Quick Read ตาดูหูฟัง

Loving Vincent เมื่อหนังที่สร้างจากฝีแปรงของจิตรกรกว่าร้อยชีวิต ตั้งคำถามถึงการมีชีวิตอยู่ของจิตรกรชื่อก้องโลก

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photos: BREAKTHRU FILMS AND GOOD DEED ENTERTAINMENT

I want to touch people with my art. I want them to say ‘he feels deeply, he feels tenderly’.

ปี 1971 Don McLean ทำให้เพลง Vincent กลายเป็นหนึ่งในเพลงอมตะที่ทุกคนคงเคยได้ยินหรือร้องตามได้ และทำให้ใครบางคนรู้จักกับภาพเขียนที่ชื่อ ‘The Starry Night’ เป็นครั้งแรก

ปี 1993 ไม่ใช่ปีที่เราได้ยินชื่อขอVincent van Gogh เป็นครั้งแรกในชีวิต (เพราะเราเพิ่งเกิด และเอาจริงก็จำไม่ได้ว่าอะไรพาให้เรามารู้จักกับศิลปินคนนี้ แต่คิดว่าเขาเป็นคนแรก ๆ ที่ทำให้เราได้รู้จักกับงานศิลปะ)

มิถุนายน ปี 2013 เราไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพ ‘The Starry Night’ และ ‘Portrait of the Postman Joseph Roulin’ กับตาตัวเอง ที่ MoMA นิวยอร์ก

ธันวาคม 2017 ในที่สุดเรากำลังจะได้ดูหนังที่พูดถึงศิลปินคนนั้น หลังจากที่รอมานานและลุ้นให้หนังเรื่องนี้เข้าฉายที่บ้านเรา

I don’t know anything with certainty, but seeing the stars makes me dream. Someday death will take us to another star.

น่าจะประมาณปีสองปีที่แล้ว มีวิดิโอแชร์กันทั่วเฟซบุ๊กบอกว่ากำลังจะมีหนังที่เล่าเรื่องของแวนโก๊ะ ใช้เวลาพัฒนาเทคนิคการสร้างหนังแบบใหม่นั่นคือการ ‘เพนต์ด้วยมือ’ กว่าสี่ปี ซึ่งวิดิโอก็ได้นำภาพระหว่างการผลิตที่เป็นการใช้สีน้ำมันวาดภาพแบบเฟรมต่อเฟรมโดยศิลปินกว่าร้อยชีวิต (ระหว่างนั้นเหมือนยังมีการเรียกจิตรกรมาร่วมงานเพิ่มด้วยซ้ำ บวกเวลาจนหนังเสร็จสิ้นก็เป็นหกปี) แล้วยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับศิลปินที่ชอบด้วย เลยยิ่งทำให้เราอยากดูหนังเรื่อง Loving Vincent มากเป็นพิเศษ แต่ต้องบอกตามตรงว่าเราพกความคาดหวังในด้านเนื้อเรื่องเข้าไปดูน้อยมาก ๆ เพราะคิดว่าลำพังแค่งานภาพเขาก็หนักหน่วงแล้วถ้าเนื้อเรื่องไม่ดีจะยอมอนุโลมให้ก็ได้ แต่พอได้มาดูจริง ๆ กลายเป็นว่าขนลุกทั้งเทคนิค มุมกล้อง การตัดต่อ และคิดไม่ถึงว่าบทและวิธีการเล่าจะดี๊ดี มีไดนามิกหลากหลาย กินใจ รวมถึงตีแผ่ความเปราะบางจากอาการซึมเศร้าที่ใครก็ไม่มีวันเข้าใจได้อย่างรวดร้าวที่สุด

59c51aed1900003a00565275

เรื่องเล่าถึงการเดินทางของ Armand Roulin เขาคือลูกชายคนโตของบุรุษไปรณีย์ที่ชื่อ Joseph Roulin ผู้คอยรับส่งจดหมายระหว่างวินเซนต์และธีโอผู้เป็นน้องชาย จนหนึ่งปีหลังการเสียชีวิตของวินเซนต์ มีจดหมายฉบับหนึ่งของเขาที่ส่งไปไม่ถึงผู้รับเพราะโจเซฟหาที่อยู่ปัจจุบันของธีโอไม่พบ อาร์ม็องจึงต้องนำจดหมายของวินเซนต์ไปมอบให้กับธีโอด้วยตัวเองด้วยการถามเอาจากบุคคลต่าง ๆ ที่เคยมีความข้องเกี่ยวในชีวิตของจิตรกรผู้นี้ แต่ยิ่งเขาได้พบตัวละครมากขึ้นเท่าไหร่กลับยิ่งทำให้รู้สึกเคลือบแคลงในการตายของแวนโก๊ะมากขึ้นว่า จริง ๆ แล้วเขาฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรมกันแน่ จากภารกิจส่งจดหมายเลยกลายเป็นว่าเขาต้องค้นหาความจริงที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ให้ได้

59b8273c1a00007100f0650a59b828031c00003a0079e15a
เราไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าโครงสร้างการเล่าเรื่องใน Loving Vincent จะออกมาเป็นแบบราโชมอน คือตัวละครแต่ละตัวให้เบาะแสหรือบอกเล่าถึงแวนโก๊ะตามแต่มุมมองของแต่ละคน แน่นอนว่านั่นจะทำให้ผู้รับสารได้ข้อมูลไม่ตรงกัน ซึ่งหนังก็ทำให้มันสนุกและน่าติดตามมากด้วยการทำให้มันเป็นปริศนาให้คนดูช่วยลุ้น ช่วยคิดวิเคราะห์ (หรือเดา) ตามว่าสรุปเรื่องราวมันเป็นยังไง และจะมีบทสรุปที่ตรงไหน การค่อย ๆ คลายปมช้า ๆ แล้วมีการทวนเบาะแสที่ตัวเอกและคนดูได้รับอีกรอบถือว่าเป็นวิธีที่เป็นมิตรมาก นั่นคือการไม่ยอมให้คนดูปล่อยตัวเองไหลไปกับหนังแบบตามเรื่องไม่ทัน แล้วบอกเลยว่าไดอะล็อกที่เขียนออกมาด้วยคำสละสลวยพวกนั้นใช้ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครได้อย่างซับซ้อน มีมิติ และเข้าถึงคนดูได้อย่างทรงพลัง จนในหลาย ๆ ฉากทำเอาเราน้ำตาคลอ คือถึงแม้ว่าหนังจะเป็นการหยิบเรื่องราวส่วนหนึ่งของชีวิตแวนโก๊ะที่ใคร ๆ ก็รู้มาเล่าอย่าง งเริ่มวาดรูปตอนอายุ 28 ปี, มีน้องชายที่สนิทมาก ๆ คอยให้การสนับสนุนการสร้างงานศิลปะ, อยู่ดี ๆ วันนึงก็ทะเลาะกับ ปอล โกแกง ตัดหูตัวเอง, สักพักต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจิตเวช, และเสียชีวิตด้วยการยิงตัว แต่ไม่ตาย มาตายเอาสองวันให้หลังโดยมีน้องชายอยู่เคียงข้างจนวาระสุดท้าย’ แต่เรื่องระหว่างทางกลับทำให้ประวัติศาสตร์ที่เว้าแหว่งนั้นสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น (แม้จะเป็นเรื่องที่เขียนเพิ่มมาใหม่ในบางช่วงบางตอนก็ตาม) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำภาพวาดจริง ๆ ของแวนโก๊ะมาเฟ้นหานักแสดงผู้รับบทบุคคลในภาพ (The Zouave, Armand and Joseph Roulin, La Mousme, Adeline Ravoux, Girl in White, Dr. Gachet, Eternity’s Gate) หรือโลเคชันต่าง ๆ ในหนังซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่ปรากฏในงานวาดจริง ๆ (Cafe Terrace at Night, The Night Cafe, Field with Poppies, Bank of the Oise at Auvers, Wheatfirld with Crows) ก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะยิ่งทำให้รู้สึกว่าเราได้เข้าไปอยู่ในยุคสมัยเดียวกัน แวดวงสังคมเดียวกันกับเขา

59b828601c00003a0079e15f

59b828d01900003a005635ef

59b828471a00002400f0650f

นี่เองเลยทำให้เราซึมซับความเจ็บช้ำจากการสูญเสียวินเซนต์ของคนที่เข้ามาในวงจรชีวิตของเขา คนพวกนั้นมองว่าเขาเป็นมิตรดีและเป็นที่รักยิ่ง และแน่นอนหนังไม่ลืมที่จะให้เราซึมซับเอาความทุกข์ของเขามาเป็นบรรยากาศที่คุกรุ่นตลอดชั่วโมงครึ่ง กับการพร่ำบอกถึงความเป็น nobody ความ mishap ต่าง ๆ ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่เป็นที่รู้จัก ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ไม่เคยขายภาพได้สักภาพ และเพิ่งเริ่มมามีชื่อเสียงในช่วงสามปีท้ายของการเป็นจิตรกร แต่ในเวลาเก้าปีนั้นเขาก็มีความเชื่อที่แรงกล้าว่าจะพิสูจน์ตนผ่านผลงานที่ตรากตรำทำกว่าสองพันชิ้นตลอดมา แต่กระนั้นแล้ว บาดแผลในอดีต ความล้มเหลวต่าง ๆ ค่อย ๆ กัดกินจากภายในจนเขาป่วย ทำให้การแสดงออกในบางครั้งของเขาส่งผลให้ไม่ได้รับการยอมรับจากชาวเมืองทั่วไป เมื่อผู้คนตีห่าง มองว่าเขาเป็นตัวประหลาด คงไม่มีใครสนใจว่าชายผู้นี้เป็นอัจฉริยะงาน impressionism และต้องพบกับเปล่าเปลี่ยวในหัวใจมากมายเพียงใด

La tristesse durera toujours (The sadness will last forever)

งานภาพที่เป็นสิ่งชูโรงในหนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่สุดจริง ทุก process เหมือนการทำ stop motion ลองนึกดูพวกภาพฝีแปรงถี่ ๆ แล้วทำให้มัน animate ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องขยันขนาดไหน มีหลายฉากที่ดูละเอียดมาก ๆ จนขนลุก กับบางฉากที่เรียกว่า ไม่ทุนหมดก็หมดแรง เพราะเข้าใจว่ามันทั้งใช้เวลาและใช้กำลังคน ซึ่งก็โหดพอดู ทีนี้มันก็เหมือนเป็นการทดลองว่าถ้าเอาภาพสไตล์แวนโก๊ะมาทำเป็นหนังจะรอดไหม เอาตรง ๆ ก็คือรอดแหละ แต่ต้องใช้เวลาจูนการมองนิดนึง ตอนต้นเรื่องนี่ทำเอามึนเลย มันยุกยิก ฝอย ๆ กลืนกันไปหมด จนดูไปสักพักเริ่มปรับได้ สบายตาละ แล้วเราก็ได้อึ้งกับเทคนิคแสงเงาฟุ้ง ๆ ในพาร์ตขาวดำที่เล่าช่วงเวลาในอดีต คือมันเท่มาก หรือมุมกล้องต่าง ๆ ที่ส่งให้มู้ดมันไปถึงจุดที่ควรจะเป็นได้

59b8281819000025005635ea

59b828841a00007100f06510

59b827131c0000240079e157

ที่รู้สึกอิ่มที่สุดคงจะเป็นการได้ดูภาพวาดบุคคลของแวนโก๊ะมีชีวิตจริง ๆ แบบที่คนพวกนั้นเคยวนเวียนอยู่ในชีวิตของแวนโก๊ะในหนังเรื่องนี้ (ซึ่งอาจจะเป็นหรือไม่เป็นอย่างที่หนังเล่าก็ได้ แต่ก็นะ เรามันสาย emotional ก็ชอบการ fantasized ของหนังเรื่องนี้ แถมยังทำออกมาในมู้ดโทนที่ล่องลอยเปราะบาง ช่างเป็นการตีความบุคลิกของแวนโก๊ะให้เบลนด์ไปกับหนังได้โรแมนติกสุดอะไรสุด) ยังไม่รวมถึงเพลงประกอบที่จังหวะบิ๊วมาได้ถูกจุดไปหมด ขยี้จนน้ำตาพราก ๆ ไปเล้ย แล้วก็ดีใจมากที่ Lianne La Havas มาร้องเพลง Vincent ประกอบหนังเรื่องนี้

Loving Vincent ถือเป็นหนังที่ tribute แวนโก๊ะได้อย่างเยี่ยมยอด กับการนำเสนอความเปราะบางในจิตใจของผู้คน แม้เขาจะมีคำพูดหรือการแสดงออกที่ช่วยชุบชูจิตใจเราเพียงใด แต่สิ่ง ‘ภายใน’ เหล่านั้นก็ยากจะหยั่งถึง เพียงลมพัดผ่านวินาทีเดียวก็ทำให้ต้นหญ้าในทุ่งสั่นคลอ

แด่ วินเซนต์ ฟาน ก็อกฮ์ ผู้เป็นที่รัก

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้