Between the Lines

ร่างกาย โดย JINTA

  • Writer: Montipa Virojpan

ร่างกาย ‘JINTA’

คำร้อง: ณัฐธีร์ วิชชุเกรียงไกร (ธีร์)
ทำนอง: Jinta
เรียบเรียง: Jinta

 

ที่มาของเพลง ‘ร่างกาย’ 

จริง ๆ เพลงร่างกาย เป็นโปรเจ็คเล็ก ๆ ที่เราเคยแต่ง ไว้เล่น ๆ กับพี่กิจจ๊าซ โมโนโทน ซึ่งพี่เค้าตั้งชื่อแบนด์ไว้ว่า “ปัจจุบัน นิรันดร” แล้วให้โจทย์เราลองแต่งประมาณว่า เพลงที่พูดถึง สภาวะ ความเป็นจริงของร่างกาย ลองคิดถึงความรู้สึกที่เราจะมีกับร่างกายของเรา หลังจากที่เราตายไปแล้วมันจะเหมือนเรามานั่งมองตัวเองที่ตายแล้วจากภายนอก เราอยากเอาอารมณ์ตรงนั้นมาแต่งเพลง เลยทำเป็นเพลงนี้ส่งพี่กิจไป แล้วโปรเจ็คก็เลื่อนลอยไปเรื่อย ๆ เป็นปี จนนี่เรามาทำจินตะ เราเลยเก็บรวบรวม สิ่งที่เราได้ทำไว้ เป็นอัลบั้ม อัลบั้มจินตะเลยเหมือนอัลบั้มที่รวมงานมาสเตอร์ของเราเอาไว้ ที่เป็นอารมณ์นั้น ๆ ของเรา คือโดยรวมเพลงนี้จะเหมือน อารมณ์ที่เกิดจาก แนวคิดเชิงเซนหน่อย ๆ มันเหมือนที่คนชอบพูดกันว่า พอเราตายแล้ว วิญญาณเราก็ออกจากร่างใช่ไหม ทีนี้เราว่ามันตลกดีที่เราจะมายืนมองตัวเองที่นอนอยู่แบบในละคร เราลองคิดถึงอารมณ์จุดนั้นแหละ จุดที่เรายืนมอง เราว่ามันคงหมดอารมณ์ จนกลายเป็น ไม่เศร้า ไม่ยินดี ไม่อะไรซักอย่าง แต่มันรุนแรง เป็นอารมณ์ปลงเลย

ทำไมถึงสนใจเซน

เราชอบอ่านพวก หนังสือที่รวมปรัชญาเซน อย่างเล่มที่ชอบสุดคือ “เนื้อติดกระดูก” แต่เราก็จำชื่อหนังสือที่ตัวเองอ่านไม่ค่อยได้ แต่มันมีหลายบทมาก คือเราเป็นคนอ่านแล้วไม่จำ แต่รับอิทธิพลมาแล้วเอามาใช้อีกที เพราะความจำไม่ดี เราใช้ความรู้สึกมาจดจำแทนความจำของเราที่หายไป ซึ่งหนังสือส่วนใหญ่ที่เราอ่านจะเก่าหน่อยเพราะเป็นหนังสือของแม่ แต่แม่ก็บ่นว่าหนังสือเซนอ่านยาก แม่ชอบอ่านพวกธรรมะเลยมากกว่าสายหลวงพ่อจรัญไรงี้ แต่เราดันชอบสายพุทธทาส มันเกิดจากแม่ชอบเอาเราเข้าวัดบ่อยแล้วเราเคยบวชเรียนหลายรอบ ช่วงประถม ประถมเนี่ย ปีละครั้งส่วนมัธยมจะเข้าวัดมากกว่า เพราะเริ่มกิจกรรมเยอะ ก็คือเข้าทุกวันพระนั่นแหละ

แล้วทำไมถึงอินกับท่านพุทธทาส

ก็ท่านออกทางเซน เราชอบเล่มนึง ไปเจอบ้านพี่กิจ เหมือนจะชื่อประมาณว่า “พุทธ ที่ไม่ติดในคำว่าพุทธ” มั้ง ลืม (หัวเราะ)

 

รู้สึกเช่นเดิม ไม่ผ่อนคลายเหมือนเคย ช่วงเวลาที่มีของเรา พบเจอสิ่งไหน

มันก็คืออารมณ์เดิม ๆ คือเราต้องเจอกับความทุกข์ทางกายตลอดเวลา มันคือความไม่ผ่อนคลาย คือบางทีเราก็เบื่อแบบว่า นี่เดี๋ยวป่วยอีกแล้ว นอนไม่พอก็ไม่ได้ หยุดกินก็หิว ต้องทำโน่นนี่ เพื่อให้อยู่รอด ทั้ง ๆ ที่เวลาเราจริง ๆ แม่งมีน้อยมาก แต่หมดไปกับเรื่องพวกนี้หมดเลย นั่นแหละ เรามองว่าทั้งหมดคือความไม่ผ่อนคลาย มันเลยเกิดคำถามในข้อต่อมาว่า “ช่วงเวลา ที่มี ของเรา พบเจอสิ่งไหน” มันเหมือนเป็นการหาทางออก หาความจริง ว่าเราเกิดมาเพื่อครองสังขารนี้ทำไม แค่นั้นแหละ

 

บางสิ่งเคยสวยงามเมื่อมองรูปกาย บางทีอาจคล้ายคนนิทราหลับฝันไป แค่ฝันไป

อันนี้แหลสั้น ๆ เลย คำตอบของมันคือ ร่างกาย หรือชื่อเพลงนั่นแหละ คือ ถ้าหากมันมีแค่ร่างกายแล้ว มันก็ดูเป็นของที่เคยสวยงาม แต่ใช่ว่าจะงามไปตลอดเวลา แล้วถ้ามันไม่มีตัวเราอยู่แล้ว มันก็ดูเหมือนคนที่นอนหลับนิ่งๆแค่นั้นเอง

เท่านั้นที่เราหยุดทำความเข้าใจร่างกายของเรา

ก็แค่นั้นแหละ แค่ช่วงเวลานี้ ที่เราตั้งใจจะให้คนฟัง เขาหยุดคิด พิจารณาถึงร่างกายของเขา

ฝันเพื่อมาพบความจริง บางสิ่งที่สูญหายตลอดกาล

อันนี้มันจะต่อจากท่อนก่อน ที่บอกว่าเหมือนคนนิทราหลับฝันไป ดนตรีช่วงท่อนนี้เหมือนเป็นจุดกระชาก เป็นจุดแสดงอารมณ์ คือเหมือน ร่างกายเรากำลังฝัน แต่สุดท้ายมันหนีไปพ้น ถึงพยายามจะฝันแค่ไหน แต่ความจริงที่ว่า สังขารมันไม่เที่ยง มันจะคงอยู่ คือหลาย ๆ คนมักกลัว กลัวการตาย กลัวการลาจาก กลัวการดับของร่างกาย จุดนี้มันสร้างมาเพื่อเตือนถึงสิ่งนั้น

ร่างกายความสุขฉันที่เคยชื่นบาน จางหายไป

ตามนั้นเลย ร่างกายเราที่มันเคยดีมันเคยสวยงาม มันก็ไปตามเวลา ค่อย ๆ จางหายไป แต่ดนตรีตอนนี้มันจะดึงเรากลับจากความหม่นของท่อนก่อนหน้า กลับมาสว่าง เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่าในความรู้สึกเรา ร่างกาย ไม่ได้งามที่มันดูสวยงามอย่างเดียว แต่มันงามเพราะมันมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาด้วย ถ้าหากร่างกายเราสต๊อปเหมือนพลาสติก เราว่ามันคงแปลก ๆ นะ (หัวเราะ)

 

“แต่ทั้งนี้ เราค่อนข้างที่จะเล่าเรื่องเหมือนคำถามปลายเปิดมากนะ เพราะบางทีการตีความมัน ก็สามารถเปลี่ยนได้ตามคนฟัง เราชอบแบบนั้นมากกว่า แล้วเกิดขึ้นบ่อยกับเพลงเรา บางคนพูดถึงมุมอื่นที่เค้ารู้สึกจากเพลงเรา เรายังแบบอึ้งเลย แบบ เออว่ะ แบบนั้นก็ได้นี่หว่า ไรงี้ อย่างเพลง ฝิ่นหนาว ที่เขาเอาไปประกอบสารคดี ตอนแรกเรางงมาก มันไปประกอบได้ไง เรากำลังพูดถึงฝิ่น และบุคคลผู้กำลังจะตายในกองฝิ่นของเค้าที่เค้าเป็นนกที่ถูกยิงตาย แล้วสุดท้ายก็เป็นปุ๋ยฝิ่น แต่คนทำสารคดีบอกว่า นี่แหละ ใช่เลย มันคือความหมายหนังเขา ที่เกี่ยวกับชาวโรฮิงยา เราโคตรงง แต่พอเราได้ไปดูแค่นั้นแหละ อ๋อเลย ทุกอย่างตอบคำถาม แล้วมันใช่มาก ๆ เข้าใจเลยว่าทำไมเลือกเพลงเราและถ้าให้เราคิดว่า เป็นเพลงอื่น จะเป็นเพลงไหนที่เหมาะสม เราก็คิดไม่ออกแล้ว เพลงนี้มันเกิดมาเพื่อหนังเค้าจริง ๆ แบบนั้นเลยเรื่องหนังเป็นไง ไม่สปอยฮะ ไปหาดูเอา แต่เห็นว่ารับมาหลายรางวัลและ ล่าสุดไปฉายสิงคโปมั้ง เค้าก็พ่วงเพลงเราไปเปิดโน่นด้วย แอบดีใจ (หัวเราะ)”

 

มีต่างชาติเป็นแฟนคลับของจินตะบ้างไหม

ต่างชาติเยอะมาก แล้วเค้ากล้าแสดงตัวไง เหมือนพอเค้าชอบปุ๊ป เขาทักแชทเพจวงเลย มากันเลย แต่อย่างคนไทยจะแบบ ติดตามลับ ๆ บางทีไม่ได้ไลค์เพจวงยังมี เหมือนชอบนะ แต่ไลฟ์สไตล์มันเป็นแบบนั้นมั้งคนไทย คือชินกับการที่ เราต้องเป็นฝ่ายป้อนให้เขามากกว่าในเรื่องเพลง แต่เราชอบนะที่ต่างชาติแบบ เราชัวร์แน่ ๆ ว่าอ่านเพลงเราไม่เข้าใจหรอก แต่เค้าดันแฮปปี้กับงานเรามาก ๆ แล้วมีที่เขาจะกลับต่างประเทศนั่นแหละ แล้วอยากดูเรามาก เลยจะมาขอให้เราไปเล่นที่บ้านเขา เขาก็ชวนเพื่อน ๆ เขามา แล้วมาเล่นกันแบบปาร์ตี้กันเอง เราฝันบ่อยมาก ว่าจินตะต้องไปเล่นต่างประเทศบ้าง จริง ๆ เราเคยคุยกับพี่ตึ๋ง อัศจรรย์จักรวาล เรื่องที่ว่า วงเราจะไปทางไหน ตอนนั้นจินตะ หาคนฟังยากมาก มีพี่ตึ๋งนี่แหละที่ชอบงานเราแบบบ้าเลย เค้าบอกเราว่า อย่าหยุดทำ งานสเกลเราเปนงานที่ต่างชาติชอบมาก เขาบอกว่า ถ้าต่างชาติจะสนใจใครสักคน เขาคงไม่เลือกวงดัง ๆ หรอก แต่คงเป็นพวก ๆ เรานั่นแหละ แล้วเขาทำนายไว้แล้วด้วยนะ ว่างานจินตะ เป็นงานที่ต่างชาติแฮปปี้ ตอนนั้นเราแบบไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เริ่มเชื่อแล้ว รอดูกันว่าคำทำนายพี่ตึ๋ง จะแม่นแค่ไหน ถ้าเราได้ไปต่างชาติจริง ๆ สงสัยคงร้องไห้เพราะคิดถึงพี่เค้าอีกแน่ ๆ

 

ตอนเล่นงาน Sofar Sound รอบนั้นธีร์กำลังรู้สึกอะไรอยู่ แล้วพี่ตึ๋งสำคัญกับเรามากขนาดไหน

เราไม่ได้อะไรมากนะ เพลงนี้มันเป็นเพลงที่เรารู้สึกแบบนั้นอยู่แล้ว ต่อให้วันนั้น พี่ตึ๋งเค้ายังไม่จากเราไป เราก็คงเล่นด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างกันมาก แต่พี่ตึ๋งสำคัญกับเรามากจริง ๆ มันเหมือเราเป็นแผนเพลงเค้าก่อน แล้วเราก็กลายมาเป็นเด็กที่ตามเค้าต้อย ๆ พัฒนาจนมาเป็นน้องชายเค้าคนนึง แล้ววันนึงเราก็เติบโตจนเป็นคนที่ส่งงานให้เค้าฟังเรื่อย ๆ มันเลยผูกพัน คือเขาก็บอกอยู่นะว่าจะ comeback ไรงี้ ไม่รู้หลอกให้เราดีใจเล่นป่าว (หัวเราะ) แต่คือพูดไว้เหมือนกัน

 

มีคนบอกว่าเราแต่งเพลงเหมือนเป็นบทกวี อะไรทำให้เลือกใช้ element ไทย ๆ พวกการเอื้อน หรือเลือกใช้คำได้สละสลวยขนาดนั้น

เออ เราก็งงตัวเองเหมือนกัน (หัวเราะ) น่าจะเป็นเพราะแม่เราเป็นคนชอบงานเพื่อชีวิตมาก แล้วเราช่วงนั้นดันรู้สึกว่าเราเป็นคนที่ใช้คำประมานนั้นได้ดี แล้วคำไทยนี่แหละ พอมันใช้ได้ถูกจุด มันเหมือนเสริมพลังให้ดนตรีมากเลย คำไทยที่สวย ๆ เนี่ย มันเป็นมากกว่าภาษา เพราะมันมีแอมเบียนท์ในคำด้วย มันมีเฉดสีที่สวยงามในคำ เราชอบเอาสีมันมาไล่ ๆ แล้วทำเป็นเพลง อย่างการเอื้อนนี่มาเพราะคำเลย คำมันต้องร้องแบบนั้นถึงเพราะ เราเลยร้องแบบนั้น แล้วเอามันมาเป็นภาษาของเราเองเลย คือถ้าได้ยินร้องแบบนี้ เราว่าคนต้องนึกถึงเรา อะไรแบบนั้น

 

งานเล่นที่บ้านเรานี่เยอะขึ้นบ้างไหม มีคนถามหาซีดีหรือเปล่า

คือคนถามหาซีดีเยอะแบบมาเรื่อย ๆ ส่วนงานเล่นนี่แหละ ที่แปลก ๆ คืองานที่เราได้ เป็นงานแบบ Sofar Sound หรืองานที่คนต่างประเทศจัด ไม่ก็เป็นแฟนเพลง ที่ไม่ได้เกิดจากคนที่ทำแบบจัดอีเว้นจริง ๆ หรืออย่างงานที่เราเล่นล่าสุดก็ Noise Market นี่เป็นงานที่เราผูกพันอยู่แล้ว แต่คือถ้าถามไปว่านักจัดอีเว้นคนไทย ที่เป็นกลุ่มอินดี้ ถ้าเค้าพูดถึงว่าจะจัดซักอีเว้น มักไม่ค่อยมีใครเลือกวงเราหรอก (หัวเราะ) ก็ยัง งง อยู่นะว่าทำไม

 

ตอนนี้เรารู้สึกพอใจกับผลงานและ feedback ไหม

ล่าสุดเราโคตรรู้สึกดีเลย งาน Noise Market คือตอนเราเล่น เราจะไม่รู้ถึงปริมาณคนหรอก เพราะเราตอนอยู่สเตจ ก็เห็นอยู่ เราจะเป็นโหมด performance เราจะหน้ามืดตามัวมาก ๆ แต่พอกลับมาดูรูปที่ช่างกล้องวงถ่ายมาแล้วแบบ เฮ้ยยยยย เยอะงี้เลยเหรอไรแบบนั้น

 

ตอนเล่นงาน happening คนเยอะ ๆ นี่ก็ไม่รู้สึกหรอ

ไม่รู้ คือบางทีเราอาจจะพยายามไม่รับรู้ เพราะไม่ให้ตัวเองเกร็ง เราพยายามเคยชินกับสเตจนั้น ๆ อยู่น่ะ มันเลยเหมือนเวลาคุยกับคนที่มาดู เราจะเหมือนคุยกับคน ๆ นึง ตอนแรกเราก็งงนะว่า ทำไม happening เอาเราไปเวทีนั้น ทั้ง ๆ ที่วงเรามีกลองชุด พอไปเล่นนั่นล่ะ เข้าใจเลย ยอมรับว่าตอนแรกหัวเสีย เพราะอยากเล่นกลองชุด อยากดีดมาก ๆ แต่พอไปถึงที่ นี่เปลี่ยนไลน์อัพเลย จากมัน ๆ เป็นเน้น inner แทน เปลี่ยนลิสท์เพลง

 

ติดตามผลงานของ Jinta ได้ที่ fanpage หลัก ว่าเขาจะไปเล่นสดที่ไหนอีก ควรค่าแก่การรับชมอย่างยิ่ง

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้