Interview

การเริ่มใหม่เป็นอะไรที่น่ากลัวเสมอ แต่ ‘Mints’ จะมาแชร์ว่าพวกเขาผ่านมันไปได้ยังไง

กลับมาคุยกับ Mints อีกสักทีหลังจากที่ห่างหายไปหนึ่งปีเพื่อซุ่มหาทิศทางใหม่ในอัลบั้มเต็มชุดใหม่ของพวกเขา ตอนนี้ก็ปล่อยเพลงที่ทำให้เราพอจะรู้ลาดเลาของงานชุดนี้ว่าต้องสนุกขึ้นแน่ ๆ กับ Lovephobia มาดูกันว่า อัด กับ ตน เติบโตขึ้นยังไงและได้เรียนรู้อะไรบ้างจากประสบการณ์ที่ผ่านมา

 

ตื่นเต้นไหมกับการปล่อยซิงเกิ้ลแรกเปิดศักราชใหม่ของ Mints ในเพลง Lovephobia

อัด: ความรู้สึกเหมือนตอนปล่อยเพลงแรกเลย เหมือนมันเริ่มใหม่เหมือนกัน พอมันหายไปปีนึงแล้วเหมือนพอเรากลับมาปล่อยรอบนี้เราก็มีความคาดหวังอะไรบางอย่าง เรามีเป้าอยากให้มันเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทุกอย่างเลยเหมือน set zero เริ่มใหม่

ตน: ใช่ อันนี้เป็น element ใหม่หมดเลย แต่ก็ยังมีกลิ่นของ EP เก่าอยู่ มีหลาย อย่างที่ไม่เหมือนเดิม ผมร้องด้วย แล้วก็ดนตรีเปลี่ยนแบบ ก็เลยมีความตื่นเต้นนิดนึงที่เราล้างไพ่กันใหม่ มาแนวนี้มันจะเป็นยังไง

เคยให้สัมภาษณ์ว่า EP เป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นที่กำลังโต แต่สับสนกับตัวเอง แล้วอัลบั้มเต็มชุดนี้จะเป็นยังไง

อัด: ผมว่าหลัก มันโตขึ้นจากเดิม แน่นอนว่ามันยังไม่พ้นช่วง coming of age แบบ 100% มันเป็นช่วงเวลาที่เราได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดบางอย่างจากตรงนู้น แต่ก็ไม่ได้เข้าใจแบบลุล่วง ยังมีความเด็ก อีกนิดนึงจะโต มันก้ำกึ่ง กับอีกอย่าง เหมือนกับผมกับตนโตขึ้น แล้วช่วงวัยมันห่างกันสามปี แล้วบางช่วงเวลา mindset เราก็อาจจะมองกันคนละแบบ มันเลยต้องมาหาตรงกลางว่าควรต้องอยู่ประมาณไหน

ตน: EP เหมือนเป็น teenager แต่อัลบั้มนี่เป็นเหมือน young adult ไม่ใช่ boy และไม่ใช่ man

เหมือนในเพลง Lovephobia เองก็มีความกลัว แต่ขณะเดียวกันก็ให้กำลังใจ เล่าที่มาของเพลงหน่อย

ตน: เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงของ Mints ที่ปล่อยออกมา bpm เร็วที่สุด สนุกที่สุดแล้ว กับที่มันเป็นอย่างนี้เพราะเราอยากทำเพลงงานพรอม

อัด: คือผมอินงานพรอม พวกหนังฝรั่งเวลามีซีนงานพรอม เราจะชอบบรรยากาศ เป็นตั้งแต่คุยแรก แล้วว่าอยากทำเพลงแบบนี้ แล้วพอมีโอกาสเลยโยนกลับมาเป็นโจทย์ ทุกคนก็บอกว่าลองทำดู

ตน: นี่ก็อินเหมือนกันแบบหนัง ‘Sing Street’ แต่ว่ามีความเป็นวัยรุ่นเล่นดนตรีในงานพรอม ก็เลยเป็นโจทย์ในเพลงนี้ แล้วก็เริ่มทำดนตรี เริ่มจากคอร์ด แล้วก็ฮัมเมโลดี้กัน แล้วตอนที่จะทำเมโลดี้ของเพลงนี้ บังเอิญว่าผมได้คิดเมโลดี้ร้องด้วย คิดออกก็อัดเก็บไว้เลย แล้วท่อนที่ผมร้องในมาสเตอร์ก็คืออันที่คิดเดโม่ ซึ่งตอนแรกไม่ได้กะว่าจะเอาเป็นผมร้องหรอก แค่ไกด์ไว้เฉย แต่เพราะโจทย์ของเพลงนี้คือล้างไพ่ใหม่ อยากให้มันดูโตขึ้น แล้วก็ให้แปลกใหม่ขึ้น ทีนี้ พี่ยิ้ม Somkiat ก็บอกว่าลองร้องสองคนสิ ซึ่งมันแปลกใหม่มากสำหรับ Mints เราไม่เคยร้องหลักสองคนกันมาก่อน ก็เลยตัดสินใจออกมาแบบนี้

ร้องเองครั้งแรกเป็นยังไง แล้วร้องสวนกันด้วย

ตน: โคตรยากเลยครับ เพราะผมไม่มั่นใจการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก เวลาเล่นดนตรีตอนมัธยม แค่กับวงเพื่อนในห้องเรียน เล่นกีตาร์ ร้องเพลง ทุกคนก็จะแซวว่า เออมึงเล่นกีตาร์อย่างเดียวก็พอละ ร้องเพลงปุ๊บมึงหมดหล่อ ผมก็เสียเซลฟ์เลย ก็เหมือนไม่กล้านิดนึงครับเวลาร้อง แต่พอมีโอกาสเราก็ต้องทำให้เต็มที่ ครั้งแรกที่อัดก็หลายเทคอยู่ แต่เราก็ได้เรียนรู้ว่าเป็นนักร้องมันมีปัจจัยหลายอย่างมาก ต้องรักษาสุขภาพ แต่ก่อนเราปล่อยตัวมากเพราะเราเล่นกีตาร์อย่างเดียวไม่จำเป็นต้องดูแลเสียง อันนี้เราเริ่มดูแลแล้วแต่ก็ยังไม่ 100%

แต่ด้วยเนื้อเสียงของสองคนที่ไม่เหมือนกัน พอมาอยู่ในเพลงนี้แล้วมันก็ลงตัวดีนะ

ตน: ด้วยคาแร็กเตอร์เสียงจริง มีผลมากเลยนะ ถ้าให้พี่อัดมาร้องไลน์ผมมันก็จะไม่รู้สึกแบบนั้น อันนี้เคยคุยกับพี่ยิ้มเหมือนกันว่าถ้าเปลี่ยนประโยคนิดเดียวมันจะกลายเป็นอีกแบบไปเลย บางคำที่ผมร้องมันจะกลายเป็นอีกมุม หรือท่อนของพี่อัดถ้าผมร้องก็จะไม่ได้หนักแน่นแบบนั้น การดีไซน์ร้องมันเกี่ยวมาก อย่างของผมที่ผ่านออโต้จูนมันคือการคิดไว้หมดแล้วว่าอยากให้รู้สึกอะไรยังไง

อัด: การที่เนื้อเพลงมีการร้องสองคน มันก็เหมือนทัศนคติของแต่ละคน อย่างมุมมองตนในช่วงนั้นมันก็กล้า กลัว มาจากประสบการณ์จริง ส่วนผมจะเป็นมุมที่บอกว่าไม่เห็นต้องกลัวเลย ถ้าเสียใจก็แค่เสียใจ ไม่เห็นต้องไปปิดตัวเอง มันเลยเหมือนเป็นอินเนอร์ของคนนั้นออกมา

ตน: เพลงนี้เริ่มจากที่ผมอกหักมา มันก็อยู่ในช่วงเพิ่งเลิกกันแล้วอยากกลับไปหาเขาอยู่ เราก็อยากจะเริ่มใหม่ด้วยแต่ก็ไม่กล้า ก็ปรึกษาพี่อัดกับพี่ยิ้ม แล้วสองคนนี้เขาก็ให้คำปรึกษาเหมือนเนื้อเพลงครับ เหมือนพี่น้องคุยกัน

 

ใน EP มีความเป็น soul pop, hiphop beat ที่ชัดมาก แล้วอัลบั้มเต็มจะได้อิทธิพลมาจากอะไร

ตน: Tyler, the Creator มีผลมากครับต่อชุดนี้ อัน The Grinch จริง IGOR ก็ด้วย คือเพลงเขาจะมีความ distort ของมัน ความจริงกะกดสุดกว่านี้ เพราะทีแรกออโตจูนผมมีความ distort กว่านี้เยอะ แต่ใจไม่ถึง (หัวเราะ) มีความลังเล แต่ก็คิดว่าอัลบั้มน่าจะมีอะไรหลายอย่างที่น่าจะสนุกครับ จะเน้นซาวด์ดีไซน์ บีตเยอะ จริง มันแรนด้อมมาก อาจจะมีเพลงร็อกก็ได้ เท่าที่ทำมันมีโฟล์กด้วย แบบ Bon Iver มี The 1975 หลากหลาย

อัด: ที่หายไปปีนึงความจริงเราไปนั่งคิดมาว่าอัลบั้มเต็มชุดแรกเราอยากทำอะไรบ้าง คอนเซ็ปต์มันคืออะไร เหมือนชุดแรกเราทำไปก่อน ยังไม่ได้มี big idea คือลองทำไป 2-3 เพลงแล้วค่อยมาขมวดว่าที่เหลือจะทำยังไง แต่อันนี้เราอยากมี big idea ทีแข็งแรงก่อน แล้วจะได้รู้ว่ามันทำอะไรได้บ้าง เหมือนมีกรอบคร่าว แต่เราไม่ได้ปิดตัวเองทั้งหมด ซึ่งมันก็คือ ‘superhero’ เราอยากทำเพลงที่ empower คนอื่นมากขึ้น ชุดก่อนจะพูดแต่เรื่องตัวเอง อันนี้เราอยากให้กำลังใจคนฟัง

ตน: ยังไม่แน่ใจนะครับว่าจะชื่ออัลบั้มว่าอะไร แต่ไอเดียมันมาจากผมสองคนที่คิดกันอยู่นาน คืออย่างแรกที่เราเห็นตรงกันคือโตขึ้น แต่สุดท้ายแล้วเราอยากเป็นกระบอกเสียงบางอย่างของวัยรุ่น แต่มันก็ทำไม่ได้ เพราะเราไม่ได้โตหรือมีน้ำหนักที่จะพูดผ่านเพลงขนาดนั้น มันก็เลยเหมือนว่า เราแทนตัวเองเป็นซูเปอร์ฮีโร่แบบ Peter Parker หรือก็คือ Spiderman เราไม่ได้เป็นพวก Superman แข็งแกร่ง แต่เราเป็นฮีโร่ตัวเล็ก ที่อยากทำอะไรยิ่งใหญ่ แต่ตัวปีเตอร์ก็ยังมีความเด็กที่บางอย่างเขาก็ยังทำไม่ได้

อัด: มีความว้าวุ่นอะไรบางอย่างของมันอยู่ เหมือนเราแชร์กันมากกว่า

พอเรามี direction มาคลุมแล้วการทำงานง่ายขึ้นกว่าชุดก่อนไหม

ตน: ง่ายขึ้น แต่ก็หากันนาน เลยหายไปหนึ่งปี แต่ละคนก็มีงานส่วนตัวกันด้วย แต่พอได้ปุ๊บก็เห็นภาพค่อนข้างชัด และคิดว่าเพลงต่อไปต้องสนุกแน่

อัด: เหมือนจะรู้ว่าต่อไปต้องทำประมาณนี้ ไม่ได้หลุดไปไกลมาก ไม่เสียเวลาทำโครงอื่น เลยค่อนข้างไปไวพอสมควร

YY คือยิ้ม แล้ว HONN_100 คือใคร

ตน: เป็นเพื่อนพี่ยิ้มสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนเลยครับ ความจริงโซโล่ Lovephobia คือพี่ฮอน ไม่ใช่ผม ช่วงนั้นผมมีงานเยอะแล้วไม่มีเวลาซ้อม ก็เลยให้เขาช่วยอัดให้ แล้วเหมือนวันนั้นผมอัดที่ผมเล่นส่งให้เขา แล้วเขาไปแกะ มาอัดในสตูแทนผม

มิวสิกวิดิโอใน EP ใช้ตัวละครตัวเดียวกันหมดเลย แล้วในอัลบั้มนี้เพลงอื่น ถ้ามี mv จะดึงตัวละครมาจาก Lovephobia หรือเปล่า

อัด: ไม่ครับ ไม่ได้ตีโจทย์ mv มาก น่าจะไปตามแต่ละเพลงมากกว่า

จากที่ไปเล่น Cat Expo เป็นปีที่สอง เปรียบเทียบการขึ้นเวทีครั้งแรกกับครั้งที่สองต่างกันยังไงบ้าง

อัด: ผมว่าต่างกันเยอะมาก ในแง่ความตื่นเต้นสำหรับผม มันตื่นเต้นกว่าเดิมอีก เราได้เล่นเวทีใหญ่ขึ้นที่เราก็ไม่คิดว่าจะได้เล่น มันเป็นความเครียด ความกดดันมากพอสมควร ว่าต้องไปอยู่เวทีหนึ่งแล้ว เพราะส่วนตัวรู้สึกว่ายังไม่พร้อม และคิดว่ามีวงที่เหมาะสมจะไปอยู่ตรงนั้นมากกว่าเรา ในตอนแรกนะครับ เพราะ Mints ใหม่และเล็กมาก ยังไม่สมควร แล้วก็คิดว่า จะทำไงดีวะ กดดันไปหมดเลย เพราะต้องเล่นต่อพี่ Paradox, The Parkinson ก็โทรปรึกษากันหัวปั่นเลย

แต่สุดท้ายมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้ก็ต้องคุย กันแล้วปรับ mindset ว่า อะสุดท้ายมันเป็นโอกาสที่ดีมาก แล้วเราก็ทำให้ดี เป็นก้าวสำคัญเหมือนกันที่ต้องพัฒนาตัวเองต่อไปไม่ให้มันขี้เหร่มาก แล้วสุดท้ายก็ลุยเต็มที่ ผลลัพธ์ออกมาอาจจะไม่ได้เพอร์เฟกต์ แต่ส่วนตัวผมโอเคกับโชว์นี้ ผมว่าผมขึ้นไปแล้วความตื่นเต้นที่ทีแรกเรามีเยอะมาก เป็นครั้งแรกที่ขึ้นไปแล้วที่มัน calm ตัวเองได้ ไม่นับข้อผิดพลาดทางเทคนิคใด บนนั้น เรามีสติแล้วก็ enjoy กับตรงนั้นจริง แล้วก็ได้ explore หลาย อย่างตอนร้อง ในแบบที่เราไม่เคยทำมาก่อน ก็โอเคว่ะ

หลายครั้งเวลาผมลงจากเวทีจะไม่ค่อยโอเคกับตัวเอง แต่อันนี้ตอนลงมาถึงรู้ว่ามันไม่ได้ดีมากแต่ก็แฮปปี้กับตัวเอง มันมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่านี่คือรสชาติใหม่ที่ทำให้รู้ว่า อ๋อต้องพัฒนาตัวเองต่อไปอีกยังไง และเป็นครั้งที่เราได้รับพลังจากแฟน เยอะมากโดยที่เราไม่ได้คาดหวัง เราแค่คิดว่าเขามาต่อคิวรอฟัง The Parkinson กันหรือเปล่า แต่ตอนมีแฟนเพลงร้องเพลงเราได้แล้วเราได้ยิน มันเป็นภาวะที่ดีมาก เป็นสามสิบนาทีโชว์ที่ผมตกตะกอนอยู่เยอะมาก

ตน: จริง Cat Expo เหมือนเป็นดาบสองคม หนึ่งมันเหมือนบ้าน ไปเล่นแล้วแฟน รอ แต่อีกมุมนึงก็ทำให้กดดันว่ามันไม่เหมือนเล่นงานที่ไม่มีใครรู้จักเรา อันนั้นมันจะอีกแบบนึง ไม่เป็นไร แต่เราก็เล่นเต็มที่นะ แต่พอเป็นงานนี้เราอยากทำเพื่อทุกคนที่ตั้งใจมาดูเรา เราก็ทำโชว์กันใหม่ วันนั้นเป็นโชว์จริง ครั้งแรกที่ Mints มีอะไรแบบนั้น ซึ่งวันนั้นมีข้อผิดพลาดที่ชัดเยอะอยู่ แต่สำหรับผมมันสำเร็จตรงที่ผมรู้สึกว่าทุกคนพูดว่าโชว์มันดูโตขึ้น ต่อให้มันไม่ได้เพอร์เฟกต์แต่มันเห็นความแตกต่างจากปีก่อนมาก ปีก่อนเด็กมากแต่มันโอเคในแบบของมัน ถ้าจะให้เทียบตอนนั้นกับตอนนี้ มันก็เทียบกันไม่ได้ เราก็เล่นมาปีสองปี มันก็ควรจะดีขึ้น

ดีไซน์โชว์ยังไง

ตน: ตอนแรกเราตั้งโจทย์เลยว่าเราเล่นต่อจาก Paradox เราจะทำยังไงให้โชว์เราสู้เขาได้ เรากลัวว่าพอถึงโชว์เราแล้วฟีลคนดูจะดรอปไปเลย แต่เรารู้ตัวว่าจะให้มันแบบเพลงเขาก็ไม่ได้ มันคนละแนว เราเลยตีโจทย์ให้มันไปทางตรงกันข้าม ก็คือเราต้องล้างหูให้ได้ในหนึ่งนาทีแรก และเป็นครั้งแรกที่ Mints ใช้ md เล่น interlude เปิดตัว ปกติเราใช้วงเล่น แล้ว md อันนั้นเราทำกันโดยเริ่มจากเปียโนก่อน จะมีความ jazzy นิดนึง แต่ยังมีบีตฮิปฮอปแบบ Mints คือเราควรมาในเวย์นี้ แล้วก็เปิดด้วย Lovephobia เลยเพราะอยากโชว์ direction ใหม่ ตอนแรกกะเอาไว้เพลงท้าย แต่พี่ยิ้มบอกให้โชว์ไปเลย ซึ่งมันก็ได้ผล แม้เพลงแรกจะมีปัญหาทางเทคนิคเยอะมาก ถ้าให้พูดก็เสียดาย แต่มันก็โอเค

แล้วคราวนี้ร้องเพลงมั่นใจขึ้นไหม

ตน: ก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี (หัวเราะ) แต่คิดว่าต้องพัฒนาไปเรื่อย ทำให้มั่นใจให้ได้

อยากรู้ว่าการเป็นนักแสดงมาก่อนทำให้เราเอนเตอร์เทนคนดูได้ดีกว่าวงอื่นไหม หรือมันใช้เทคนิคที่ต่างกัน

อัด: ผมว่ามันไม่เหมือนกันเลย การเป็นนักแสดงบางครั้งมันไม่ได้เอนเตอร์เทนใครด้วย และสำหรับผมการเอนเตอร์เทนมันเป็นเรื่องยาก ด้วยผมไม่ใช่เนเจอร์คนสนุกสนาน เอเนอร์จี้เรานิ่ง ไม่ใช่คนเฮฮา ช่วงแรก มันก็ค่อนข้างมีปัญหา ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ไม่ใช่นักร้องที่เอนเตอร์เทนอยู่ดี ผมไม่สามารถเอนเตอร์เทนสุด ผมก็เลยพยายามหาจุดของเรา ก็ยังไม่ได้เจอ 100% หรอก ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขกับการร้องเพลง ผมน่าจะชอบการสื่อสารอารมณ์มากกว่า งั้นเวลาเราร้องเพลงเราอยู่กับอารมณ์ดีกว่า จะไม่ได้โฟกัสว่าจะทำให้เขาสนุกยังไงขนาดนั้น คิดว่าถ้าเราแค่มีเอเนอร์จี้นี้แล้วเราอยากส่งออกไป แล้วเขารับ มันก็เหมือน acting นิดนึงเหมือนกันนะ ถ้าเราส่งไปแล้วรีแอคอะไรกลับมา เราก็รับอีกที ปล่อยให้มันโฟลวแบบนั้น แล้วเราก็จะมีสายซับ คือตนมันจะพูดมาก บางทีไอ้นี่ก็จะช่วยทำให้ relax ขึ้น มันก็เลยเหมือนแบ่งรับแบ่งเบา

ตน: ใช่ เหมือนคานกันอยู่ ซึ่งมันก็ดีนะ เหมือนเวลาที่เราเล่นผมรู้สึกว่าเรื่องเอนเตอร์เทนคือความจริงใจ ถึงต่อให้ผมเป็นคนเอนเตอร์เทน แต่ถ้าผมไม่รู้สึกผมก็ไม่ทำนะ อย่างเวลาเล่นจะไม่ได้ดีไซน์ว่าท่อนนี้ต้อง เย้ ฮู้ว ทุกคน โดดดด แต่มันคือ โมเมนต์นั้น ผมคิดเหมือนพี่อัดอะครับ ถ้ารู้สึกอะไรจริง ก็ควรสื่อสาร

อัด: บางโชว์ผมนิ่งแทบจะไม่ได้พูดเลยก็มี เพราะคิดว่าบางทีผมไปฝืนทำ แบบ อยากจะสนุกแต่ตัวเราเองยังไม่ทันรู้สึกเลย มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกแบบเรา ผมก็เลยค่อนข้างตามความรู้สึกตัวเองมาก

บรรยากาศงานเป็นยังไงบ้าง

ตน: ผมไม่ค่อยได้สังเกต คนเยอะขึ้น ได้ไปดูวงน้อยเหมือนกันเพราะเราต้องเข้าบูธค่าย คนเยอะ เดินลำบากมาก กว่าจะได้ไปดูแต่ละเวทีวงก็เล่นจบไปแล้ว เท่าที่สังเกตก็ไม่ค่อยเข้าใจเทรนด์เท่าไหร่ว่าเขาสนใจอะไร ถ้าพูดในแง่ของวง Mints คือคนรู้จักวงเราเยอะขึ้น Lovephobia ผมดีใจมากที่ผมร้องคำแรก ‘Think too much’ คนร้องตามดังมากทั้งที่เพลงเพิ่งปล่อยมาได้อาทิตย์เดียว ปีที่แล้วเวทีสองคนก็ดูเยอะ แต่คนไม่ได้ร้องตามดังขนาดนี้ ก็สักครึ่งนึงที่คนมาดูเราร้องตามได้

อัด: เหมือนปีนี้วงเยอะขึ้น วงหน้าใหม่ได้แจ้งเกิดหลาย เวทีมากขึ้น ผมว่ามันดีนะที่มีตัวเลือกเยอะขึ้น

คิดว่าทิศทางดนตรีไทยในอนาคตควรทำยังไงให้ศิลปินหน้าใหม่มีพื้นที่ในการโชว์มากขึ้น

อัด: ยุคนี้ศิลปินใหม่เกิดขึ้นเยอะมาก แล้วเขาทำเพลงด้วยตัวเองได้ มีช่องทางให้เขาแสดงออกถึงผลงานของเขาด้วย แต่ปัญหาต่อไปคือจะเป็นที่รู้จักและยืนอยู่ในวงการเพลงได้ยาวคือเป็นเรื่องยาก สิ่งสำคัญคือต้องได้รับโอกาสในการเล่นสด ทุกวันนี้สำคัญมาก เหมือนพิสูจน์ว่าคุณเป็นศิลปินแล้วจะอยู่ได้จริง หรือเปล่า ถ้าคุณปล่อยเพลงแล้วเพลงอาจจะดังมาก ก็ได้ แต่สุดท้ายพอไปดูโชว์บางทีไม่ประทับใจก็ไม่รู้จะตามอะไรต่อในแง่คนดู ผมว่าศิลปินหน้าใหม่หลายคนตอนนี้เพลงเพราะ เพลงดีเยอะมาก แค่เขาไม่มีโอกาสไปเล่นสด ก็รู้สึกว่าถ้ามันมีเวทีให้หน้าใหม่เกิดขึ้นเรื่อย ให้คนได้ explore ว่ามีวงแบบนี้อยู่ หรือจะเป็น music festival สำหรับ new faces ไปเลยผมว่าก็ดี แบบปีนี้เกิดวงนี้ขึ้น ๆๆๆ แล้วก็เป็น showcase ไป อยาก Cat Expo มันก็จะมีเวที แบบเบดเบด ให้พวก Bedroom Studio ก็เป็นการให้โอกาสใหม่ บางทีได้ดูปุ๊บเหมือนเราตกหลุมรักเขาแล้วอยากติดตามต่อ ผมว่าถ้ามีเวทีแบบนี้เกิดขึ้นเรื่อย มันน่าจะเป็นอะไรที่ดีสำหรับวงการเพลงไทย ให้ทุกคนที่มี passion ได้โชว์มากกว่าแค่เป็นแทร็คในออนไลน์

ตน: คิดเหมือนกัน ถ้ามันมีพื้นที่ให้แสดงออกมากขึ้นมันก็จะดี เหมือนตอนนี้มันดีกว่าเมื่อก่อนมาก แล้ว ผมว่าวงการเพลงไทยค่อนข้างเปิดกว้าง ถึงตอนนี้มันจะมีเมนสตรีมอยู่ แต่พวกที่เป็นอินดี้มันอยู่ได้ ก็มีพื้นที่ให้แสดงเยอะขึ้นมาก อย่างมิวสิกเฟสติวัล วงนี้ไม่มีค่าย ก็ยังมีโอกาสได้ไปเล่นเยอะมาก แต่ผมเดาว่าในอนาคตน่าจะมีมากกว่านี้อีก แล้วมันกำลังไปในทิศทางที่โอเค

คิดว่าอะไรทำให้ Whal & Dolph, Zweed N’ Roll, The Toys, Safeplanet ดังเป็นพลุแตก

อัด: ผมว่าหนึ่งคือผลงาน มันคือเพลงที่เพราะ ฟังแล้วเข้าถึงคนได้ด้วยอะไรบางอย่าง แล้วไม่มีการตีกรอบ อย่างผมเป็นคนฟังเพลงเพราะ ไม่ว่ามันจะอยู่ฝั่งไหน ผมฟังหมดถ้ามันเพราะ แล้วทุกวันนี้คนเปิดกว้างการฟังเพลงมากขึ้น แบ่งแยกว่าเมนสตรีม อินดี้ น้อยลง ทำให้เพลงที่เพราะขึ้นมา กูฟัง mindset นี้กำลังค่อย โตขึ้นสำหรับคนฟังเพลงไทย วงที่ดู niche มาก ก็เริ่มเป็นที่รู้จัก แล้วกลายเป็นวงที่ใหญ่ขึ้น ปรากกฏการณ์นี้เกิดขึ้นกับวงเหล่านี้ แล้วเดี๋ยวนี้เวลาเจอเพลงอะไรเพราะ ผมเป็นโรคชอบแชร์ต่อให้ไปฟังวงนี้ หรือเรารู้ว่าวงที่เราชอบจะมีเล่น บางทีก็ชวนเพื่อนที่เหมือนจะชอบแต่ยังไม่รู้จักไปด้วย แล้วพอเขาไปดูสดแล้วประทับใจเพลง เขาก็ชอบ มันเหมือนการบอกต่อด้วย แล้วอินเทอร์เน็ตมันทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็ว ทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ผมว่าก็มีผลมาก

ตน: ผมว่า identity ของ 4 วงที่ถามมานี้เขาชัดมาก ความเป็นศิลปิน ตัวตน เทสต์ แล้วผมก็รู้จักหมด มีโอกาสได้คุย ทุกคนฝ่าฟันมาเยอะมาก เราจินตนาการไม่ออกหรอกว่าเราเจออะไรมาขนาดไหน แล้วทุกคนชอบมองว่าอย่างพี่ทอยทำไม่กี่เพลง แปปเดียวก็ดัง ใครจะรู้ว่าพี่ทอยฝ่าฟันมาเยอะมากกว่าจะมาถึงตรงนี้ เข้าเป็นคนซ้อมหนักมาแต่ไหนแต่ไร อย่างพี่ปอเขาทำมากี่วง พี่เอ พี่พัด ก็รุ่นพี่คณะ มันไม่มีใครเกิดมาเป็นเพชร ทุกคนผ่านการเจียระไนบางอย่างมา จนมีตัวตนที่ชัดเจน ผมว่าที่เหมือนกันคือทั้งสี่มีความพยายาม ไม่ยอมแพ้

อัด: ผมว่าสิ่งนี้สำคัญมาก กว่าเราจะมาเจอตัวเองจริง กว่าจะเข้มแข็ง อยู่ตรงนี้ต้องอดทดมาก เขาอดทนมาก เจออะไรกันมาบ้างไม่รู้ พวกเราเพิ่งเริ่มทำ หลาย ครั้งยังรู้สึกว่าเจออะไรนิดหน่อยเรายังนอย ยังท้อ เลิกทำดีกว่า บางทีมันอธิบายยากมาก ความมั่นใจจากร้อยไปเป็นศูนย์ เราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะทำสิ่งนี้ได้อีกไหม รู้สึกว่าพี่ แก๊งนี้สุดยอด มันต้องอดทน ใช้เวลา อีกอย่างต้องไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเองในทุก วันที่เราอยู่ตรงนี้ เขามีตรงนี้กันหมด จากวันที่เราดูเขามาแรก แล้วทุกปีเขาเก่งขึ้นเรื่อย เลเวลอัพ มันคือห้ามหยุด ถ้าคุณหยุดก็คือจบแล้ว

ตน: ผมกับพี่อัดเป็นคนขี้นอยมาก อย่างเพลง lovephobia วันแรกทำไมไม่ถึงแสน วันเดียว หรือแบบเพลงกูไม่เหมาะวะ แต่มันก็เป็นแค่วูบเดียวเดี๋ยวก็หายไป

Mints พัฒนาตัวเองยังไง

ตน: แต่ทุกวันนี้เราก็พยายาม เรามีครูที่ดี พี่ยิ้มสุดยอด ถ้าไม่มีพี่ยิ้มอาจจะไม่มี Mints แบบที่เป็นแบบนี้ แล้วถ้าไม่มีพี่ยิ้มผมคงพัฒนาตัวเองช้า ด้วยเนเจอร์ของผมนิสัยเสีย ชอบต้องให้มีคนกระตุ้น แต่เวลาโดนกระตุ้นแล้วอินจะตะบี้ตะบันทำแบบบ้าคลั่ง ถ้าปกติก็จะขี้เกียจ เป็นคนเฉื่อย พี่ยิ้มเป็นแรงกระตุ้นชั้นดี ตอนนี้ก็พยายามให้พี่ยิ้มไม่ต้องพูดซ้ำ บ่อย พยายามทำด้วยตัวเอง ก็ปรับปรุงมาก คิดว่าซักวันจะดีขึ้น มันเหมือนเป็นกำแพงสุดท้ายของผมด้วยแหละ ถ้าผ่านไปได้คงก้าวไปได้ในอีกสเต็ปนึง

อัด: เป็นโรคจิตกับการอยากทำหน้าที่เราให้ดีที่สุด เราไม่ได้ร้องเพลงได้แข็งแรงขนาดนั้นก็เลยไปเรียน ผมรู้สึกยังไม่ดีพอเลยต้องพุชตัวเองมากกว่านี้ แล้วก็อยากรีแล็กซ์บนเวที ในอนาคตก็อยากจะไปเรียนเต้น ตอนนี้ body movement มันตายก็จะหาวิธีที่ทำให้เราผ่อนคลายมากที่สุด บางทีเรารู้เราอยู่ข้างหน้าเราสบายนะ แต่พอขึ้นไปมันแข็ง ผมก็จะวิเคราะห์ตัวเองจากทุกโชว์ว่าอันนี้ดูคลิปตัวเองแล้วเป็นหินเลยว่ะ พี่ยิ้มก็จะบอกว่าลองไปเต้นดู อยู่บ้านก็เปิดเพลงเต้นให้รู้สึกละลายมากขึ้น ผมก็ค่อย โอเคขึ้นแต่ก็อยากจะโฟลว ออนบีตได้มากกว่านี้ เลยกะจะไปเรียนเพิ่มครับ

แล้วตอนได้หรือยังว่า Mints ตอนนี้เป็นวงแบบไหน

อัด: ผมว่าเป็นวงที่สมาชิกแตกต่างกันสุดขั้ว แต่พอออกมาแล้วได้รสชาติเฉพาะตัว ไม่รู้ว่าใหม่ไหม แต่มันมิกซ์ความต่างบ้าบออะไรไม่รู้ออกมาได้

ตน: ผมนึกถึงคำว่า young adult แหละ ผมว่า Mints เป็นเสียงของวัยรุ่นเหมือนกัน เป็นเหมือนกับวัยที่เราบอกว่าพยายามจะโตเป็นผู้ใหญ่

อัด: เป็นวงที่กำลังพยายามที่จะเป็นศิลปินเต็มตัว ตอนนี้อาจจะมองว่าเรายังไม่เต็มตัว แต่วันนึงจะทำให้ดู ตอนนี้กำลังสู้เพื่อไปสู่จุดนั้น ตอนนี้เวลามีคนถามว่ามองตัวเองเป็นศิลปินเต็มตัวหรือยัง ผมจะไม่กล้าตอบขนาดนั้น ยังอยู่ในช่วงพยายามอยู่ ไม่รู้ว่าวันไหนคนจะพูดคำนั้นกับเราเหมือนกัน

ตน: แต่ถ้าถามว่าต้องการอะไรก็ตอบได้ค่อนข้างชัดนะ ต้องการที่จะเป็นศิลปิน แต่ยังทำไม่ได้ ก็อยากพิสูจน์ตัวเองว่า ความชอบของเรา สิ่งที่เราอยากนำเสนอ มันสามารถ touch ผู้คนได้ ตอนนี้อาจจะยังเบลนด์ไม่ได้ แต่จะทำให้ได้

อัด: บางทีเราต่อสู้กับการเป็นนักแสดงมาก่อน มันยังทำให้หลาย คนยังไม่รู้หรือจำภาพเราแบบนั้นอยู่ หลาย ครั้งที่เรามองกลับไปแล้วเขาไม่ได้รู้จักเราจากอันนี้ มันก็จะมีความรู้สึกที่อยากสู้ให้เขาเห็นว่า จำกูแบบ Mints สิ การแสดงก็ยังมีอยู่นะครับไม่ได้เลิก แต่อยากให้มันแยกจากกันได้ชัดเจนมาก อยากให้มอง Mints ว่าไม่ใช่วงดาราทำเพลง

ฝากผลงาน

ตน: ก็ขอฝากเพลงใหม่ของพวกเราด้วยนะครับ Lovephobia ฟังได้แล้วในสตรีมมิงต่าง แล้วก็ฟังใจด้วย ปีหน้าเราอาจจะปล่อยอัลบั้มเต็มปลายปี

อัด: ถ้าทุกอย่างทันและลงตัว มีซิงเกิ้ลให้ฟังแน่ น่าจะสามเพลงครับ แล้วก็ตู้มอัลบั้มเลย ฝากด้วยครับ

 

อ่านต่อ
ดูโอ้หน้าใส mints ที่พร้อมออกมาสร้างความสดชื่นให้เราอีกครั้งใน ‘lovephobia’
Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้