว่า Pasir Panjang คือส่วนไหนของประเทศ แต่พอลองดูแผนที่ก็พบว่ามันคือโซนที่ห่างจาก Sentosa ไปในระยะเวลา 15 นาทีขับรถ แต่ย่านนั้นมันมีอะไรให้ดูล่ะ? การมี The Alex Blake Charlie Sessions เลยทำให้รู้ว่าเขามีมรดกทางประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมคือ Pasir Panjang ‘A’ Power Station หรือโรงงานผลิตไฟฟ้าที่สร้างขึ้นในยุค 50s มีความเก่าแก่เป็นอันดับสองของสิงคโปร์ แต่ช่วงปี 1997 รัฐบาลก็ไม่ได้ใช้งานที่โรงงานนี้อีก และขายสัมปทานให้เอกชนได้มาเช่าซื้อพื้นที่ต่อ ความโชคดีคือทีม 24 Owls โปรโมเตอร์ผู้จัดงาน  St. Jerome’s Laneway Festival Singapore ที่สร้างความประทับใจให้คอเฟสติวัลในเอเชียมาอย่างยาวนานพับโปรเจกต์ไปในปีนี้ เพราะพวกเขาเบนเข็มมาเนรมิตโรงงานไฟฟ้าที่สามารถจุผู้ชมได้ 5,000 ชีวิต ให้มี 3 เวที (‘A’ Stage, The Nest และ Club B) โซนแสดงงานศิลปะ กิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจ อาหาร และเครื่องดื่ม ให้พวกเราได้ใช้ชีวิต ดูวงดนตรี นั่ง กิน นอน ได้ตั้งแต่เที่ยงวันถึงเที่ยงคืน

The Alex Blake Charlie Sessions

อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องพูดถึงคือชื่องาน ทีแรกเราก็คิดละ ทำไมตั้งชื่อให้มันจำยากขนาดนี้ The Alex Blake Charlie Sessions (ต่อไปจะขอเรียกเป็น ABC) แล้วก็มาสังเกตว่า เฮ้ย ทั้งสามชื่อมันเป็นชื่อที่ใช้ได้ทังผู้หญิงผู้ชายเลยนี่หว่า แล้วมันก็เข้ากับคอนเซ็ปต์ที่ตั้งใจให้เฟสติวัลนี้มีไลน์อัพที่ดีเจ หรือวงที่มีสมาชิกหลักเป็นผู้หญิง หรือ non-binary เพราะพวกเรารู้สึกว่าหลายปีที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ อุตสาหกรรมดนตรีถูกถือครองโดยศิลปินและโปรดิวเซอร์ชายเป็นใหญ่มายาวนาน เราเลยคิดว่าจะเป็นไปได้ไหมที่จะลองสร้างความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเพื่อให้โลกได้รู้ว่า ยังมีคนที่สามารถนำเสนอผลงานที่เจ๋ง ๆ ที่ไม่ใช่แค่ผู้ชายเช่นเดียวกัน ซึ่งวงที่มาเล่นก็มีหลากหลายแนวตั้งแต่ป๊อป r&b ยันพังก์ร็อก ที่มาจากทั้งสิงคโปร์เอง และนานาชาติอีกหลายประเทศ อันนี้น่าสนใจนะ เพราะขนาดแฟนเราเองบอกว่าไม่เคยรู้มาก่อนว่าโลกเรามีนักร้องหญิงเยอะขนาดนี้ เขามารู้จากการที่เราแชร์เพลงกับเขา บวกกับที่เราจะมางาน ABC พอเขาเห็นไลน์อัพก็รู้สึกทึ่งมาก แล้วลองนึกดูคนส่วนใหญ่โดยรอบอาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผู้หญิงและเพศทางเลือกก็มีศักยภาพพอที่จะมาเป็นแนวหน้าของซีนดนตรีได้อย่างทัดเทียม โดยงานนี้ก็มีตัวปัง ๆ อย่าง Stella Donnelly, Anna of the North, Kero Kero Bonito, Nancy และ Rayna จาก LCD Soundsystem กับอีกหลายคนที่รอให้เราได้ลองชิมเพลงมัน ๆ จากพวกเขา

เรามาถึงเฟสติวัลตอนเที่ยงครึ่ง จัดแจงตรวจกระเป๋า และริสต์แบนด์อะไรเรียบร้อย แล้วเข้าไปเดินสำรวจภายในโรงงาน เรียกว่าตื่นตาตั้งแต่ภายนอกที่ดูยิ่งใหญ่ เพราะตัวอาคารก่อสร้างด้วยอิฐแดง มีปล่องควันเท่ ๆ และหน้าต่างดูขึงขัง ให้ความรู้สึกว่ามึง เขาจัดที่โรงงานจริง ๆ ไม่ได้ล้อเล่นแล้วยิ่งพอเข้าไปเห็นโครงสร้างด้านในก็ต้องร้องโห คือมันใหญ่มากจริง ๆ แล้วเขาก็จัดการปรับปรุงพื้นที่ใหม่ แต่ยังคงความเป็น industrial เอาไว้ได้เท่ โครงเสาที่เปลือยไว้ให้เห็นชัด ๆ กับความเป็นโถงสูงโล่งโปร่ง เพิ่มลูกเล่นด้วยกระจกสีที่ทำให้ดูโอ่อ่า และความฉลาดของผู้จัดที่เราขอชมคือ ปกติโรงงานปิด มันน่าจะร้อนอบอ้าวถูกไหม โดยเฉพาะสิงคโปร์ที่เป็นประเทศร้อนชื้นใกล้เส้นศูนย์สูตรด้วยแล้ว แต่งานนี้ ไม่มีความร้อนใดที่น่ากังวล เพราะเขาติดตั้งท่อลมให้โฟลวอยู่เรื่อย ๆ เย็นสบายมาก

The Alex Blake Charlie Sessions

พอชื่นชมสถานที่ไปแล้ว ก็ได้เวลาสำรวจกิจกรรมต่าง ๆ ในงานก่อนวงแรกจะเล่น จากทางเข้าพอเราหันขวาปุ๊บก็จะเห็นโซนนั่งชิล ๆ มีโคมไฟไม้ดัดน่ารัก ๆ สำหรับเอนกายจิบเครืองดื่ม เดินตรงมาหน่อยจะเจอบาร์จิ๋มอ่านไม่ผิดจริง ๆ เพราะมีรูปกลีบน้องตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้าให้เราไปลองเปิดดูเล่น มันเป็น installation ของแบรนด์ Two Lips ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอ่อนโยนและจุดซ่อนเร้น ที่เป็นหนึ่งในที่สุดของงานนี้

และเรารู้สึกว่าเขาพยายามทำให้เรื่องเพศไม่โจ๋งครึ่ม ตั้งแต่ตัวบาร์ที่ทำได้น่ารัก กับดีไซน์มินิมัลพาสเทล (เพราะสีพาสเทลทำให้ทุกอย่างดูซอฟต์ลง) หรือกิจกรรมแลก free drink คือถามว่าส่วนต่าง ๆ ของน้องสาวเราเรียกว่าอะไรบ้าง มาเป็นรูปกราฟิกน่ารักพร้อมช่องว่างให้เติมคำตอบ แคมเล็ก แคมใหญ่ คลิตอริส ฯลฯ เฮ้ยเพศศึกษาไปอีกกกก บางคนก็ตอบถูกหมด บางคนก็ตอบไม่ได้เพราะแม้แต่การศึกษายังสอนเรื่องนี้แบบข้าม ๆ ทั้งที่มันควรจะพูดได้แบบไม่เขิน ก็มันอยู่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกินนี่หว่า

อีกด้านนึงก็มีโซนทำสวย เราสามารถไปจองคิวแต่งกลิตเตอร์และทำผมอัพลุคเฟสติวัลได้ และฝั่งตรงข้ามก็มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เป็นการเขียนหมึกลงบนผิว คล้ายสักแบบชั่วคราว ไม่เจ็บ แต่มันก็อยู่นานประมาณสามสัปดาห์ ส่วนอีกมุมนึงก็จะมี official merchandise ที่ขายหนังสือเกี่ยวกับเฟมินิสต์ การสนับสนุนการแสดงออกซึ่งตัวตนอะไรต่าง ๆ และมีเสื้อ tote bag ลายของทางงาน กับศิลปินที่มาร่วมแสดงงานศิลปะในงานนี้

พูดถึงศิลปินที่มาแสดงในงาน ไม่ได้มีแค่วงดนตรีหรือดีเจ แต่มีสาย graphic designer, fine art, illustrator มาด้วย ซึ่งทั้งสี่คนก็เป็นศิลปินหญิงและเพศทางเลือกได้มาเพนต์ลงบนมิวรัลขนาดใหญ่อยู่ที่ผนังโรงงานอีกฝั่ง ลายเส้นของทุกคนเป็นเอกลักษณ์ โดดเด่นในแบบของตัวเองมาก ๆ และมีเรื่องราวที่แตกต่างกันไป หนึ่งในนั้นมีศิลปินจากไทยคือ โอ๋ หทัยรัตน์ หรือพี่โอ๋ Futon กับงานที่ชื่อ ‘Hark Back’ ในคอนเซ็ปต์ที่ว่า เพลงหนึ่งเพลง ถ้าฟังโดยคนแต่ละคน อาจจะตีความหรือได้ความรู้สึกที่ต่างกันไป ตามแต่ประสบการณ์หรือบริบทที่แต่ละคนได้รับ ภาพเลยออกมาเป็นสี่ตัวละครที่บุคลิกลักษณะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ได้เวลาของวงดนตรีกันแล้วกับวงแรกเวลา 12.40 แม้ตอนนี้คนดูจะยังบางตา แต่ก็มีหลายคนที่มาให้กำลังใจ SOAK ศิลปินอินดี้ป๊อปจากไอร์แลนด์ ขึ้นเล่นที่ The Nest ฝั่งซ้ายมือ เธอได้รางวัล Irish Choice Music Awards ปี 2015 และได้เสนอชื่อเข้าชิง Mercury Prize ในปีเดียวกัน ก็เล่นเพลงอินดี้โฟล์ก Go Set Go Kid ต่อด้วยเพลงน่ารัก ซินธ์เสียงใสกระฉับกระเฉง Knock Me Off My Feet แล้วก็เป็นอินดี้ป๊อปจังหวะกลาง ๆ  Maybe และ I Was Blue, Technicolour Too เรามายืนดูเธอได้ไม่นานก็ต้องเตรียมไปสัมภาษณ์ศิลปินซะแล้ว แต่จากที่ดูแล้วสำหรับเรารู้สึกว่าโชว์ยังแอบเนือย ๆ ไปหน่อย

พอคุยกับ Stella Donnelly ในห้องสัมภาษณ์เสร็จ (น่ารักมาก ๆ รออ่านกันด้วย) เราก็ออกมาได้ยินพังก์มัน ๆ จาก ‘A’ Stage ที่อยู่ฝั่งขวา ซึ่งมีวง Dream Wife เล่นอยู่ เราไม่เคยฟังเพลงวงนี้มาก่อน แต่อินเนอร์ทำให้นึกถึงวงแบบ The Runaways, Bikini Kill, Wolf Alice แค่ได้ยินไกล ๆ แค่นั้นก็รีบวิ่งไปดูเลย พอไปถึงก็เจอนักร้องนำหน้าสวยอย่างกับ Elle Fanning แต่กรีดร้องและวิ่งไปรอบ ๆ เนื้อหาเพลงก็เป็นประเภทสาว ๆ ปลดแอกไม่แคร์สื่อ มือกีตาร์ลุคเท่กีตาร์สีแสบแย่งซีน มือเบสก็ลุคทอมบอยกระโดดไปกระโดดมา เท่ทั้งวงเลย แต่น่าเสียดายที่เราออกมาทันสามเพลงสุดท้ายเท่านั้น คือเพลงใหม่ชื่อ Cheap Thrills, When You Gonna Kiss Me และ Let’s Make Out พลังงานพุ่งพล่านสุด ๆ ระหว่างนั้นเราก็เห็นผู้ชาย 3-4 คนกระโดดมอชใส่กันโคตรมันอยากเข้าไปแจมด้วย แต่มัวถ่ายรูปอยู่ ฮ่า คือทีแรกเราไม่ได้รีเควสขอสัมภาษณ์วงนี้ไป พอดูโชว์จบแล้วรีบขอคิวคุยด้วยเลย น่าสนใจมาก ๆ

จากวงนี้แล้วก็กลับไปที่เวทีเล็ก เจอกับ Vandetta ศิลปินอัลเทอร์เนทิฟ r&b อิเล็กโทรโซล เจ้าบ้าน กับวงแบ็คอัพแกรนด์ ๆ เสียงร้องของเธอเองก็อลังการมากเป็นสายดีว่าโหด ๆ กับสามเพลง Onz, Not Your B และ Boy Next Door ฟังแล้วก็ชวนโยกตาม แต่สักพักเราก็ต้องไปเตรียมสัมภาษณ์ Dream Wife ต่อเลยไม่ทันได้ดูจนจบ

คุยอย่างออกรสกับสามสาวเสร็จ ก็ออกมามันกันต่อที่เวที ‘A’ กับ Goat Girl วงการาจ โฟล์กร็อกวงนี้ ที่หลาย ๆ คนก็ติดตามในความดิบและด่าผู้ชายอย่างออกรสผ่านเพลงของพวกเธออยู่ เรามาทันเพลง Throw Me A Bone มาแบบดาร์ก ๆ อัลเทอร์เนทิฟโฟล์ก ที่ดูแล้วก็แอบเนือยนิดนึง ต่อด้วย The Man ที่เริ่มมันแล้วเพราะมาเป็นการาจเร็ว ๆ นึกถึงเพลงเท่ ๆ แบบ Yellow Fang ก่อนจะกลับมาดิ่งเนือยใน Lay Down แล้วมาต่อในเพลงเท่ ๆ I Don’t Care Part 1 และ 2 และเป็นอีกเพลงดัง Scum กลับมาที่เพลงสุดนัวที่เราชอบมาก ๆ Crow Cries กับ Mighty Despair แล้วปิดท้ายด้วย Country Sleaze กีตาร์ในเพลงนี้ได้ใจเราไปเต็ม ๆ

ตอนนี้เป็นเวลา 15.40 คนดูรีบย้ายเวทีอย่างไวไปสแตนด์บายที่ The Nest ซึ่งตอนนั้น Stella Donnelly ยังกำลังซาวด์เช็กอยู่เลยแต่คนก็เต็มหน้าเวทีแล้ว เธอมาในชุดลายโพลก้าดอตขาวดำ ให้เห็นกางเกงขาสั้นสีชมพูช็อกกิ้งพิงก์วับแวม ถุงเท้ากับเล็บทาสีน้ำเงินและรองเท้าดำ ดูเหมือนหลุดมาจากการ์ตูน น่ารักมาก ๆ ตอนซาวด์เช็กเสร็จก็บอกว่า ทุกคนรอแปปนะ เดี๋ยวกลับมา ๆๆๆๆ ดูเลิ่กลั่กไปหมด ฮ่า แล้วเมื่อพร้อมเธอก็กลับขึ้นเวทีมาพร้อมกีตาร์ เมาท์ออแกน กับมือคีย์บอร์ดชื่อจอร์จ แค่พูดสวัสดีก็เหมือนคนดูโดนตกกันไปหมดแล้ว เธอเริ่มเล่นเพลง Grey กับเสียงร้องที่น่ารักมาก ต่อด้วย U Owe Me ที่เธอบอกว่า ปกติเพลงนี้จะมีร้องด่า แต่รอบนี้จะไม่ด่า มันไม่ค่อยดีน้า แล้วในเพลงก็พูดถึงเบียร์ออสเตรเลียยี่ห้อนึงที่ไม่ค่อยอร่อย คราวนี้เธอจะแทนด้วยชื่อเบียร์ Little Creatures ที่มาขายในงานแล้วชมว่าอร่อยแทน ส่วนคำว่า ‘fuck’ ในเพลงเธอก็แทนด้วย ‘fudge’ ไป ตอนร้อง ๆ อยู่มีท่อนว่างก็พูดชมตัวเองไว ๆ ว่าอุ๊ย ฉลาดจัง คิดได้ไงเด๋อด๋าน่ารักมาก แง

จบจากเพลงนี้เธอก็เล่น Beware of the Dogs ส่วนต่อไปก็บอกว่าฉันกับจอร์จจะเล่นเพลงรักนะคะ แต่ไม่ใช่ร้องให้กันนะ โทษทีนะจอร์จแล้วจอร์จก็เว้นไปแปปนึง ค่อยขำฮ่า ๆแบบโคตรไม่จริงใจ โอ๊ย ฮา มันคือ Mosquito ซึ่งพอลองฟังเนื้อเพลงแล้วเป็นเพลงรักที่เพี้ยนมาก คือพูดถึงอุปกรณ์ช่วยตัวเอง (vibrator) ในเพลงอ้ะแม่คุณ ชอบ ๆ เฟมินิสต์มาก จบเพลงนี้เธอก็บอกว่าดีใจที่ได้มาเล่น แล้วสมาชิกคนอื่น ๆ ก็ขึ้นมาบนเวที เล่นเพลง Old Man และ Season’s Greetings

The Alex Blake Charlie Sessions

เราก็ดูเธอได้ไม่จบ เพราะช่วงนี้เหมือนการดูโชว์จะหายไปทั้งช่วงเพราะมีคิวสัมภาษณ์ติด ๆ กัน ต่อไปเป็นคิว โอ๋ Futon พอดี พอคุยจบก็มาพบว่า Cate Le Bon กำลังเล่นอยู่ ดนตรีอาร์ตร็อกเพี้ยน ๆ กับส่วนผสมที่เราคาดไม่ถึง อย่างในเพลงนิ่ง ๆ แต่ก็มีลูกเล่นที่สนุกอยู่ไม่น้อย แต่ก็ดูได้ไม่นานเพราะมีคิว Anna of the North ให้สัมภาษณ์ต่อด้วย แล้วพอออกมาก็เป็นโชว์ของ Charly Bliss เป็นเพลงพาวเวอร์ป๊อปพุ่ง ๆ แต่มีซินธ์เพราะ ๆ เมโลดี้น่ารักซ่อนอยู่ ได้ดูอยู่แค่สิบนาทีสุดท้ายกับ Hard to Believe, Capacity และ Chatroom

เพราะตอน 17.50 installation ตรงกลางโรงงานที่เป็นเหมือนบล็อก LED ขนาดใหญ่เริ่มมีเสียงดังขึ้น เพราะจริง ๆ แล้วนี่เป็นเวทีดีเจหรือ Club B นั่นเอง โดยตอนนี้ก็มี A/K/A Sounds อีกความภาคภูมิใจของคลับซีนสิงคโปร์อยู่ประจำบูธข้างบน ตอนนั้นเราได้ยินเสียงเพลงคุ้น ๆ มัน Hope Sanvoval วง Mazzy Star ป่าววะ ชัดเลย นั่นคือเพลง Paradise Circus ของ Massive Attack ที่เธอไปร่วมร้อง แต่มันเป็นเวอร์ชันรีมิกซ์ของ Gui Boratto นั่นเอง ก่อนที่เพลงต่อไปจะเป็นเบสหนึบ ๆ ผสม world beat และ raggamuffin ตอนนี้เธอจัดเพลง heavy bass, melodic techno ที่ผสมเอาบีตแบบพวกที่ชอบอยู่ใน tropical house มาด้วย แล้วเพลงต่อไปก็เป็น Raingurl ของ Yaeji มีคนดูที่เต้นอยู่ข้าง ๆ เราช่วยกันร้องไปกับเพลง มันมาก ๆ จากนั้นก็เริ่มเป็นเพลงทรานซ์ ผสมกับเบสหนัก ๆ ได้เอเลเมนต์ของเพลง r&b ยุค 90s ผสมเข้ากับ bpm เร็วรัว แล้วก็เลี้ยงมาเรื่อย ๆ จนเพลงสุดท้ายที่อัดเบสเต็มกะเอาตาย นี่รอไปดูซ้ำที่ Wonderfruit เลยเนี่ย

The Alex Blake Charlie Sessions

ตอนนั้นเราแอบแวะมาหาข้าวกิน ตรงนั้นมีร้านอาหารประมาณ 5 ร้าน ทั้งฮอตด็อก อาหารญี่ปุ่น เกาหลี คีบับ เม็กซิกัน finger food ต่าง ๆ ส่วนเราได้ Soul Slider ร้าน Chix Hot Chicken ที่ขายไก่ทอดสูตรเท็กซัสมา มันเป็นเบอเกอร์ไก่กรอบรสเผ็ดที่อร่อยมาก ๆ กับซอสสีชมพูสูตรพิเศษ กับแตงกวาดอง อร่อยระดับกินหมดต้องดูดนิ้ว แล้ววงที่กำลังเล่นอยู่คือ LEON ศิลปินโซลป๊อป ดิสโก้ป๊อป r&b ฉ่ำ ๆ จากสวีเดนซึ่งว่าตามตรงเราไม่ค่อยอินเพลงของเธอเท่าไหร่นัก เลยหนีไปกดวิสกี้โซดา กับมาการิต้าอีก 2 แก้ว คืออร่อยมาก ๆ นี่คือ Ecospirit ที่เขาเป็นโปรเจกต์เครื่องดื่มแอลกอฮอลที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงถึง 30% ในการกลั่นครั้งหนึ่ง

The Alex Blake Charlie Sessions

พออิ่มและกึ่มได้ที่ ตอนนี้เราก็มาประจำที่เวที ‘A’ ดู Anna of the North ตอน 19.40 หลายคนคงประทับใจจากครั้งที่แล้วเธอได้มาแสดงเปิดให้กับ Honne ที่บ้านเรา (แต่นี่อดไปดูจ้า) หนนี้เธอกลับมาพร้อมอัลบั้มใหม่ที่สดใสและกระฉับกระเฉงกว่าเดิม ลุคอะไรต่าง ๆ ก็ดูเปนเด็กฮิป Odd Future มาก (เธอเคยร่วมงานกับ Tyler, the Creator ด้วย) เปิดมาเพลงแรกพร้อมเสียงกระแอมในเพลง Someone ที่พอจบเพลงเธอก็กล่าวขอบคุณที่ชวนเธอมาเล่นที่นี่ แล้วก็เล่นซิงเกิ้ลสุดน่ารักจากอัลบั้มใหม่ Dream Girl จากที่สัมภาษณ์เธอไปเมื่อบ่าย กับภาพที่เห็นเธอบนเวทีราวกับว่าเป็นคนละคน คือตอนสัมภาษณ์เธอดูไม่มั่นใจ คิดก่อนพูด และประหม่านิดหน่อย แต่พอขึ้นเวทีคือมีความร่าเริง เป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ได้เก่งมาก แล้วก็เป็นอีกเพลงใหม่ Thank Me Later ที่คนก็ช่วยร้องกันดังมาก

เพลงต่อไปเธอถามว่า ‘ทุกคนสนุกไหม ต่อไปจะเล่นเพลงโปรดของเธอแล้ว ให้ขยับเข้ามาใกล้ ๆ’ แต่ก็เล่นไปได้ครึ่งเพลงก็ต้องหยุดแล้วเริ่มใหม่เพราะเหมือนว่ามอนิเตอร์ของเธอไม่ดัง จนเธอคิดว่าเสียงไมค์ PA ไม่ออกแล้วคนจะไม่ได้ยิน นั่นคือเพลง Leaning on Myself แล้วเพลงต่อไปเธอก็บอกให้ทุกคนตื่นตัวกันหน่อย กับเพลงซินธ์ป๊อปสนุก ๆ อีกเพลงของเธอคือ Playing Games แล้วก็มีคนช่วยตะโกนร้องในท่อน ‘Oh my god’ จากนั้นเธอก็ขอให้ทุกคนช่วยกันกระโดดในท่อนสุดท้าย ตามด้วย The Dreamer ที่โชว์เนื้อเสียงของเธอที่ดีมาก ๆ ตามด้วย My Love ที่ชวนทุกคนร้องในท่อนชาลัลลาได้น่ารักเหลือเกิน จนถึงตอนนี้ แอนนาบอกว่าเหลือสองเพลงแล้ว เสียง md ของไซเรนดังขึ้นพร้อมเพลง Lovers และปิดท้ายไปที่เพลง Fire แบบบิลบอร์ดป๊อปชาร์ตสไตล์ คือเป็นโชว์ที่สนุกหลากหลายสไตล์เพลง ดูได้เพลิน ๆ ไม่เบื่อเลย ส่วนตัวเราจะชอบเพลงชุดสองของเธอที่เน้นจังหวะจะโคนกับใช้ live instruments เยอะกว่ามาก

The Alex Blake Charlie Sessions

ต่อกันติด ๆ กับอีกเวทีที่มีโชว์ของวงป๊อป เจร็อก คัลท์ เจ้าของเพลง Flamingo สุดไวรัล ต้นฉบับ internet meme song ในตำนาน Kero Kero Bonito นั่นเอง ซึ่งคนมารอเกาะรั้วตั้งแต่วงยังซาวด์เช็ก 20.25 สมาชิกทุกคนขึ้นมาบนเวที โดยมือซินธ์ใช้วิธีโดดเป็นกบทำเสียงดังเป็นจุดสนใจจนถึงประจำที่ พร้อมกับกดเสียง ‘yeah’ ๆๆๆๆ รัว ๆ แล้วมือกีตาร์ก็ขึ้นซาวด์หนา ๆ เล่นนูเมทัลโหด ๆ ประเดิมเพลงแรก Vertigo งานคัฟเวอร์ของวงรุ่นเก๋า U2 ที่แม่ Sarah Bonito มาอย่างคาวาอี้เป็นไอดอลญี่ปุ่นเสียงใส บทจะว้ากก็ว้ากโคตรโหด จากนั้นก็เล่น Lipslap มีท่อนร้อง dance dance ชวนหนุ่ม ๆ หัวใจวายไปกับความน่ารัก  แล้วก็เป็นเพลง แฟนเซอร์วิสรัว ๆ แล้วเพลงต่อไป เริ่มมาอย่างร็อก แต่เมโลดี้คือรู้ทันทีว่าเป็นเพลงฮิต Flamingo แฟนเพลงที่เกาะขอบข้างหน้าเอาตุ๊กตานกฟลามิงโก้มาโบก ส่วนซาร่าเองก็มีของเธอ โบกหากันแบบรู้คิว แล้วทุกคนร้องได้ตั้งแต่ท่อนแรกHow many shrimps do you have to eat, before you make your skin turn pink?’

แล้ววิธีการต่อเพลงของพวกเขาคือการพูดชื่อเพลงเข้าไปในประโยคนึง เช่นรู้อะไรไหม นี่ฉันกำลังแสดงอยู่นะคือเพลง Only Acting เท่มาก ต่อด้วย Flyway แล้วก็พูดว่าได้เวลาพักแล้วล่ะซึ่งก็คือเพลง Break พวกแฟน ๆ ก็ร้องเอ่โอ เอะ เอโอพร้อมเพรียง จบเพลงนี้ก็บอกว่าหมดเวลาพักแล้ว เราจะกลับมาปาร์ตี้กันต่อก็เข้าเพลง My Party โดยมือซินธ์ชวนให้ทุกคนตบมือตามจังหวะ จากที่เล่นเป็นซาวด์แทร็คในเกมน่ารัก ๆ ก็ตัดเข้าพาร์ตเจร็อก แล้วท่อนบริดจ์ ซาร่าก็ตะโกนว่าโซโล่เสียงซินธ์บรรเลงเป็นดนตรีอียิปต์ เหวอมาก ๆ ชอบมาก ๆ แล้วก็เป็นเพลงเจป๊อปอีกรอบในเพลง Battle Lines ที่เธอว้ากเอา ๆ ตามด้วยเพลงช้า When the Fires Come ที่เอาตุ๊กตาจระเข้มาวางไว้บนหัว

จากนั้นก็เล่นเพลงใส ๆ Make Believe พอจบเธอก็ถามว่าไหนใครพร้อมจะร็อกบ้างต่อด้วย Trampoline ที่เล่นเดือด ๆ ที่เธอดูจะสนุกกับการว้ากมาก ก่อนจะบอกเมรี่คริสต์มาสทุกคน และลงเวทีไป เป็นโชว์ที่พลังพุ่งพล่านสุด ๆๆๆ  ทุกคนโดดกันกระจาย ให้ดูอีกกี่ทีก็จะดู

The Alex Blake Charlie Sessions

แล้วพอสามทุ่มห้านาที เพลงจากเวทีดีเจหรือ Club B ก็ดังขึ้น คราวนี้ดังสนั่นกว่าเดิมเท่าตัว เหมือนความมันที่แท้จริงได้เริ่มแล้ว กับ Ginette Chittick ดีเจที่เลือกเปิดเพลงร็อก อิเล็กโทรแคลช อินดี้แดนซ์รัว ๆ แต่เสียงดังมากขนาดอยู่ใกล้ลำโพงไม่ได้เลย มีทั้ง Never Miss A Beat ของ Kaiser Cheif, Paper Plane ของ M.I.A., Franz FerdinandTake Me Out, Peter Bjorn JohnYoung Folks, MGMTTime To Pretend, Yeah Yeah Yeahs Zero, BlurGirls and Boys, The CureFriday I’m In Love, The WannadiesYou & Me Song แล้วปิดท้ายด้วยเพลงเบา ๆ อย่าง Intro ของ The XX เซ็ตลิสต์นี้คือถูกต้อง เป็น indie favorite ของเด็กยุค 2000s อย่างเรา ๆ เต้นแร้งเต้นกากันสนุกมาก ลืมว่าอายุจะแตะสามสิบกันอยู่แล้ว แง

ก็นั่นแหละค่ะ จบโชว์นี้เราถึงกับต้องนั่งพัก รู้เลยนะคะว่าสังขารไม่ไหวหลังจากโดนพลังเบสอัดใส่หูอย่างหนักหน่วง ระหว่างนั้นก็เป็นโชว์ของ ALMA ที่เสียงแหลมแสบแก้วหูมาก ไม่อินเพลงอย่างแรง มีแค่บางอันที่ผสม ๆ เทคโนเข้ามา แต่จะให้ลุกไปฟังก็ไม่ไหวเลยนั่งรอจน headliner ขึ้น นั่นก็คือ Ladies of LCD Soundsystem ที่ซาวด์ดังพุ่งอีกเหมือนกัน อันนี้เป็นเหมือน after party กลาย ๆ หลายคนกลับบ้านไปแล้ว ส่วนคนที่เหลืออยู่คือผู้รอดชีวิตค่ะ!

The Alex Blake Charlie Sessions

เวลาอีกสิบหน้านาทีห้าทุ่ม Rayna ขึ้นมารับหน้าที่เปิดเพลงบิลด์ก่อน ไอ้เราก็ย่ำ ๆ ไปแบบอ่อนแรง เพลงค่อนข้างหนักและหนืดกินพลังงานพอสมควร แต่ก็เข้าใจว่าเปิดเลี้ยงรอให้เซ็ตของอีกคนพุ่ง ๆ wrap จบงาน พอประมาณห้าทุ่มครึ่ง Nancy ก็มารับช่วงต่อกับเซ็ตที่อัพบีตขึ้น ตอนนี้เสียงดนตรีเทคโนดังอาบไปทั่วโรงงานไฟฟ้า ไฟฉาบให้ทั้งฮอลเป็นสีสันต่าง ๆ อร่ามตา หลายคนก็น่าจะเมาแล้ว บางคนที่ยังไหวก็เต้นสุดตัว สองคนที่เห็นยังอยู่ก็คือมือกีตาร์และมือเบสวง Dream Wife ที่มีช่วงนึงก็วิ่งไปคว้ามือทุกคนวิ่งไปรอบ ๆ รวมถึงเราด้วย สนุ๊กกกก แล้วพอใกล้เที่ยงคืน แม่เปิด Starry Night ของ Peggy Gou จ้าาาา โอเค ครบสูตรความฟิน กลับบ้านได้

เป็นช่วงเวลาอันแสนยาวนานที่มีความสุขมาก ๆ กับหลาย ๆ ศิลปินใน The Alex Blake Charlie Sessions มีหลายวงที่เราไม่คุ้นเคย แต่พอมาดูก็โดนตกไปตามระเบียบ ดีใจที่ทีมจัดงานแบบนี้ขึ้นมาให้พวกเราได้ celebrate ความหลากหลาย ทั้งทางวัฒนธรรม ทางเพศ ทางแนวดนตรี ที่ทำให้เห็นว่ามันไร้ขีดจำกัดมากจริง ๆ แล้วก็จัดสรรสเปซได้เท่มาก ๆ ใครจะไปคิดว่าจะมีเทศดาลดนตรีในโรงงานผลิตไฟฟ้าได้ จริงไหม แต่ต้องบอกนิดนึงว่ามันแอบทรมานเหมือนกันจากการจัดให้ศิลปินเล่นไม่ชนกันเลยในแต่ละเวที คือใครที่อยากดูครบทุกวงก็ฟิน ๆ แหละ แต่เหมือนเราติดอยู่ในงานทั้งวันเพราะงานนี้ no re-entry ออกไปที่อื่นแล้วกลับเข้ามาไม่ได้ ซึ่งส่วนตัวเราโอเคกับการจัดไลน์อัพเหลื่อมกันมากกว่า ชนกันไม่ว่า เราก็จัดเวลาดี ๆ ให้คนดูมีตัวเลือก ไม่อยากดูวงไหนจะได้ไปดูอีกวง เพราะเอาจริงกิจกรรมในงานก็ถือว่ายังน้อยอยู่ หมดสิ่งที่จะทำแล้วแม่นอกจากนอนรอ

The Alex Blake Charlie Sessions

แต่ก็นะเห็นใจทุก ๆ ฝ่ายเพราะทางคนจัดงานก็อยากให้ร้านอาหารกับเหล้าเบียร์ในงานขายได้ เหมือนเป็นการกันคนออกไปเผาหัวข้างนอก และอยากให้ศิลปินที่มาแสดงได้รับโอกาสในการเป็นที่รู้จักแบบทั่วถึง อาจจะเป็นคนมาร่วมงานที่ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมด้วย คิดได้หลายมุม ก็ฝากพิจารณาในโอกาสต่อ ๆ ไป เริ่มต้นได้สวยงามแล้ว ถ้าไลน์อัพเจ๋งแบบนี้อีกเราก็อยากมาอีกจ้า เชียร์อยู่ ๆ  (แถม ห้องน้ำสะอาดมากด้วย เย่) ก็ขอบคุณทีม 24 Owls ที่ชวน Fungjaizine มาเป็นส่วนหนึ่งของงานในครั้งนี้ด้วยนะ

The Alex Blake Charlie Sessions

Photo of Dream Wife courtesy of Yelyn Yeo and cover photo of Anna of the North by Alvin Ho

อ่านต่อ
ปิดฉาก Primavera Sound ด้วยโชว์สุดมันหลังปล่อยอัลบั้มใหม่ของ Arctic Monkeys
Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้