Article Feature Import

4 เพลงจาก The Vault ในอัลบั้ม Red (Taylor’s Version) ที่จะพาให้เรากลับมาตกหลุมรัก Taylor Swift อีกครั้ง

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา Taylor Swift ได้ปล่อยอัลบั้ม “Red (Taylor’s Version)” ออกมา ซึ่งนอกจากจะมีเพลงมากมายจาก The Vault ที่เธอได้เก็บไว้ฟังคนเดียวมานานนับปีแล้ว ยังมีเพลง ‘All Too Well’ เพลงสุดซึ้งในเวอร์ชั่นยาวกว่า 10 นาที วันนี้เราขอชวนมาฟังเพลงเพลิน ๆ จาก The Vault กันพอหอมปากหอมคอ รอซักวันที่เธอจะยอมกลับมาแสดงคอนเสิร์ตอีกซักครั้ง ซึ่งก็เป็นเรื่องตลกร้ายที่ว่าตั้งแต่ Red Tour โดนยกเลิกไป จน “Red (Taylor’s Version)” ประเทศไทยก็ยังมีนายกคนเดิม

Run (feat. Ed Sheeran) (Taylor’s Version) (From The Vault)

หนึ่งในแทรคที่ต้องไปฟังในอัลบั้มนี้ ยิ่งถ้าใครเป็นแฟนคลับของทั้งคู่ นี้แหละโมเมนต์ที่คุณรอคอย!

ตอนที่เทย์เลอร์ประกาศว่าจะมี “Red (Taylor’s Version)” ออกมาปลายปีนี้ หนึ่งในบรรดาเพลงใน The Vault ที่หลาย ๆ คนตั้งหน้าตั้งตาคอย ก็หนีไม่พ้นเพลงที่ Taylor Swift แต่งกับ Ed Sheeran ไว้ตั้งแต่ปี 2012 เพราะทั้งเหล่า Swifties และแฟนคลับพี่หมี Ed นั้นยังจำบทสัมภาษณ์ตอนที่พวกเขาเดินทัวร์โปรโมทอัลบั้ม “Red” ด้วยกันได้จนทุกวันนี้ เพราะพวกเขาเคยเล่าว่า ‘Everything Has Changed’ บทเพลงที่พวกเขาเขียนด้วยกันนั้น เป็นเพลงที่สองที่พวกเขาแต่งด้วยกัน ทำเอาแฟน ๆ ของทั้งสองศิลปินสงสัยว่าเพลงแรก คือเพลงอะไรนะ? แล้วเพลงนั้นเป็นแบบไหน? เพราะไม่ว่ากี่คอนเสิร์ตที่พวกเขาไปเล่นด้วยกัน ก็ไม่เคยมีใครหยิบเพลงนี้มาเล่น ตั้งแต่วันนั้น ยังไม่มีใครเคยได้ฟังเพลงแรกที่พวกเขาแต่งกันสักที จนวันนี้…

ผ่านมา 8 ปีกว่า ๆ ต่อมา นับเป็นเวลา 3,308 วันต่อมา แทรคนี้ก็ได้ออกมาให้ชาวโลกได้ฟังกันจนได้ กับ ‘Run’ เพลงแรกจากทั้งสองคนที่นั่งเขียนเพลงเล่นกันบนแทรมโพลีน ตอนฟังครั้งแรก กดเล่นเพลงนี้ขึ้นมา ก็จะได้ยินเสียงเมโลดี้กีตาร์ฟังสบาย ๆ ตามสไตล์ทั้งสอง ฟังแล้วยิ้มตั้งแต่คำแรกที่ร้องขึ้นมา “Give me the keys, I’ll bring the car back around” หลับตาไปฟังไป อารมณ์เหมือนเราจะได้เดินทางไปกับทั้งสองคนอีกครั้ง แล้วก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ นะ เพราะนั้นแหละคือสตอรี่ของเพลงนี้ เพลงที่พวกเขาอยากจะเล่าถึงโมเมนต์ที่อยากจะ “วิ่ง” ออกไปจากทุกสิ่งในชีวิต อารมณ์ประมาณขอแค่เธอได้ก้าวขึ้นมาบนรถคันนี้ แล้วฉันจะพาเธอหนีออกไปจากโลกอันวุ่นวายนี้เอง

เพลงนี้เลยเป็นหนึ่งในเพลงฟีลกู้ด ฟังแล้วยิ้มกรุ่มกริ่มอีกหนึ่งเพลงในอัลบั้ม “Red (Taylor’s Version)” คือทุกไลน์ประสานเสียงประกอบกับดนตรีที่ฟังสบาย ๆ ฟังแล้วก็อดยิ้มไ่ม่ได้จริง ๆ แม้ทั้งสองจะมีเพลงอื่น ๆ ที่ออกมาซึ่งอาจจะมีความอลังการมากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในเชิงเนื้อเพลง ตัวดนตรีเอง แต่ทุกรอบที่เราได้กลับมาฟัง Taylor กับ Ed กับเพลงที่ฟังดูเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยเวทย์มนตร์แบบนี้ ก็อดยิ้มไม่ได้จริง ๆ แหละ

Ed ยังได้แอบเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเพิ่มเติมไว้ตอนที่เขาไปสัมภาษณ์กับ Capital FM ว่า เพลงนี้มันเป็นเพลงที่เขาเองแอบชอบมาก ๆ ตั้งแต่ที่เขียนด้วยกัน คือตั้งแต่แรกเขาเองคิดว่า ‘Run’ น่าจะเป็นเพลงที่ได้อยู่ในอัลบั้มตั้งแต่ตอนนั้น แต่ตอนโปรดิวซ์เพลงออกมาตอนปี 2012 ‘Everything Has Changed’ ฟังดูเหมาะกับอัลบั้มมากกว่า เขาเองก็เกรงใจเทย์เลอร์เลยไม่ได้พูดอะไร แต่ลึก ๆ เขาก็อยากให้วันนึงเทย์เลอร์คิดถึงเพลงนี้ขึ้นมาแล้วบอกว่า เพลงนี้ก็เจ๋งดีนะ มาอัดใหม่กันไหม? ซึ่งเขาก็ดีใจมาก ๆ ที่เพลงนี้ได้มีโอกาสออกมาให้ทุกคนได้ฟังแล้วจริง ๆ 

แล้วมันก็เป็นเพลงพวกเราทุกคนชอบกันจริง ๆ แหละ ฟังแล้วอยากขับรถออกไปด้วยกันเลย 🙂

All Too Well (10 Minute Version) (Taylor’s Version) (From The Vault)

จากเพลงอกหักที่เรียกน้ำตาถล่มทลายเมื่อราว 9 ปีที่แล้ว ถึงแม้ไม่ได้ถูกหยิบมาเป็นซิงเกิลโปรโมตจริงจัง แต่ผลตอบรับสำหรับ ‘All Too Well’ นั้นไม่ธรรมดาเลย และแน่นอนว่าเมื่อถึงเวลาอันสมควร 9 ปีให้หลัง 

‘All Too Well’ ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับการแต่งเนื้อ ทำนอง และอะเรนจ์ดนตรีใหม่ ซึ่งมีความยาวราว 10 นาที! โอ้พระเจ้าจอร์จ นั่งครุ่นคิดเมื่อได้ทราบข่าวที่เทย์เลอร์เองเป็นคนสปอยล์ จับทางไม่ถูกเลย นึกไม่ออกว่าจะมาไม้ไหน เพราะตอนที่ความยาวปกตินั่นก็เจ็บปวดพอแล้ว จึงทำให้กลายเป็นเพลงที่่คนเฝ้ารอด้วยความคาดหวังมากที่สุดอีกหนึ่งเพลงเลยล่ะ!

เริ่มแรกเมื่อได้ฟัง แน่นอนเราเองก็ต้องฟังไปหาไปก่อนว่าท่อนไหนนะที่แต่งเพิ่ม พอเจอเนื้อหาที่แต่งเพิ่มเท่านั้นแหละ น้ำตามาตั้งแต่ท่อนที่บอกว่าAnd then you wondered where it went to as I reached for you, But all I felt was shame and you held my lifeless frame เพราะทุกอย่างที่เล่านั่นมันเรียลจนแทบจะเป็นการนั่งเล่าให้เพื่อนฟังอยู่แล้วว่าไปเจออะไรมาบ้างในความสัมพันธ์ครั้งเก่านั้น

แต่ประโยคที่เราคิดว่ามันค่อนข้างขมวดเรื่องราวทั้งหมดได้ดีที่สุดสำหรับเราคือ Just between us, did the love affair maim you all too well?” เพราะที่เล่ามาทั้งหมดนั้น มีแค่ฉันคนเดียวรึเปล่านะที่ทรมานสาหัสสากรรจ์แบบนี้ เธอเองจะเป็นเหมือนกันไหม แต่ถามว่าความตั้งใจของเพลงนี้คืออยากให้เขาทรมานเหมือนกันไหม เราก็ว่าไม่ใช่แหละนะ เพียงแต่อยากให้รับรู้ถึงความรู้สึกว่ามันทรมานแค่ไหนต่างหากที่จดจำเรื่องราวทั้งหมดได้แม่นขนาดนี้ 

ความจริงอีกอย่างหนึ่งก็คือจริง ๆ แล้วเพลงนี้มีเวอร์ชันที่มีความยาว 24 นาทีอยู่ด้วย ไม่แน่จับพลัดจับผลูวันใดวันหนึ่งเราอาจได้ฟัง ‘All Too Well’ 24 Minute Version ก็ได้ แต่เอาเข้าจริง 10 นาทีนี่ก็แทบจะเป็น American Pie ฟากความรักแล้วเช่นกันนะ (Jimmy Fallon ก็แอบแซวเธอในสัมภาษณ์เช่นกัน แต่ไม่ได้แซวในแง่ลบนะ เป็นการชื่นชมจริง ๆ ที่เธอทำมันออกมาได้เป็นอย่างดี) 

Taylor Swift - All Too Well

ด้านดนตรีพอมาอยู่ในอัลบัมนี้ก็ค่อนข้างต่างจากเวอร์ชันแรกมาก ๆ หลายท่อนที่แต่งเพิ่มเข้ามาก็มีกลิ่นของเพลงในอัลบัม “Folklore”, “Evermore” อยู่ด้วยไม่น้อยเลย สำหรับเราคิดว่าถ้าเอาเวอร์ชันนี้ไปไว้ในสองอัลบัมก่อนหน้าก็อยู่ด้วยได้สบาย ๆ เลย แต่ที่เราสังเกตเห็นอีกอย่างสำหรับเวอร์ชันนี้ก็คือด้วยน้ำเสียงและอารมณ์ในการร้อง มันไม่ใช่เศร้าไปจนฟูมฟายอีกต่อไปแล้ว เหมือนเข้าใจเรื่องราวมากขึ้นและค่อนข้างจะอยู่ในความรู้สึกที่ไม่พอใจที่ถูกทำเช่นนั้นมากกว่า หากอยากรู้ว่ามันมีจุดแตกหักไหนที่ทำให้เข้าใจเพลงได้มากขึ้น ก็สามารถไปติดตามดูหนังสั้น All Too Well: The Short Film ที่ทำเพื่อเพลงนี้ได้ นำแสดงโดย Dylan O’Brien และ Sadie Sink ที่ก็ฮิตจนเหล่านักเล่น TikTok นำไดอะล็อกไปเล่นกันจนเป็นไวรัลเช่นกัน ยิ่งดูยิ่งเห็นภาพเนื้อเพลง ที่เทย์เลอร์เขียนออกมา ก็ยิ่งชัดมากขึ้นจนเข้าใจความรู้สึกได้เป็นอย่างดีเลย

ขยี้ไปกว่านั้นก็คือทิ้งช่วงไปได้สักพัก เธอก็ได้ปล่อย ‘All Too Well (Sad Girl Autumn Version)’ ที่อัดสด ๆ ณ สตูคู่ใจอย่าง Long Pond Studios ออกมาให้ฟัง พร้อมกับเสียงเปียโนที่เสริมให้ความเป็นแซดเกิร์ลฤดูใบไม้ร่วงนั้นแซดยิ่งกว่าเดิม มีการดัดเมโลดี้ช่วงท้ายประโยคบ้างเพื่อเพิ่มความเข้มข้นของความเศร้า แน่นอนว่าน้ำเสียงที่ใช้ก็ต่างจากในอัลบั้มเช่นกัน เพราะเวอร์ชันนี้ให้ความเศร้าจนรู้สึกเหมือนใกล้หมดแรงเต็มที่จริง ๆ

เป็นเพลงเศร้ามหากาพย์ที่ทำให้แฟนคลับมีความสุขสมใจ ถือว่าเป็นการหยิบเพลงโปรดของเหล่าแฟน ๆ มาทำได้อย่างเยี่ยมยอดและน่าจดจำจริง ๆ อนาคตเวลาไปร้านอาหาร หรือร้านเหล้าก็อาจมีเพลงนี้ประกอบเพลย์ลิสต์เศร้าเคล้าน้ำตา และทุกคนก็อาจร่วมตะโกนท่อน “And you call me up again just to break me like a promise” พร้อมกันดัง ๆ ก็เป็นได้

Nothing New (Taylor’s Version) (From The Vault) 

เพลงที่มีเนื้อหา Coming of Age ซึ่งน่าจะโดนใจใครหลาย ๆ คนเป็นอย่างมาก ซึ่งสำหรับเราก็ถูกใจแทบจะตั้งแต่ท่อนแรกเลย สำหรับเพลงนีไ้ด้ Phoebe Bridgers ศิลปินอินดี้ที่มีเสียงเป็นเอกลักษณ์ เจ้าของเพลง “Motion Sickness” มาร่วมฝากเสียงร้องไว้ โดยทั้งสองสาวพาเราเดินทางไปสู่วันที่อายุ 22 แต่รู้สึกว่างเปล่า รู้สึกไม่มีอะไรใหม่ ๆ ดี ๆ เกิดขึ้นเลย ซึ่งเชื่อว่าผู้ฟังจำนวนมากน่าจะรู้สึก relate กับเพลงนี้ได้เป็นอย่างดี

โดยตั้งแต่เริ่มเพลง สองสาวได้เล่าเรื่องของการเป็นวัยรุ่น ที่อาจสื่อเป็นนัย ๆ ถึงการเป็นศิลปินหญิงอายุน้อยในอุตสาหกรรมดนตรี อย่างตั้งแต่ verse แรก “Lord, what will become of me / Once I’ve lost my novelty?” ที่เป็นการคร่ำครวญว่าหากวันหนึ่งพวกเธอไม่สาว ไม่ใหม่อีกต่อไป จะยังเป็นที่รักอยู่หรือไม่ ซึ่งเนื้อความนี้วนมาอีกหลาย ๆ ครั้งในเพลง อย่าง “Are we only biding time ’til I lose your attention / And someone else lights up the room? (Ahh) / People love an ingénue” 

ท่อนฮุคของเพลงนี้ร้องว่า “How can a person know everything at eighteen, but nothin’ at twenty-two? And will you still want me when I’m nothin’ new?” ที่บรรยายความรู้สึกของการเติบโตขึ้นมาแล้วรู้สึกว่างเปล่า ไปต่อไม่ถูกเป็นอย่างยิ่ง สำหรับพาร์ทดนตรีที่เป็นพาร์ทอะคูสติกโฟล์กก็ทำให้ร้องตามได้ไม่ยาก และอาจเสียน้ำตาได้เลยแหละ ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะรู้สึกได้ว่าวิธีการเรียบเรียงของเพลงนี้มาในแนว ๆ folklore ที่มีความป๊อปติดหูในขณะเดียวกัน 

สำหรับท่อน bridge อย่าง “I know someday I’m gonna meet her / It’s a fever dream / The kind of radiance you only have at seventeen / She’ll know the way and then she’ll say she got the map from me / I’ll say I’m happy for her then I’ll cry myself to sleep” ที่เธอหมายถึงศิลปินอายุน้อยซึ่งเดินตามรอยเท้าของเธอและได้มาเป็นศิลปิน (อย่างถ้าล่าสุดก็อาจจะเป็นเคสของ Oliva Rodrigo ที่ในเพลงของเธอก็มีกลิ่นอายความเป็น Taylor Swift อยู่ในหลาย ๆ เพลง) แต่การที่มีคนตามเธอมาเป็นศิลปิน ก็อาจจะทำให้วันหนึ่งเธอไม่ใหม่ และถูกลืม เธอยินดีกับศิลปินรุ่นน้อง แต่ในขณะเดียวกันความกลัวนั้นเองก็ทำให้เธอนอนร้องไห้จนหลับไป  

โดยเทย์เลอร์เองได้ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเทรนด์ใน TikTok จากท่อน “I’ve had too much to drink tonight” แล้วเป็นภาพตัวเองตอนเมา (drunk taylor meme) ซึ่งนอกจากท่อนนั้นจะกลายเป็นเทรนด์สำหรับสวิฟตี้มาแปะคลิปตอนตัวเองเมาแบบมัน ๆ แล้ว คนหันมาใช้เพลงนี้ในท่อน “I know someday I’m gonna meet her / It’s a fever dream / The kind of radiance you only have at seventeen” มาประกอบกับภาพตัวเองตอนที่อายุ 17 สลับกับตอนปัจจุบัน ซึ่งหลาย ๆ คนก็ได้โอกาสนี้มาสะท้อนเรื่องราวตอนตัวเองอายุเท่านั้น บางคนไม่มีความสุขกับตัวเองเลย เข้ากับเพื่อนที่รร.ไม่ได้ รู้สึกแปลกแยก ไม่กล้าเป็นตัวเอง แต่ตอนนี้หลังจากเติบโตและผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ก็ได้เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างและมีความสุขมากขึ้น 

เรื่องที่น่ารักมาก ๆ คือฟีบี้ได้ทวีตไว้เกี่ยวกับการ featuring ครั้งนี้ว่า “I was 18 when red came out. How is this real.” ซึ่งเราเชื่อว่าการได้มา featuring ในเพลงนี้ของ Taylor Swift ก็นับเป็นหมุดหมายสำคัญของอาชีพศิลปินของเธอเลยทีเดียว

I Bet You Think About Me (feat. Chris Stapleton) (Taylor’s Version) (From The Vault) 

เพลงนี้เป็นเพลงที่ฟังแล้วก็อมยิ้มตั้งแต่ครั้งแรกด้วยการแซวแฟนเก่าว่าถึงเธอจะมีชีวิตที่ดี หรูหรา แฟนใหม่มาจากตระกูลไฮโซแค่ไหน แต่สุดท้ายเธอก็ต้องมีซักแว้บที่แอบมาคิดถึงฉันอยู่ดีแหละ ประกอบกับดนตรีคันทรี่ เนื้อหากวน ๆ ซึ่งได้ Chris Stapleton นักร้องเพลงคันทรี่/เซาเทิร์นร็อกจากเค็นทักกี้ก็เติมเต็มเพลงนี้ได้อย่างลงตัว ในเพลงนี้เทย์เลอร์ก็แอบแซวตัวเองเล็ก ๆ ในท่อน “I bet you think about me when you say “oh my god she’s insane, she wrote a song about me” โดยสำหรับเพลงนี้เธอจะแต่งแซวใคร ก็เป็นเรื่องที่แฟนคลับต้องเดากันต่อนะ

แทบทุกท่อนในเพลงล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกแบบ เอาวะ! ขอแซวหน่อยแล้วกัน ถึงแม้จะมีความตัดพ้อตัวเองสลับกับการเปรียบเทียบเขาและรักใหม่ก็ตาม แต่ก็อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะเข้าข้างตัวเองอย่างมั่นใจว่าในที่สุดก็ต้องมีสักแว้บในหัวที่แอบมาคิดถึงฉันแน่นอน ท้าเลย! แถมคนในเพลงยังถูกเล่าผ่านการบอกลักษณะมากมาย ไหนจะ “Mr. Superior Thinkin” ไหนจะเป็นคนที่ชอบไปคอนเสิร์ตอินดี้ ไหนจะโตใน Beverly Hills ทั้งยังแอบแซวว่าในหัวของคนนั้นคงคิดไม่หยุดว่า ทำไมถึงปล่อยฉันไปได้นะ ถ้าให้นับเพลงนี้เป็นหนึ่งใน 5 stages of grief คงเป็นขั้นสุดท้ายที่ทำใจได้แล้วล่ะ เพราะไม่ได้พูดถึงความรู้สึกของการเศร้าที่มีต่อความรักครั้งนั้นเลย มีแต่เพียงอยากแซวก็เท่านั้น “ไงล่ะพ่อคุณ พอเลิกกันไปมีความสุขไหม ได้ดั่งที่คิดไว้แล้วหรือยัง แอบคิดถึงฉันบ้างเหมือนกันใช่ไหมล่ะ” แบบนี้เสียมากกว่า

แรกเริ่มที่ปล่อยทีเซอร์ออกมาแล้วเหล่าสวิฟตี้เห็นเค้กที่ถูกปาดไปเป็นสัญลักษณ์ = ก็ตีความกันไปต่าง ๆ นานาว่าจะเป็นเพลงไหน จะ ‘Cruel Summer’ รึเปล่า หรือจะเป็นเพลงที่ทำคู่กับ Ed Sheeran กันแน่นะเพราะเป็นสัญลักษณ์ที่พบเห็นในปกอัลบั้มของเอ็ดเป็นประจำ แต่แล้วก็ทราบโดยทั่วกันว่าคือ ‘I Bet You Think About Me’ นั่นเอง

ความแสบสันในเพลงนี้ก็ยังได้ Blake Lively เพื่อนสนิทของเทย์เลอร์มากำกับ mv ซึ่งนี่ก็เป็นผลงานกำกับครั้งแรกของเธออีกด้วย ใน MV เราได้เห็นเทย์เลอร์กลายเป็นเจ้าแม่มีม ไม่ว่าจะฉากแอบกินเค้ก ฉากคาบหลอดกระดาษสุดน่ารัก หรือการกระดกแก้วเหล้าแบบไม่แคร์สื่อ แต่ในขณะเดียวกันก็มีซีนที่เธอใส่เดรสเจ้าสาวสีขาว ก็สวยจนลืมหายใจเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าก็ยังไม่ทิ้งลายคอนเซปต์ Red ไว้ เพราะทั้งมิวสิกวิดีโอนี่ก็เต็มไปด้วยสัญญะสีแดงต่าง ๆ ที่เพียงแค่เห็นก็มั่นใจได้ว่าเป็นเธอ

จากแผลสดในวันวาน สู่แผลที่แห้งสนิทจนทิ้งไว้เพียงแค่รอยจาง ๆ แต่เต็มไปด้วยความทรงจำ Red Taylor’s Version จึงเป็นอีกอัลบั้มที่ทำให้เราตกหลุมรักอีกครั้งในแง่มุมที่ต่างออกไปจากเมื่อ 9 ปีที่แล้ว เป็นความรู้สึกที่ดี เมื่อได้ค่อย ๆ เติบโตไปพร้อมกับศิลปินที่ตัวเองรัก ส่วนเราเองจะมีโอกาสได้ดู Red Tour กับเขาไหมนะไทยแลนด์ก็ต้องลุ้นกันไป แน่นอนว่าถ้ามาจริง จะให้เก็บฝาไอศกรีมอีกกี่ร้อยชิ้นก็ยอม!

Facebook Comments

Next:


Ratchanon

Part-time writer for Fungjaizine; while listening some sleepy songs around the moon.