Interview

เป็นรุ่นใหญ่ไม่จำเป็นต้องปิด ‘ZiggaRice’ และการปรับตัวจาก old school สู่ trap

ZiggaRice คือแร็ปเปอร์ดูโอ้เจ้าของเพลง Pussy, High Luv และ Do it 4 Love ที่ชาวเน็ตคุ้นเคยกันเมื่อหลายปีก่อนกับซาวด์ old school, neo-soul, r&b สุดละมุน แต่อันที่จริงพวกเขาสองคนคลุกคลีอยู่ในวงการดนตรีมานาน และอยู่เบื้องหลังศิลปินทั้งป๊อป อินดี้ และฮิปฮอปมากมาย

ถึงกระนั้นแล้ว ZiggaRice ก็ยังไม่หยุดที่จะ explore อะไรใหม่ ๆ เพราะล่าสุดก็ได้มาอยู่ค่าย Def Jam Thailand ก็ยังนำเสนอลีลา trap ออกมาในเพลง แมงเม่า feat. Eskiimo ได้แปลกหู มาดูกันว่าอะไรที่ทำให้รุ่นใหญ่อย่างพวกเขากล้าที่จะเปิดใจให้กับแนวดนตรีของเด็กรุ่นใหม่

ZiggaRice

ZiggaRice พบกันที่ร้าน Sneaka Villa และเริ่มทำเพลงที่นั่น

หมีจริง เรารู้จักกันก่อนหน้านั้นแล้ว ตอนประมาณปี 2008 ในซีนฮิปฮอป แต่ไม่ค่อยได้คุยกัน แล้วผมก็เป็นรุ่นน้องของเจ้าของร้าน วอยทำงานที่นั่น เราก็ไปนั่งชิลกันมากกว่า มันเป็นร้าน street fashion ชั้นบนเป็นร้านไวนิล เป็นที่นึงที่ผมเอาไว้ทำดนตรีด้วย ผมกับวอยนั่งกดบีตกันที่ร้าน Sneaka Villa แต่คนละสาขา (หัวเราะ) จนผมมีบีตกว่า 20 อัน บางอัน Twopee เอาไปใช้บ้าง หรือเก็บไว้ของตัวเองบ้าง แล้วก็ให้คนอื่นด้วยบ้าง แต่ร้านเขาย้ายไปแล้วเราก็เลยไม่ได้ไปทำแล้ว ต้องทำสตูกันเอง

วอย: ตอนนั้นเราทำเพลงด้วยกันแล้วเพลงนึงก่อนจะมาทำ ZiggaRice ด้วยกัน J.Crow in the Morning นานมากแล้ว น่าจะหลังช่วง Limousine ด้วย ตอนนั้นคือ Dâm-Funk มาเราแล้วไปเล่นเปิดให้เขา

หมี: หลังจากนั้นผมกับวอยก็แทบไม่ได้ร่วมงานกันเลย ผมไปทำบริษัทสถาปนิกของพี่ แต่ก็ทำเพลงอยู่ด้วยบ้าง คือตอนนั้นยังลังเลว่าจะไปทางดนตรีเลย หรือจะกลับไปทำงานที่บ้าน ส่วนวอยไปเป็นบาร์เทนเดอร์ แต่ตอนหลังผมก็เลือกมาทำเพลง ได้ไปทำกับป๊อก Mindset ละ

จนประมาณ 2015 มีอยู่วันนึงผมไปสตูดิโอของ EAZY I AM คืออีซี่สอนผมทำบีตมาตั้งแต่มหาลัย แล้วเขาก็มี connection กับหลาย คน วันนั้นผมไปเจอวอย ก็เลยคุยกัน attitude เราใกล้กัน เพลงเราชอบคล้ายกัน งั้นเรามาทำเพลงด้วยกันไหม จนมามีเพลงชื่อ Pussy ครับ ที่เป็น ZiggaRice จริง ได้เอาชื่อสองคนมารวมกัน ได้คิด mv และนั่นก็เป็นซิงเกิ้ลแรก

เริ่มทำบีตยังไง

หมี: ตอนแรกไม่ได้ทำบีตแร็ป เราแร็ปอย่างเดียวแล้วใช้เป็น mixtape แต่ก็มารู้สึกว่าถ้าเราอยากมีเพลง official ของตัวเอง ตอนนั้นยังเด็กไม่มีกำลังทรัพย์ที่จะไปซื้อบีตมา ก็ลองเคาะด้วยตัวเอง เหมือนอะไรที่เราอยากได้ยินก็วาดลงไปในโปรแกรม กว่าจะทำได้ก็ใช้เวลานานมาก จากมั่วไปเรื่อย จนมันเริ่มลงล็อก เริ่มทำลูป จนเป็นกรูฟ แล้วเราก็เริ่มแร็ปกับดนตรีอันนี้ได้ ต้องอาศัยฟังเยอะ

จริง ฮิปฮอปค่อนข้างนอกกรอบ มันไม่มีทฤษฎีตายตัว มันอยู่ที่เราอยากได้ยินอะไรก็เขียนลงไปเลย มันมี rhythm ที่กำหนดไว้นิดนึง แต่จริง มันก็ค่อนข้างฟรี บีตของฮิปฮอปมีหลายแนวมาก ถ้าให้จำกัดแนวของบีตฮิปฮอปมันก็ยาก เพราะว่ามัน hybrid มาจากแนวอื่นจนมาเป็นฮิปฮอป บางทีผมฟังแล้วรู้สึกถึงเพลงร็อก บางทีก็เป็น Motown โซล บางทีเป็น funky 80s

เป็นเด็กฮาร์ดคอร์กันมาก่อน แล้วอะไรทำให้มาสายฮิปฮอปได้

วอย: ยุคผมก็เล่นสเก็ต พ่นกราฟิตี้ เด็ก ไปเรื่อย

หมี: ผมก็ nu-metal เป็นเด็กสเก็ตมาก่อน เหมือน culture มันเชื่อมกัน คือผมเล่นสเก็ตบอร์ดตอนเด็ก สังคมเพื่อนที่เล่นด้วยกันจะฟังฮิปฮอป nu-metal ป๊อปพังก์บ้าง หรือพังก์ไปเลย ผมก็ได้ซึมซับวัฒนธรรมพวกนั้นหมด จนเมื่อประมาณ 90s ปลาย ที่ nu-metal มา แทบทุกวงเขาจะแร็ปลงดนตรีฮาร์ดคอร์ อย่าง Limp Bizkit, Linkin Park, Korn อะไรเทือก นั้น แล้วมันมีช่วงที่ Limp Bizkit ไปร้องกับ Wu Tang แล้วมี Redman เข้ามา เหมือนว่านี่เราฟังเพลงฮิปฮอปอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว เลยได้ซึมซับเพลงแร็ปมาโดยที่ไม่รู้ว่าเราชอบหรือเปล่า แต่เราก็แร็ปตามเขาได้เพราะเราฟังเพลงเขาทุกวัน

แล้วทำไมตอนวอยทำ Limousine เพลงถึงออกมาเป็น r&b หวาน เลย

วอย: ตอนนั้นผมเปลี่ยนมาฟังฮิปฮอปแล้ว ผมไปเรียนที่เยอรมนีด้วย ก็ฮิปฮอปหนังเลยทั้งกราฟิตี้ ทั้งบีบอย ซีนประเทศเขาเองก็เข้มข้น พอกลับมาก็มีโอกาสได้รู้จักกับพี่หนึ่ง coolvoice.com ที่ทำ Limousine เขาเลยชวนมาทำ ตอนนั้นผมกำลังจะเรียน sound engineer ก็ได้มาทำ ช่วงนั้นก็ซึมซับความเป็นโซลอะไรมาแล้ว แล้วก็เพิ่มความบัลลาด 80s เข้าไป

พูดถึง Coolvoice.com มีหลายคนมากที่บ่นคิดถึง ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสำหรับคนที่ไม่รู้จักว่าคืออะไร

วอย: เป็นเว็บเพลงอินดี้เว็บแรกของประเทศไทย น่าจะเริ่มจากพี่หนึ่ง คือความชอบเพลงนอกกระแสที่ไม่ได้มีค่าย ตอนนั้น หรือเป็นค่ายเล็ก อย่าง Smallroom, Believe Records ช่วงแรก เขาไม่ได้มีช่องทางปล่อยอะไรขนาดนั้น แล้วตัวพี่หนึ่งเองก็มีเพื่อนที่ทำเพลงเยอะ อย่างแก๊ง Monotone เลยทำเว็บขึ้นมา ผมก็ไปทำตอนหลัง แต่ตอนนั้นดีมาก ชีวิตทั้งวันคือฟังเพลงอย่างเดียว เพลงนี้ดี โอเค เราก็เลือกเพลงอัพโหลดขึ้นไป คอยคัดว่าอันไหนเหมาะ อันไหนโหดไปหน่อย แล้วก็ไปสัมภาษณ์ศิลปินอินดี้ ยุคนั้น เหมือนเป็นช่องทางไม่ถึงขนาด Fat Radio คือเราก็มาอยู่ออนไลน์ ถูกลิขสิทธิ์หมดเลย แต่เราก็จะตายเพราะมาเจอ YouTube พอศิลปินเขามีช่องทางอัพโหลดเองได้ คนก็เริ่มเอนไปทางนั้นแล้ว แล้วก็เจอพวกแวมไพร์ ซีดีเริ่มตาย เราก็ค่อย เฟดไป

ในฐานะที่หมีทำงานกับค่ายใหญ่ด้วย หมีเอามาปรับใช้กับงาน underground ของตัวเองยังไงบ้าง

หมี: แตกต่างชัดเจนมาก ยุคที่ผมเริ่มจาก mixtape ตอนนั้นเด็ก ก็จะเป็น gangster rap แต่พอผมเข้าแกรมมี่เขาก็พยายามเกลาให้ผมเข้าหาป๊อปมากที่สุด ผมก็เริ่มเข้าใจว่าจะเขียนเพลงยังไงให้คนฟังมากขึ้น ก็ได้เรียนรู้จากที่อยู่ค่ายใหญ่ ก็มีรุ่นพี่ในนั้นสอนว่าผมควรจะเขียนเพลงแบบนี้นะ ท่อนฮุกจะเป็นแบบนี้หรือเปล่าถ้าอยากจะให้คนฟังเพิ่มขึ้น แตกต่างจากตอน underground มาก จนตอนนี้จะเรียกว่าเป็น hip-pop เลยก็ได้ (หัวเราะ) ซึ่งผมก็ชอบนะ แต่ผมก็มีไอเดียตั้งแต่เด็กว่าอยากทำแบบ ZiggaRice ตอนนี้ เป็น neo-soul, hiphop เป็นแบบ J Dilla ไวบ์นั้น ส่วนตอน ZiggaRice ก็ไม่เหมือนกับตอนที่แรกเลย คือผมได้เรียนรู้การเขียนเพลงมากขึ้น ศึกษาให้มันลึกมากขึ้นและทำให้ใกล้กับเขามากขึ้น

ZiggaRice

อีกคนที่ต้องพูดถึงคือ Jayson Creer เขาคือเจ้าของเสียงร้องเพราะ ในหลายเพลงของ ZiggaRice

วอย: มันไม่ใช่มนุษย์ปกติ เรารู้จักกันตอนทำ Limousine ถ้าผมจำไม่ผิด พี่ใหญ่ Monotone แนะนำมา ตอนทำอัลบั้มก็หานักร้องใหม่ มาร่วมงานอยู่ ตอนแรกฟังเสียงนึกว่าต้องหล่อแน่ ฝรั่งแน่ (หัวเราะ) แต่เขาเก่งมาก

หมี: เขาเป็นคนที่ร้องเพลงเก่งมาก ผมได้ความรู้จากเขาเยอะมาก เขาสอนผมร้องเพลง ใช้ลม ผมเป็นแฟนเพลงวอยกับเจสันมาก่อนที่จะรู้จักกัน แล้วผมคิดว่าวันนึงถ้ามีโอกาส ผมจะต้องร้องเพลงกับเขาให้ได้ ซึ่งวอยก็จัดการติดต่อให้เขามาร่วมงานกับเรา

จะมีโอกาสกลับไปทำแบบดิบ underground ที่เคยทำอีกไหม

หมี: อาจจะไม่ได้ gangster ขนาดนั้น แต่มีความดิบ ความ negative ใส่ลงไปใน rhyme บ้าง เล่าเรื่องอะไรหนัก แต่ไม่ได้แย่ก็น่าจะมีบ้าง ในยุคปัจจุบันฮิปฮอปก็มีสิ่งที่เรียกว่าแทร็ป ซึ่งเวลาผมกับวอยทำแทร็ปก็อยากใส่ความ aggressive เข้าไป มันเหมือนเป็นไดอารี่ที่เราอยากเขียน คือเราก็ไม่ได้แฮปปี้ทุกวัน ก็จะเลือกเรื่องที่อยากร้องบนบีตแทร็ปบ้าง หรือ old school ที่ฟังดูอึกทึกบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำตลอด เป็นช่วงอารมณ์มากกว่า

ก่อนหน้านี้ทำ old school มาเยอะ แล้วพอเปลี่ยนมาทำแทร็ปยากไหม

วอย: ยากนะ สัดส่วนมันไม่เหมือนกัน

หมี: ยากครับ ผมยอมรับว่าฝึกร้องแทร็ปประมาณหนึ่งปีเต็มกับการใช้ autotune ให้ถูกวิธี การทำโทน autotune หรือเวลาเราอยู่ในห้องอัดแล้วพวกเราจะทำยังไงให้มันออกมาเพราะ เพราะ autotune มันเหมือน instrument อันนึง เหมือนเราลีดคีย์บอร์ด ถ้าเราร้องไม่ดีมันก็จะไม่ดี ซึ่งมันทำยากมาก เพราะผมร้อง old school แบบ New Jack Swing หรือสัดส่วนแบบฮิปฮอปแจ๊ส มันก็จะแตกต่าง คิดไม่เหมือนกันเลยสองอันนี้ เหมือนเริ่มใหม่ แต่ผมชอบ มันสนุกดี ท้าทายดี สัดส่วนแทร็ปจะค่อนข้างล็อก แล้วมันต้องร้องให้ตรง จริง มันไม่ได้ฟิกซ์ว่าต้องร้องให้ตรงขนาดนั้น มันอยู่ในการทำโทนที่จะร้องมากกว่า เพราะ autotune ถ้าเราร้องไม่ดีมันจะน่ารำคาญ (หัวเราะ) แต่ถ้าทำโทนดี มันจะเพราะ เราจะรู้สึกว่ามันคือเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่มีเสียงเราเข้าไปแปะ

มีทริคไหมว่าทำยังไงมันถึงจะออกมาดี

หมี: ผมไม่รู้ว่าใช้ถูกวิธีขนาดนั้นไหม แต่ผมอาศัยฟังจากฝรั่ง เขาออกเสียงยังไง แร็ปเป็นยังไง แล้วมาลองใส่กับ autotune ร้องเปล่า เหมือนคนบ้า ร้องทั้งวันจนรู้ว่าออกเสียงแบบนี้ เวลาโดน autotune แล้วมันจะออกมาเป็นแบบนี้ ก็เลยเอามาใช้ใน rhyme ที่เราเขียน

กังวลไหมว่าแฟนเพลงของ Limousine และ ZiggaRice จะเหวอตอนเราเปลี่ยนแนว

หมี: เรียกว่าตอนที่เริ่มทำแทร็ป ผมก็ศึกษาแทร็ปมาประมาณนึง ก็ทำให้เต็มที่ ไม่ถึงกับกังวล มันสนุก

วอย: เหมือนเราได้ลองทำอะไรใหม่ มากกว่า

ทำไมสนใจแทร็ป มันมีเสน่ห์ยังไง

หมี: มันมาจากความรู้สึกที่ผมได้ฟังเพลงแทร็ปแล้วผมชอบ ผมไม่แอนตี้ ฮิปฮอปมัน hybrid เข้าสู่สิ่งใหม่มาก่อน ก่อนจะมาเป็น old school มันก็เป็นร้องกับบีตฟังก์มาก่อน แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นฮิปฮอปที่สมบูรณ์ใน 90s มาเป็น dirty south เป็นอะไรก็แล้วแต่ ผมว่ามันแปลกใหม่ ถ้าเป็นอะไรที่เราไม่เคยทำแล้วลองดู ผมว่ามันก็เป็นการให้อะไรตัวเอง ว่าเราไม่ได้อยู่แนวใดแนวนึง ไม่ได้ยึดติด สนุกดี

ตอนเข้าแคมป์ของ Def Jam เป็นยังไงบ้าง

หมี: เหมือนพี่เวย์ Daboyway เรียกโปรดิวเซอร์เข้าไป แล้วแยก section ว่าใครอยากทำ old school ใครอยากทำแทร็ป แล้วเรียกแร็ปเปอร์ คนเขียนเพลงหลาย คนมาอยู่ด้วยกัน แล้วใครอยากทำแนวไหนก็ไปหาโปรดิวเซอร์คนนั้น (วอย: เราก็เปลี่ยนห้องไปเรื่อย ) มันสนุกมาก เพราะเรามี 4-5 สตูดิโอตลอดเวลา บางทีทำสตูดิโอนี้อยู่ อีกแปปนึงก็ย้ายไปทำตรงนี้ ทุกคนที่เป็นโปรดิวเซอร์เขาจะมีแนวของตัวเอง เราอยากไปแนวไหนก็เดินเข้าไปเลย หรือถ้าเราอยากให้แร็ปเปอร์คนไหนมาร่วมร้องกับเรา ก็ไปเรียกเขามาแจมได้เลย สมมติ NINO นั่งทำบีตอยู่ เราก็เข้าไปขอมาทำได้ไหม แล้วก็เรียกคนนี้มาอัดร้องก่อน อีกคนก็เข้าไปร้องต่อ ก็เสร็จแล้ว สลับห้องอัดไปเรื่อย หรือถ้าโปรดิวเซอร์อยากได้เราในเพลงนั้น เขาก็จะมาเรียกเรา

ตอนเขียน แมงเม่า มีไอเดียยังไงบ้าง

วอย: มันก็เป็นแทร็ปในแบบเรา

หมี: เล่าถึงเวลาเรามีอะไรเข้ามาหาเราเยอะ มาอยู่ตรงหน้าเรามาทำให้เรารำคาญ ไปข้างหน้าไม่ได้ ก็จะคิดว่า แมงเม่าป่าววะ มากวน ปีกติดหน้าเต็มไปหมด เราก็แค่ปัดแมงออกไป แล้วก็ไปในทางที่เราต้องการ

ทำไมต้อง Eskiimo

หมี: เขาก็ไปอยู่ในค่ายกับเรา แล้วเพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายที่ผมเขียนเพลงไม่ไหวแล้ว เขียนเพลงมา 5 วัน สมองผมไหม้แล้ว ตอนนั้นตี 4 แล้วนีโน่บอกว่า พี่อะ พี่ต้องร้อง ต้องแทร็ปบ้าง ผมก็แบบ ได้ แล้วใครจะร้องฮุกอะ นีโน่บอกต้อง Eskiimo แล้วแหละ แล้วเราก็นั่งอยู่ในนั้นสามคน ก็เขียนเลย อัดเลย แล้วผมรู้สึกว่าผมจะเขียนเพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายแล้ว ผมไม่ไหวแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เขียนไป 8-9 เพลงละ แล้วแคมป์ใกล้จบละ นั่นเป็นเพลงสุดท้าย ก็ไม่คิดว่าจะได้ปล่อยเป็นซิงเกิ้ลที่สองต่อจาก โคตรมา ด้วยซ้ำ คือทุกเพลงตั้งใจทำหมด แต่อาจจะล้าหน่อย เพราะเขียนเยอะ ไม่ไหวแล้ว 9 เพลงนี้อาจจะไม่ได้ใช้หมด บางเพลงเขียนไปแค่ verse เดียว เพราะบางทีผมกับวอยไม่ได้อยู่พร้อมกัน บางทีผมอยู่กับนีโน่ เขาอาจจะอยู่กับพี่เจ มณฑล ก็แยกกันไป

พอปล่อยเพลงออกมาแล้วฟีดแบ็กเป็นยังไง

หมี: บางคนบอกว่า ZiggaRice รั่ว แต่จริง ผมว่ามันสนุกดีออก ก็รั่วแหละ แต่ผมอยากให้มันเป็นแบบนั้น

วอย: มันเป็น experiment มากกว่า

หมี: มีคนบอกว่าดีใจที่เห็น ZiggaRice มาทำเพลงกับเด็กยุคใหม่ แล้วก็ทำอะไรที่ไม่เคยทำ เขาก็ชอบกันครับ

จะออกเป็น EP หรืออัลบั้มไหม

วอย: เพลงที่ทำที่แคมป์น่าจะอยู่ใน Def Jam compilation หมดเลย

หมี: ถ้าอัลบั้มของ ZiggyRice เราแยกทำออกมาเลย กำลังทำอยู่ครับ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนรวบรวมบีตให้ครบ แล้วก็เขียนฮุกบางเพลงอยู่ครับ

วอย: น่าจะได้ฟังปีนี้

จริง หมีก็ได้ทำงานกับแร็ปเปอร์รุ่นใหม่เยอะ

หมี: ผมเป็น ghost writer ครับ คนนึงที่ได้ทำงานด้วยก็ Gena Desouza ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ผมเขียนให้ ก็สนุกดีครับ เราสองคนก็สนิทกับน้องเขาอยู่แล้ว ก็ดีครับ เขาเห็นผมกับวอยแร็ป แต่จริง เขาเก่งด้านร้อง แล้วเขาอยากแร็ปบ้าง ผมก็บอกให้เขาไปทำการบ้าน เขาก็ทำได้ แล้วสุดท้ายเขาก็แร็ปเป็น ก็สนุกที่ได้ทำงานกับน้องเขา เขาเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่อายุห่างกับผมมาก ก็ไม่คิดว่าจะจูนกันติด แต่สุดท้ายเรา hangout กันได้เหมือนเพื่อนเลย การทำงานกับเขาก็ไม่ได้อึดอัดอะไร สนุกมากกว่า

คิดว่าใครที่ ‘โคตรมา’ ในยุคนี้

หมี: เด็กยุคใหม่ที่ทำทั้งแทร็ป ทั้ง old school มีเยอะมากที่ผมชอบ เก่งมาก Pattaya Flow, 1MILL, Artrilla มีน้อง หลายคนที่ทำเพลงเก่งมาก จนผมทึ่งว่าเด็กอายุ 15-16 ทำได้ขนาดนี้แล้ว ทำบีตเหมือนฝรั่งเลย ผมเจอ 1MILL ตอนเขาอายุ 13 ผมฟังเพลงเขาครั้งแรกนึกว่าเขามาจาก Atlanta เป็น gangster สุด แต่พอเห็นหน้าก็ตกใจว่านี่ 1MILL หรอเนี่ย ก็ทำให้ผมยอมรับฝีมือของเด็กรุ่นนี้เลยครับ ตอนผม 16 ยังทำเพลง ทำบีตไม่เป็นเลย แต่เดี๋ยวนี้เขา mastering, mixing กันได้แล้ว เด็กฮิปฮอปยุคนี้เก่ง

ตอนเล่นสด ชอบเล่นแบบ underground กลุ่มเล็ก หรือเล่นงานใหญ่ มากกว่า

วอย: ส่วนตัวผมชอบแบบ underground นะ มันใกล้ชิดกันดี

หมี: ผมชอบหมดไม่ว่าจะออกมาแบบไหน อยู่ที่ว่าคนที่มาฟังเราวันนั้น ถ้าเป็นเด็กที่ฟังเราจริง แล้วเก็ตเราจริง ผมจะเอนเตอร์เทนเขาในแบบวัยรุ่นหน่อย หรืออย่างถ้าไปเล่น Wonderfruit คนเขาไม่รู้จักเพลงเราเลย หรือคนที่มาดูส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง แต่เขาเอนจอยกับเรา เราก็ทำหน้าที่ MC หรือแร็ปเปอร์ที่ดีที่สุดในตอนนั้นก็พอแล้ว มันก็ต่างกันอยู่นิดหน่อย

มีความเห็นยังไงกับ mumble rap หลายคนแสดงความเห็นว่าร้องอะไร ฟังไม่รู้เรื่อง

หมี: ผมกลับมาความเห็นว่า mumble rap ร้องให้เพราะได้ มันไม่ง่าย เหมือนที่เราต้องเขียน rhyme old school ให้ฟังดูคูล การจะร้อง mumble ให้คูลมันก็ยากด้วย ผมไม่มองว่า mumble rap เป็นสไตล์มากกว่า ถ้าคุณชอบที่จะฟังแบบนั้น อะไรที่มันเบลอ แล้วเมโลดี้มันวิ่ง ฟังแล้วเพราะมาก คุณก็ไปแบบนั้น ถ้าคุณอยากฟังอะไรชัด แล้วรู้สึกถึงความ 90s ก็กลับไปฟัง old school อยู่ที่ความชอบครับ

ตอนนั้นก็มีอีกกรณีที่เขาเถียงกันว่าแร็ปรัก มันไม่ real ตอนนั้นวอยเลยทำ เพลงรัก ออกมาเลย

วอย: ผมว่ามันเป็นแค่หัวข้อนึงในสิ่งที่เราจะพูดไป เราสามารถพูดเรื่องความรัก ชีวิต พ่อแม่ ครอบครัว หรือเรื่องความรักก็แตกไปอีกหลายประเด็น มันแค่เรื่องนึงที่เราอยากเล่าออกไป

หมี: มันเป็นที่ attitude ของคนมากกว่าที่เขาจะมองว่าเพลงรักมันไม่ real เหมือนคนที่ชอบ old school มาก แล้วไม่เปิดใจรับ บอกว่าแทร็ปไม่เรียล คนที่ฟังเพลงแทร็ปแต่ไม่ชอบ old school ก็ไปมองว่าเขาน่าเบื่อ มันอยู่ที่บุคคลมากกว่าครับ ไม่สามารถบอกได้ตายตัวขนาดนั้น

งั้น real rap คืออะไร

วอย: อันนี้ตอบยาก จริง ผมเชื่อว่ามันมีคำจำกัดความของมันแหละ

หมี: มัน real เหมือนกันหมดแหละ อยู่ที่ว่ามัน real แบบที่เขาอยากให้มันเป็นหรือเปล่า มันบอกไม่ได้ว่าเพลงแทร็ปไม่ real หรือ old school มัน real กว่าแนวอื่น มันก็ real ในแบบของมัน

มองเทรนด์ฮิปฮอปในอนาคตว่าจะเป็นแบบไหน

หมี: ผมว่าแทร็ปก็น่าจะยังอยู่ แต่ก็มีแนวใหม่มาอย่าง Drill UK ไม่ได้หนีจากแทร็ปมาก แต่มันน่าจะมี hybrid ไปเรื่อย แต่กลองน่าจะมาจาก rhythm 808 ที่อยู่ในแทร็ป ผมว่าอันนี้จะอยู่นาน สัดส่วนดนตรีข้างในอาจจะเปลี่ยนไป เพราะดนตรีแบบนี้ ตอนเมื่อไม่กี่ปีผมจำได้ว่าเป็น dubstep ที่ใช้ 808 พอแทร็ปก็ใช้ แล้วผมว่าอันต่อไปก็น่าจะใช้ 808 อยู่ ซึ่งจริง old school เด็กยุคใหม่อย่าง Kota เขาก็ใช้ 808 เหมือนกันนะ แต่สัดส่วนมันเป็น old school ผมว่ามัน hybrid ไปได้เรื่อย แต่ผมก็ไม่รู้จะไปไหนต่อ

รู้สึกยังไงที่ตอนนี้อะไรเอะอะก็เป็นแร็ปไปหมด ทั้งโฆษณา รายการทีวีต่าง

หมี: ก็ดีนะครับ สมัยผมเด็ก มันไม่มีแบบนี้

วอย: ถ้ามองแบบ positive มันก็ดีกับ culture นะ เพราะมันเป็นช่องทางที่คนหมู่มากได้เห็น มันเป็นแค่หน้าประตูให้คนได้ไปรู้จักฮิปฮอปมากกว่า ถ้าเกิดชอบ อาจจะไหลไปฟังอย่างอื่นด้วย

หมี: คนหันมาฟังฮิปฮอปมากขึ้นโดยที่เขาไม่ได้ฟีลกับฮิปฮอปมาก แต่เขาฟังเพลงนั้นแล้วเขาอินกันเพลง ไม่ต้องบอกว่าเฮ้ย เราฮิปฮอปนะ แค่นั้นก็โอเคมากแล้ว

ZiggaRice

การมาถึงของ streaming ทำให้ community ตาย คนไม่ค่อยออกมาเจอกัน แลกเปลี่ยนเพลงกันแบบเมื่อก่อนแล้ว คิดว่าการที่ขาด community ส่งผลยังไงกับวงการ

วอย: จริงนะที่เดี๋ยวนี้ community แบบนั้นมันหายไป เพราะทุกอย่างมันอยู่ออนไลน์ แล้วมันเร็วไปหมด เพลงเมื่อวานกลายเป็นเพลงเก่าแล้ว ผมเลยรู้สึกว่าคนไม่ได้มีโอกาสอยู่กับเพลงนั้น หรือได้ไปเจอคนที่ชอบเหมือนกัน ได้คุยกัน เดี๋ยวนี้มันเป็นฟังผ่าน ไปฟังเพลงใหม่แล้ว เมื่อก่อน community มันเกิดจากการที่คนชอบอะไรเหมือนกัน

หมี: เราไป CD Warehouse ผมก็นั่งฟังอยู่อย่างนั้น นั่งฟังฮิปฮอปไปเรื่อย เดี๋ยวนี้มันไม่มีแบบนั้นแล้วพอทุกอย่างอยู่ในอากาศไปหมด

วอย: เออ มันก็ไม่มีแบบนั้นแล้ว เราไม่มีเวลามานั่งพูดว่าชอบศิลปินคนนั้นคนนี้ ผมว่ามันก็มีข้อดีและข้อเสียของมัน

หมี: เพราะทุกคนจะเจอแนวที่ตัวเองชอบเร็วมาก แต่ผมว่ามันก็ดีนะครับ สมมติเด็ก ที่เขาทำเพลงแล้วเขาเจอตัวเองเร็ว เขาก็จะมีคนสอนเขาทำเพลงในอินเทอร์เน็ต มันไวขึ้น เขาก็จะได้รู้ว่าเขาชอบฟังเพลงแบบไหน ชอบทำเพลงแบบไหน

ไม่มีหรอกเพลงที่ดี ไม่ดี มีแต่เพลงที่ชอบ กับไม่ชอบ จริงไหม

หมี: ผมว่าก็จริงนะ คนเราชอบเพลงไม่เหมือนกัน เพราะเราโดนซึมซับมากับเพลงที่ต่างกัน อย่างผมจะชอบเพลง 80s มาก เพราะในรถโรงเรียนผม เวลานั่งไปโรงเรียนเขาจะเปิด Michael Jackson เปิด Bee Gees หรือ Motown ไปเลย เราซึมซับมาอาจจะทำให้เป็นสิ่งที่หนึ่งที่ผมอินกับฮิปฮอป มันอาจจะมีอิทธิพลบ้างนะ เพราะทุกวันนี้ผมยังจำเพลงที่เล่นบนรถโรงเรียนได้อยู่เลย ติดอยู่ในหัวแบบต้องมีวันนึงในอาทิตย์นึงที่ผมร้องเพลงนั้นขึ้นมาแต่ละคนโตมาฟังเพลงมาไม่เหมือนกันแต่เด็ก เทสต์ไม่เหมือนกัน ดังนั้นมันบอกไม่ได้ว่าเพลงนั้นดีไม่ดี

วอย: มันอยู่ที่จุดประสงค์ของเพลงนั้น ด้วยว่าทำมาเพื่ออะไร ถ้าทำมาเพื่อให้เป็นเพลงสนุก มีคนฟัง มีคนเต้น มันก็ดี อันนี้ถูกจุดประสงค์ของมันแล้ว แล้วก็อยู่ที่ความชอบด้วย ดนตรีเป็นเรื่องของอารมณ์ บางทีก็พูดยากว่าอันนี้ดีหรือไม่ดี อยู่ที่ฟีลของเราตอนนั้น มากกว่า

ZiggaRice

ในขณะที่ทุกคนทำเพลงเองได้หมดแล้ว มันยังมีความจำเป็นไหมที่ทุกคนต้องมีความเข้าใจในคุณภาพของการอัดเพลงด้วย

หมี: ผมว่าก็จำเป็นนะครับ ถึงเขาจะมีเครื่องมือ มีคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวที่เขาใช้นั่งทำเพลง เขานั่งเขียนเพลงในโปรแกรม แต่เขาก็ต้องเข้าใจการอะเรนจ์เพลงประมาณนึง แต่ก็อาจจะไม่จำเป็นทั้งหมดเพราะผมรู้จัก EAZY ตอนเด็ก ผมเรียนดุริยางค์มา เล่นวงแจ๊ส แล้วก็จะเข้าใจโน้ตเกือบหมด แล้วผมจะเล่นตรงมาโดยตลอด แต่เขาไม่รู้ทฤษฎีดนตรี กลับสามารถเขียนเพลงล้ำ ได้โดยที่เขาไม่เข้าใจหลักการ ผมว่ามันอยู่ที่หูคนด้วย ขนาดผมเข้าใจทฤษฎีดนตรี ผมยังไม่สามารถเขียนเพลงอย่างที่จินตนาการไว้ได้ ขณะที่ EAZY มาบอกว่าต้องทำแบบนี้ มันก็กึ่งจำเป็นและไม่จำเป็น

วอยเคยเป็น music director ในร้านอาหาร อยากรู้ว่าจริงไหมที่การเลือกเพลงไปเปิดในร้าน มีผลต่อพฤติกรรมการกินดื่มของแขก

วอย: จริงครับ ตอนผมทำคือมันจะต้องไล่ playlist เป็นเวลา อย่างหัวค่ำหน่อยคนจะเพิ่งมาทานอาหารอะไรมากกว่า คือผมว่ามันก็ตามปกติ เวลายิ่งดึกเพลงก็ยิ่งเร้า พอมันเร้า มันสนุก เลือดมันสูบฉีด ใจเต้นเร็ว อยากดื่ม ความดังก็สำคัญ พอเปิดดังคนก็ตะโกนคุยกัน ก็หิวน้ำ เอ้า สั่งเหล้าสิ มันเป็นอย่างนั้น (หมี: จิตวิทยาสุด )

แล้วตอนนี้หลัก ทำอะไรกัน

หมี: ผมเป็นคนเขียนเพลงเลยครับ แล้วก็มีเขียนเพลงโฆษณา โปรดิวซ์คนอื่นบ้าง ส่วนใหญ่ผมจะอยู่เบื้องหลังซะเยอะ เบื้องหน้ามี ZiggaRice อย่างเดียวเลย

วอย: ผมก็ทำโปรดักชันบ้าง ทำวิดิโอ mv อะไรพวกนี้

ฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังจะเริ่มทำเพลง

หมี: ตอนนี้ก็มีวิธีการทำเพลงมากมายให้ดูครับ ก็เลือกแนวที่ตัวเองรู้สึกว่าเราชอบ แล้วก็พยายามทำอะไรที่เราจินตนาการไว้ในหัว หรือว่าเราอยากได้ยินเสียงนั้น แล้วก็ทำออกมาให้เป็นแบบนั้น ทำไปเรื่อย ถ้าชอบ ผมว่าประสบความสำเร็จแน่นอนครับ ตอนนี้เด็ก ทำเพลงดีเยอะมาก มันไม่ยากขนาดนั้นแล้ว ทุกอย่างแทบจะอยู่ในอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ว่าเราจะไปเปิดดูหรือเปล่า

วอย: สู้ ครับ

อ่านต่อ

DaBoyWay ศิลปินไทยคนแรกแห่ง Def Jam Recordings สู้เพื่อฝันจนไม่รู้ว่าวันนี้ ‘วันอะไร’ แล้ว

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้