Nowadays

Ewery กับทุกเรื่องราวดนตรีที่ผ่านมา

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Neungburuj Butchaingam

เมื่อเดือนก่อน Ewery สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับพวกเราโดยการกลับมาในกลิ่นอายใหม่ ๆ พร้อมกับเพลง หลุดจากฝัน ซึ่งเป็น Exclusive Single บน ฟังใจ ของเราด้วย แน่นอนว่าแฟนเพลงของวงป๊อปวงนี้ต้องดีใจกันมากแน่ ๆ เราเลยอยากชวน วัท วรรธน์ ภิญโญวาณิชกะ มือกีตาร์และนักร้องนำของวงมาพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบหลังจากห่างหายไปจากซิงเกิ้ล ฝน 2 ปี แต่ห่างไปจากการทำอัลบั้มแรกถึง 6 ปี มาดูกันว่าการกลับมาครั้งนี้ของ Ewery จะแตกต่างจากคราวก่อนอย่างไรบ้าง

2

หายไปไหนมา

ด้วยช่วงเวลาตอนนั้นเพิ่งจบกันมาแล้วมีโครงการทำอัลบั้มแรกก่อน พอทำอัลบั้มแรกกันเสร็จทุกคนก็เริ่มออกไปเล่นกันตามสถานที่ต่าง ๆ กันเยอะขึ้น แล้วพอมีงานประจำแต่ละคนก็ค่อย ๆ เฟดออกไปเพราะเขาต้องรับผิดชอบงานตรงนั้น จากคุณมด มือเบส หายไปก่อนครับ แล้วก็กลายเป็นคุณเต้ มือกีตาร์ ก็เหลือผมกับคุณเอก มือกลอง ก็ยังทำเพลงกันอยู่ เล่นกันอยู่สองคน บางทีก็ให้เต้เข้ามาเล่นด้วยบ้าง แล้วก็มีนักดนตรี back up

ตอนแรกสมาชิกดั้งเดิมมาเจอกันได้ยังไง

ผมกับเอก เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่โรงเรียนมัธยม แล้วก็เล่นด้วยกัน แต่การเล่นกันสองคนรู้สึกว่าต้องหามือเบส จนไปเจอกับมด ช่วงเรียนมหาลัย ตอนเล่นสามชิ้นก็ยังรู้สึกไม่ใช่ ก็ให้เต้ ซึ่งมีคนแนะนำมามาเล่น ถ้านับจากตอนรวมสมาชิกครบก็เริ่มตั้งแต่สองปีก่อนอัลบั้มแรกจะปล่อย แต่นั่นแหละครับ รู้จักกับเอกมาเป็นสิบกว่าปีแล้ว

จุดเด่นของ Ewery คืออะไร

อันนี้ต้องถามคนฟังครับ (หัวเราะ) คงเป็นที่เนื้อเพลงที่ไม่ได้พูดอะไรที่ชัดเจนมาก แต่เป็นเรื่องของอารมณ์ ตอนแต่งเพลงจะไม่เขียนตรง ๆ มาก จะใช้พรรณาโวหาร หยิบบรรยากาศ ความรู้สึก มาเล่าเป็นอารมณ์ในขณะนั้นของแต่ละเพลง

ที่บอกว่าชุดเก่าติด Brit pop คิดว่า Brit pop ของ Eweryต่างกับวงอื่น ๆ ยังไง

อาจจะไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นมาก เพราะในยุคนั้น Brit pop กำลังจะตาย แต่ที่เราคิดว่าเราแตกต่างคงเพราะเมื่อ Brit pop ที่ไม่ได้จ๋ามาก บวกกับความป๊อปที่เราทำ เพลงมันมีความ positive แล้วก็อารมณ์ ตอนนั้นก็มีหลายวงที่ทำ แต่อาจจะเพราะความลงตัวอะไรสักอย่างทำให้คนฟังรู้สึกว่าเพลงนี้เป็นของ Ewery ทำให้คนนึกถึงน่ะครับ ตอบยากแหละสมัยนั้น เพราะหลาย ๆ แนวคล้าย ๆ กัน คนอื่นอาจจะเซอร์กว่า แต่เราออกแนวป๊อป อินดี้ หวานใส ก็เลยทำให้กลุ่มแฟนเพลงจับต้องได้ง่ายกว่า

ทำเพลง positive ออกมา เคยคิดไหมว่าคนอินกับอะไร negative มากกว่า

คิดครับ อัลบั้มแรกนี่ป๊อป positive มาก เพราะยังเด็กด้วยมั้งครับ ด้วยมุมมองอะไรตอนนั้นเราคิดว่าเราร้องแล้วมันไม่เขิน ฉันอาย ฉันเห็นรอยยิ้มของเธอ ในวัยนั้นของเราเรากล้าที่จะพูดและร้องออกไป แต่พอเล่นมาเรื่อย ๆ แล้วมันไม่ใช่แล้วนะ เราอายุขนาดนี้แล้ว คนฟังเขาก็คงจะรับสิ่งพวกนี้มาเยอะแล้วในยุคนี้ คนฟังได้คิดอะไรเยอะขึ้น หลัง ๆ มาก็กลับมาเขียนเพลงที่นิ่ง ๆ ลงหน่อย อาจจะไม่ได้หวือหวา หวานมาก

เพลงป๊อปจริง ๆ แล้วแต่งไม่ง่าย

แต่งเพลงป๊อปไม่ง่ายครับ ป๊อปมันมาจาก popular ทำเพลงที่เราชอบให้มัน popular นี่โคตรยากครับ (หัวเราะ) คือเราเล่นของเราเองแล้วเรารู้สึกว่ามันดี เราชอบ แต่ถามว่าป๊อปมั้ย ส่วนตัวเราว่ามันไม่ป๊อปเพราะเราชอบ แต่พอเพลงให้คนอื่นไปฟัง คนอื่นอาจจะมองว่าโคตรป๊อปเลย หรืออีกมุมนึง เพลงที่คนเขาพยายามแต่งให้มันโคตรป๊อป ต้องฮิต ต้องตอบโจทย์ที่สุดแล้ว แต่คนฟังบอก มันก็ทั่ว ๆ ไปหนิ ไม่ได้รู้สึกว่าป๊อป หรือไม่โดน เพราะฉะนั้นการทำเพลงป๊อปให้โดนใจคนอื่นได้ด้วยมันยากมาก บางเพลงเราก็คิด พยายามตั้งโจทย์ คำนี้ต้องเป็นคำเด็ด เอาคำนี้เป็นกิมมิคเล่นกับเนื้อเพลง สุดท้ายมันก็ทำให้ไปโฟกัสกับ creative กับตัวเพลงมากกว่า ว่าเล่นคำยังไงให้มันรู้สึกว่าติดปากคน มันเลยดึงแก่นจริง ๆ ของดนตรีออกมา ไม่ใช่แค่ความฮิต หรือป๊อปไม่ป๊อป แก่นมันคือเพลงที่ร้องออกมาด้วยกีตาร์โปร่งหรืออะไรสักตัวนึงแล้วมันสมบูรณ์ ไพเราะ แล้วคนอื่นฟังแล้วอินไปกับเรา ที่เหลือมันก็คือพาร์ทดนตรีที่มันประกอบให้เป็นบุคคลที่แต่งตัวดี สวยงาม เข้าสังคมได้ เท่านั้นเอง ป๊อปไม่ป๊อปอยู่ที่ใจคนเปิดฟังมากกว่า จริง ๆ เพลงนี้ป๊อปสำหรับเขา แต่คนอื่นอาจจะไม่

3

กว่าจะมาถึงจุดนี้ต้องเจอกับอะไรมาบ้าง

พูดจริง ๆ ก็ถือว่าค่อนข้างโชคดีครับ เมื่อก่อนเขียนเพลงกว่าจะได้ออกอัลบั้มทีมันไม่มีช่องทางเหมือนสมัยนี้ เมื่อก่อนต้องใช้พวก myspace หรือ hi5 ที่ทำให้เรารู้จักกับกลุ่มแฟน แต่ถือว่าโชคดีที่พวกเราไม่ค่อยต้องประกวด มีที่ประกวดของ Fat Radio รายการ Bedroom Studio ที่ตามหาวงไปเล่นในงาน Fat Festival แล้วก็ไปเล่น เลยได้เจอพี่บอล Scrubb ที่งานประกวดด้วย เขาก็ชวนมาคุยกับ Believe Records ถือว่าโชคดีมากกว่าครับ

ตอนแรกทำเพลงเอง พอเข้าค่ายมาแล้วเป็นยังไงบ้าง

ตอนแรกก็ยังงงอยู่ พูดจริงว่าตอนทำเพลงเองเราทำจากโปรแกรมคอมมาจนมาเจอกันเราก็จะซ้อม ให้แต่ละคนรับผิดชอบในพาร์ทพาร์ทนี้ ตอนแรกเรายังไม่ได้รู้เรื่องของการเข้าสตูดิโอหรืออะไรที่มันเป็นมืออาชีพมากขึ้น พอมาเจอสตูครั้งแรกก็อึ้ง ก็น็อคเหมือนกัน โชคดีครับที่ได้พี่ฟั่น โกมล บุญเพียรผล เขาก็เข้ามาแนะนำแล้วก็มาเสริมว่าส่วนไหนควรจะปรับ ควรจะเติม ให้เป็นอัลบั้มที่สมบูรณ์ในตอนนั้นน่ะครับ

ได้ร่วมงานกับศิลปินคนอื่น ๆ ด้วย

ก็โชคดีว่าพอไปอยู่ Believe พี่บอลกับพี่ฟั่นก็ให้โอกาสไปทำเบื้องหลังด้วย ก็ได้ช่วยวงนั้นวงนี้เขียนเพลงบ้าง Scrubb, Ten to Twelve, O-Pavee, Musketeers บ้าง ก็จะช่วย ๆ ในค่าย ได้ช่วยดูแลน้อง ๆ ซึ่งตอนนี้น้อง ๆ แต่ละคนก็โตไประดับไหนกันหมดแล้ว

ทำอะไรในค่าย What the Duck

เป็น art director ครับ หลัก ๆ ก็ดูทิศทางของสิ่งต่าง ๆ ที่จะออกไปจากค่าย ไม่ว่าจะเป็นปกซีดี ภาพศิลปิน ภาพ mv เหมือนดูภาพลักษณ์ของค่ายโดยรวมทั้งหมด จริง ๆ พยายามคุยกับเจ้านายว่าอยากให้ภาพรวมมันออกมาเป็นยังไงมากกว่า พอเราเข้าใจตรงนั้นแล้วเราก็ค่อยหยิบตรงนั้นมาจัดระบบงานให้เป็นในทางที่เขาต้องการ ให้เข้ากับตัวศิลปินด้วย ต้องการขายสินค้าด้วยก็จะไม่ติสท์ หรือไม่แมสมาก จัดให้มันอยู่ในตรงกลางที่ทั้งสองฝ่ายโอเค

เคยบอกไว้ว่าเพลงคือทุกสิ่งทุกอย่างของทุกคนในวง

เพลงมันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในสมัยนั้นครับ มันเป็นจุดตรงกลางที่ทำให้เรามาเจอกัน จริง ๆ ถ้าไม่ได้เล่นดนตรี มันก็จะไม่มีโอกาสได้มาเจอกันเลย คือตัวผมเองกับเอกอาจจะไม่ได้คุยเรื่องดนตรีกันมาก เพราะเป็นเพื่อนกันแต่ lifestyle คนละเรื่องกันเลยครับ รวมถึงมดกับเต้เหมือนกัน เราไม่ได้คุยภาษาเดียวกัน พอมาเล่นดนตรีมันเลยเหมือนเป็นจุดที่ทำให้เรามาเจอกัน ได้เล่นดนตรี แล้วที่เพลงมันเป็นทุกอย่างเพราะพอเราทำออกมามันก็เป็นการทำให้คนที่เราไม่รู้จักอย่างแฟนเพลงได้มารู้จักกับเราด้วย รวมถึงในขณะนั้น ผมก็ทิ้งงานประจำมาทำเพลงเลย เพื่อน ๆ ก็พยายามแบ่งเวลาของตัวเองเพื่อที่จะได้มาเล่นดนตรีด้วยกัน

เมื่อก่อนเราซื้อซีดีมาเราจะนั่งอ่าน detail บรรยากาศของภาพมันจะกลมกล่อมกว่าที่เรานั่งฟังหนึ่งเพลง

ก่อนหน้านี้ทำอะไร

ผมทำ production house ครับ พวกตัดต่อ

แล้วทำไมยอมทิ้งตรงนั้นมา

พอจบมาสักพักก็เริ่มทำเพลง เราชอบดนตรีแต่ไม่ได้เรียนสายดนตรีมา ก็เลยรู้สึกว่าอยากใช้เวลาอยู่กับดนตรี พิสูจน์ตัวเองว่าเราชอบจริงหรือเปล่า แล้ววันนึงที่เราตอบตัวเองได้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบเราถึงจะมาทำงานประจำ แต่ช่วงนั้นมันก็ต้องทำงานประจำก่อนให้ตอบโจทย์ว่าเราต้องมีเงินเดือนนะ หลังจากที่ลองก็พบว่ามันไม่ใช่แล้ว สิ่งที่เราทำทุ่มเทงานทุกวันนี้มันไม่ใช่ความสุขในวัยนี้ เวลานี้ ที่เราต้องเป็น routine บางทีก็ไม่ได้กลับบ้าน production house ก็ต้องอยู่ เลยคิดว่า เราทำตรงนี้ไม่ได้แล้ว เลยออกจากงานประจำ มาคุยกับเพื่อนว่าได้เวลาจะต้องเอาจริงแล้ว เรามีเพลงของเราอยู่ น่าจะเอาเพลงออกไปให้คนอื่นได้ฟังด้วย เพื่อน ๆ ก็โอเคที่ต้องออกจากงานมาบ้าง เต้ปกติเขาทำพวกขนมอะไรงี้ก็แบ่งเวลามา แต่ก็ยังมีเวลาน้อยที่จะมาเจอกัน

ตอนว่างงานทำยังไงเรื่องรายได้

ก็ลุยเต็มที่ครับ แล้วดีที่มีเงินก้อนนึงเก็บอยู่เพื่อรองรับตรงนี้ โชคดีว่าที่บ้านก็โอเค เข้าใจสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราอยากจะทำ เขาก็สนับสนุนให้ทำ เป็นจุดนึงที่มันโชคดีที่ออกมาแล้วประสบความสำเร็จตามที่เราตั้งเป้าเอาไว้ ถ้าถามว่าโชคร้ายไหม ก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเราถ้าเราไม่ได้ทำอัลบั้ม ไม่ได้ทำเพลง บางทีเราอาจจะต้องมาทำงานอย่างอื่นที่เราไม่ชอบเลย แต่อย่างน้อยตอนนั้นก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เราจะต้องทำตรงนี้แล้ว แล้วใจมันอยากจะทำ ถึงมันจะล้มเหลวก็ถือว่าได้ทำในตอนนั้น

ตอนนี้ดนตรียังเป็นทุกอย่างอยู่หรือเปล่า

ก็ลดลงนิดนึง (หัวเราะ) พูดถึงถ้าอายุเยอะ ๆ ไป เริ่มแบ่งพาร์ทของการทำงานประจำ ใช้ชีวิต และการทำเพลง มากกว่าจะมุ่งว่าการทำเพลงเป็นตัวหลักที่เราจะต้องทุ่มเท เมื่อเวลาเปลี่ยนไป วิธีการออกเพลง ทำเพลง เปลี่ยนไป พฤติกรรมคนฟังเปลี่ยนไป เราก็เลือกวิธีการทำงานกัน เลือกโฟกัสแล้วก็พร้อมจะกลับมาทำครับ

กลุ่มแฟนเพลงของ Ewery ส่วนใหญ่เป็นใคร

ตอนนั้นมันค่อนข้างกว้างมาก แต่ที่จับจุดได้ส่วนมากเป็นคนทำงานสาย creative แล้วก็ที่จะมีแฟนเพลงที่ไม่ค่อยเปิดเผยตัวหน่อยก็จะเป็นคนอายุมากขึ้นหน่อย แต่ฟังเพลงจากยุค alternative มา พวกที่เคยฟัง Moderndog 90s จะได้กลิ่น เพราะเราค่อนข้างอยู่ใน gen นั้น อีกรุ่นนึงที่ไปเจอกันบ่อยแล้วฉีกมาเลยก็เป็นพวกเด็กมัธยม เด็กมหาลัย ตอนนั้นเจอแฟนเพลงตั้งแต่เขาเป็นเด็กมอต้น ขึ้นมอปลาย ตอนนี้จบมาทำงานแล้ว มาชวน พี่ กินเหล้ากัน (หัวเราะ) น้อง ๆ ที่จบมาก็มาอยู่สาย creative ทำงานพวกนี้เหมือนกัน เหมือนเราโตมาพร้อมกับแฟนเพลง

4

รูปแบบการปล่อยเพลงที่เปลี่ยนจากอัลบั้มเต็มเป็นซิงเกิ้ลมีผลกระทบกับศิลปินมากไหม

เอฟเฟคค่อนข้างเยอะครับ เพราะจริง ๆ แล้วผมก็โตมาในยุคที่ศิลปินออกเพลงมาเป็นอัลบั้มครับ วันนึงที่เราอยากเป็นศิลปินเราก็ตั้งภาพไว้ว่าถ้าเรามีโอกาสได้ทำอัลบั้ม เราจะตั้งเป้าให้สูงไว้ artwork ต้องเป็นแบบนี้ เนื้อเพลงทั้งสิบเพลงมันจะต้องมีการเล่าเรื่องแบบนี้ คือคอนเซปต์อัลบั้มทั้งหมดมันคิดมาแล้วในหัว ในการทำอัลบั้มใช้พลังในการทำงานเยอะ ใช้ passion ความใส่ใจมันเยอะ เมื่อออกมาเป็นงานชิ้นนึงมันเหมือนการวาดรูปศิลปะรูปนึง ใช้เวลางาน เราจะมองว่าในวัยนั้น เวลาขณะนั้นของเรา เราได้ทุ่มเทวาดรูปนี้ขึ้นมาแปะอยู่บนผนัง แล้ววันนึงเรากลับมามอง เราจะได้รู้ว่าเราคิดอะไรกับมันมาบ้าง ฉะนั้นเมื่อเวลาเปลียนไป ทุกคนก็ออกมาเป็นซิงเกิ้ล ศิลปินโฟกัสน้อยลง เราดูเป็นเพลง ๆ กันมากกว่า เพราะฉะนั้นมันจะไม่มีงานที่เป็นการรวมไอเดียในขณะนั้น แต่เป็นการรวมเพลง แบบเดือนนี้เราโฟกัสอยู่แค่กับเพลงนี้ อีกเดือนนึงก็จะคิดเพลงนี้ ฉะนั้นภาพรวมของอัลบั้มมันจะหายไปหมดเลยครับ เมื่อก่อนเราซื้อซีดีมาเราจะนั่งอ่าน detail บรรยากาศของภาพมันจะกลมกล่อมกว่าที่เรานั่งฟังหนึ่งเพลง มันจะเป็นแบบอีกสามเดือนเขาออกซิงเกิ้ลใหม่เขาจะพูดถึงอะไร เพลงที่ออกมาอาจจะคนละเรื่องกับซิงเกิ้ลที่แล้วก็ได้เพราะเราไปโฟกัสแค่บางช่วงบางเวลาเท่านั้นเอง คนฟังจะจดจำเป็นเพลง ๆ แล้วไปรอดูตามโชว์มากกว่า เพลงฮิตมันก็จะฮิตอยู่อย่างนั้นครับ พอเป็นแบบนี้มันก็จะเป็น pattern วิธีการเขียนเพลงแบบเดิม มันก็จะให้การฟังเพลงของคนไทยย่ำอยู่กับที่ เนื้อร้องเป็นอย่างนี้ ดนตรีเป็นแบบนี้ มีโซโล่ เพราะมันจะไม่มีเพลงยาก ๆ ให้ฟังในอัลบั้ม คือคนออกซิงเกิ้ลก็จะออกมาแค่กะให้มันฮิต มันก็จะทำให้คนฟังเขาได้ฟังอยู่แค่นี้ เหมือนฟังอยู่ร้านเหล้าก็จะได้ฟังแต่เพลงเดิม ๆ ดังนั้นสิ่งที่ศิลปินจะใส่ไปในเพลงมันก็ไม่มีที่ให้ใส่แล้ว เขาก็จะทำให้มันป๊อปอย่างเดียว เพราะงั้นความอาร์ตที่อยากจะโชว์ของ หรือโชว์วิธีคิดที่ดี ๆ แปลก ๆ อย่างอื่นที่จะใส่ลงไปก็มีพื้นที่น้อยลง

อะไรทำให้เปลี่ยนจากอัลบั้มมาออกเป็นซิงเกิ้ล

เกิดจากการมาของ mp3 ที่มีการปล่อยให้โหลด แชร์ ในยุคนี้เป็นเรื่องปกติมาก ๆ แต่ในยุคนั้นมันเข้ามาอย่างเร็ว ถ้ามองว่าเป็นเรื่องที่โชคดีก็ได้นะ ทำให้เราเจอเพลงที่มันกว้างโดยที่ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อเลย แต่เราก็ไม่รู้ไงว่ามันเหมือนการตัดต้นไม้ บางทีเรามีต้นไม้เยอะแล้วตัดใช้ ๆ จนวันนึงมันไม่มีต้นไม้เลย มันมีแต่ของฟรีไปหมด เราใช้แต่เราไม่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ มันก็วนอยู่อย่างนี้ มันมาไว คนเสพก็เสพไว ยุคนี้ยังโชคดีที่มันยังมี gen ที่คาบเกี่ยว ยังตามเทป ซีดีอยู่ แต่รุ่นลูกรุ่นหลานเขาจะไม่รู้แล้วว่าซีดีอัลบั้มเป็นยังไง มีแต่ออกมาเป็น mp3 flash drive เป็นดิจิทัลไป ฉะนั้นมันจะมีน้อยคนมากที่มานั่งอินกับไวนิล แผ่นห้ามเป็นรอยนะ ต้องทะนุถนอม มันสูญหายไปเลยความคลาสสิคแบบนี้ แล้วถ้ามองถึงจิตใจด้วยนะครับ ของบางอย่างได้มาง่าย ๆ อย่าง usb ก็โยน ๆ ขึ้นรถ เป็นลงเป็นรอยอะไรไม่ต้องคิดมาก สนใจแค่นิดเดียว มีตังค์ก็ซื้อใหม่ ไม่กี่บาท เมื่อก่อนศิลปินทำกว่าจะอัดลงไวนิลได้ต้องเล่นสดทั้งวง มันไม่มีการ edit ก็ต้องทะนุถนอมแผ่นที่ออกมาได้ คุณค่ามันเยอะกว่า

บางวงก็โชคร้ายเหมือนกันที่ว่าบางวงย้ายค่าย ก็โดนเปรียบเทียบว่าทำไมไม่ทำเหมือนเดิม แต่จริง ๆ ตัวผมว่ามันขึ้นอยู่กับศิลปิน จริง ๆ เขาก็เหมือนเดิมแหละครับ มันอยู่ที่ใจเรามากกว่าว่าเมื่อเขาเปลี่ยนแปลง เราพร้อมจะเปลี่ยนแปลงกับเขาด้วยหรือเปล่า

อยากให้อะไรแบบนั้นกลับมาไหม

ถ้าทำได้นี่เราก็จะรวย (หัวเราะ) มันคงยาก แต่คงเป็นการปลูกฝังความรู้สึกว่าสิ่งพวกนี้มันค่อย ๆ หายไป มาง่ายไปง่าย หนังสือก็เริ่มตาย กลายเป็นดิจิทัลไปหมด บางทีก็กลายเป็นหนังสือแจกฟรี เพลงก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ศิลปินปล่อยเพลงมา เริ่มไม่ต้องไปขึ้น iTunes ฉันปล่อยให้โหลดฟรี ต้องบอกว่าถ้าคุณรักศิลปินก็ต้องสนับสนุนเขา ให้เขามีกำลังใจทำผลงานออกมามากกว่า ผมเองก็มียุคนึงที่ไม่ได้ซื้อแผ่นหรืออะไรเลย ชอบก็หาโหลด จ่ายตังค่าโหลดบ้าง แต่ช่วงนี้ก็กลับมาแล้ว แผ่นไหนชอบ หรือที่เขาตั้งใจทำก็จะซื้อเก็บไว้เลย เดี๋ยวนี้ราคาซีดีถูกกว่ากินข้าวนอกบ้านมื้อนึงอีก

ตอนนี้ทุกคนเลยต้องมาขายที่การแสดงสดแทน

มันคงเป็นช่องทางเดียวที่ศิลปินจะทำได้ในตอนนี้ เพราะว่าเมื่อคนฟังไม่ได้สนับสนุนศิลปินเลย การที่จะ return กลับมาหาศิลปินมันน้อย คุณก็ต้องไปเจอหน้าศิลปิน ศิลปินก็ต้องทำเพลงออกมาเพื่อมานัดเจอกันเนี่ยแหละ ฉันทำออกมาให้เป็น exhibition นะ ก็ช่วยมาสนับสนุน exhibition ฉันด้วย เหมือนศิลปินเป็นจิตรกรวาดรูป

คนไทยมีเงินแต่เอาเงินไปสนับสนุนสิ่งอื่นมากกว่าดนตรี ถ้างานฟรีจะไป ทั้ง ๆ ที่ก็ชอบวงนี้

บางทีเราอาจจะคิดน้อยเกินไปว่าสิ่งที่เราเห็นตรงหน้ามันไม่ได้ผ่านกระบวนการความคิดมา ตื่นมาก็เจอแก้ว ตื่นมาก็เจอหลอดไฟ ขึ้นรถก็ได้ฟังเพลง ต้องเริ่มคิดใหม่ว่าก่อนที่เขาจะคิดมาเป็นงานศิลปะอะไรสักอย่าง เราฟังแล้วเรารู้สึกดีกับมัน มันใช้เวลาเยอะ มันต้องผ่านอะไรมาเยอะ ลองผิดลองถูกมาเยอะ ทุกสิ่งทุกอย่าง เราควรหยุดคิดแล้วมองคุณค่าตรงนั้นมากขึ้น บางทีเราก็ต้องเห็นแก่ตัวน้อยลง มันไม่มีของฟรีบนโลก การทำเพลงอาจจะแจกฟรี แต่ตัวศิลปินเขาก็ต้องกินข้าว ก็ต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบ้าน เหมือนกัน ดังนั้นก็สนับสนุนกันเถอะครับถ้ายังอยากฟังสิ่งดี ๆ ที่เราชอบอยู่ มันต้องพึ่งกันและกันครับ

วัฒนธรรมคนฟังตอนนี้ที่มี YouTube, streaming ต่างกับยุค myspace ยังไง

มีตัวเลือกให้ฟังเยอะ มีช่องทางที่จะรับฟังแล้วก็เลือกได้ อย่างวันนี้เราชอบแบบนี้ก็ไปหาฟังได้เลย ไม่มีใครยัดเยียด ซึ่งพอมันมีเยอะ ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดี ศิลปินก็จะมีทิศทางที่จะไปทำงาน แสดงตัวตนออกมาโดยที่ไม่ต้องอยู่ในกระแสมากก็ได้ ทำที่เราต้องการจริง ๆ ก็ได้ ส่วนข้อเสียอาจจะเป็นเพราะว่ามันมีช่องทางเยอะ ช่องทางเหล่านั้นมันถึงคนที่เขาต้องการฟังจริงหรือเปล่า หรือว่าคนฟังก็จะมีช่องทางเลือก และอาจจะโฟกัสตัวผลงานของศิลปินน้อยลงไป บางทีเปิดมามันไม่ใช่สไตล์ที่ฉันชอบ เขาก็ไปหาเอาของเขาได้ เราก็ต้องกลับมาทำตัวเองให้รู้ว่าเราเหมาะกับกลุ่มไหน อย่างที่เราเป็น ในเมื่อทางเลือกมันชัดขึ้นสำหรับคนฟัง เราก็ต้องชัดในแนวทางของเราอยู่แล้วให้คนฟังเขาเลือกฟังเรา

5

Ewery เหมาะกับคนกลุ่มไหน

(หัวเราะ) คงต้องเป็นคนที่ค่อนข้างฟังเพลงที่ยาก แต่ไม่มาก อาจจะไม่ต้องคิดเยอะ ใช้ความรู้สึกฟัง พยายามทำให้มันร่วมสมัยขึ้น เพราะตอนนี้ทำเพลงคนเดียวด้วย มันเข้าร่วมสมัยกับในสมัยที่ดนตรีมีหลากหลายแนว ก็เอาทึกอย่างมารวมกันให้มันเป็นสิ่งที่เราชอบแล้วก็สมัยนิยมเขาชอบด้วย แต่ส่วนใหญ่คงเน้นไปที่กลุ่มที่ชอบทางศิลปะมากกว่า

ทำเพลงคนเดียวยากกว่ามีหลายคนไหม หรือคล่องตัวกว่า

มันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย (หัวเราะ) ถ้าเป็นเมื่อก่อน พอมีเพื่อนเราก็จะรู้สึกว่ามันยากนะที่จะต้องพูดกับเพื่อนว่า มึงเล่นงี้นะ อีกคนควรจะเล่นงี้ มันยากที่จะปรับเข้ากันให้ชอบเหมือนกัน ก็จะมีทะเลาะกันบ้าง ความเห็นไม่ลงรอยกันบ้าง บางทีก็งอน ๆ กันขึ้นเวทีก็มี แต่ตอนนี้ก็ไม่มีตรงนั้นแล้วครับ ไม่มีเพื่อนสมาชิกมาคอยแชร์ มาคอยคุยกัน แบบเพื่อนคู่คิดอะครับ เหมือนแยกทางกับแฟน เราก็เป็นตัวคนเดียวที่ต้องไปให้ได้ ในเมื่อเราจะทำแล้ว แน่นอนว่ามันคล่องตัวขึ้น แต่มันเหงามาก แต่มันไม่มี partner ที่จะมาช่วยกัน

อยากให้เพื่อน ๆ กลับมาทำด้วยกันไหม

จริง ๆ อยากครับ ทุกวันนี้ก็พยายามคุยกันใน social อยู่เพราะไม่ได้เจอกันบ่อย ว่าง ๆ ก็มา ถึงจะไม่ได้ทำเพลงด้วยกันแต่ก็มาเล่นด้วยกันบ้าง เช่นมีงานคอนเสิร์ตก็พยายามจะชวน ดูคิวงานของเพื่อนว่าว่างมาเจอกันไหม แต่ก็แอบคุยกันว่าจะกลับมาทำโปรเจคกันไหม เพลง สองเพลง แก้คันไม้คันมือ มาเจอกันบ้าง แต่ก็ยังไม่มีเวลาที่จะทำได้

ที่ผ่านมาจุดพีคที่สุดของวงอยู่ตรงไหน

ตอนที่อยู่กัน 4 คนเนี่ยแหละครับ พีคมันคือมีความสุขกับการตั้งวงเล่นกับเพื่อนด้วยกัน จนมันมีคนมาดูเรา ไม่ว่าจะมากจะน้อย นั่นคือการสื่อสารให้คนได้รู้จักเราแล้ว แล้วก็มีทะเลาะกัน มีไม่เข้าใจกัน ปรับความเข้าใจกัน ดีกัน แล้วเดินทางทัวร์ไปด้วยกัน ยุคนั้นมันเป็นจุดพีคที่สุดสำหรับวงแล้วครับ แล้วก็โชคดีที่มีแฟนเพลงคอยฟัง นั่นก็เป็นการสนับสนุนที่ดี

ถ้าคนที่ยังไม่รู้จักจะมาฟังเพลงของ Ewery อยากให้ลองฟังเพลงไหนก่อน

เอาจริง ๆ ก็ฟังซิงเกิ้ลล่าสุด หลุดจากฝัน ไปเลยก็ได้ครับ เพราะว่า เราคงไม่ต้องมาเท้าความว่าเราเป็นใครหรอกครับ วันนี้เรามารู้จักกันก่อน แล้วถ้าอยากรู้จักมากขึ้นก็ลองกลับไปฟังสิ่งเก่า ๆ ดูว่ามันพัฒนาเติบโตมายังไงก่อนที่จะมาเป็น Ewery ทุกวันนี้

บางทีเราอาจจะคิดน้อยเกินไปว่าสิ่งที่เราเห็นตรงหน้ามันไม่ได้ผ่านกระบวนการความคิดมา ตื่นมาก็เจอแก้ว ตื่นมาก็เจอหลอดไฟ ขึ้นรถก็ได้ฟังเพลง ต้องเริ่มคิดใหม่ว่าก่อนที่เขาจะคิดมาเป็นงานศิลปะอะไรสักอย่าง เราฟังแล้วเรารู้สึกดีกับมัน มันใช้เวลาเยอะ มันต้องผ่านอะไรมาเยอะ ลองผิดลองถูกมาเยอะ ทุกสิ่งทุกอย่าง เราควรหยุดคิดแล้วมองคุณค่าตรงนั้นมากขึ้น

ที่มาที่ไปของเพลง หลุดจากฝัน

หลุดจากฝันเป็นเพลงแรกที่มาเล่นแจมกับวงครับ คือเจอเพื่อนปุ๊บ กับเอกก็เคยเล่นกันมาอยู่แล้ว แต่เมื่อมีสมาชิกใหม่มาปุ๊บ เพลงนี้จะเป็นเพลงเด่นของเราเลยที่ให้ทุกคนไปลองทำการบ้านมาว่า ตอนซ้อมเนี่ย เคมีเราจะเข้ากันได้ไหม เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่เทสท์กับสมาชิกที่เข้ามา แล้วเมื่อลงตัวทุกอย่างมันจะเป็นเพลงที่นำมาใส่ในงานประกวดตามเวทีด้วย เวที Fat ตอนนั้นก็เอาเพลงนี้ขึ้นไปเล่น เพราะเพลงนี้ด้วยก็เลยทำให้พี่บอลตามไปดูที่ myspace ด้วย แต่ใน my space ไม่มีเพลงนี้ครับ (หัวเราะ) ถ้าย้อนกลับไปดูเนื้อเพลงเพลงนี้จริง ๆ มันเป็นเพลงที่เขียนมานานมากแล้วครับ บางทีเราฟังเนื้อเพลงแล้วมันเป็นเพลงปฏิเสธความรัก เหมือนเราเป็นคนบอกเลิกเขา อย่ารักฉันเลย อย่ามาฝันถึงฉันเลย แต่จริง ๆ แล้วผมมองอีกมุมนึงครับ คือเราไปชอบเขา แต่เขากำลังบอกเราว่าตื่นเถอะ บางทีความรักมันไม่พอที่จะเป็นทุกอย่าง ในวันนี้มันก็มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องเจอ มันเป็นเรื่องของความรักที่มันห่างกัน คือเพื่อนผมกับผมเขียนเพลงนี้เพราะว่าไปชอบผู้หญิงคนนึงที่เขาอยู่เมืองนอก ตอนนั้นเขาก็บอกว่าเขาคงหาทางปฏิเสธเราทั้งที่เราพยายามทุ่มเททุกอย่างให้ ลองมองมุมเขาบ้าง เขาคงคิดแบบนี้แหละแต่ไม่กล้ามาบอกเราตรง ๆ มันก็แปลกดี บางทีเราก็มองแต่มุมของเรา เราไม่ได้คิดในแบบของเขา เมื่อเขียนเสร็จเราก็เลยเข้าใจว่าพอเถอะ บางทีเราอาจจะต้องการแค่นี้ก็พอ เวอร์ชันตอนนั้นกับตอนนี้ต่างกัน 60% ดนตรีเปลี่ยนไปเยอะมาก เพราะตอนนั้นเล่นกัน 4 ชิ้น แต่พอตอนนี้อยู่คนเดียวทีนี้ใช้โปรแกรมทำเกือบทั้งหมดเลย การดีไซน์ก็พยายามทำให้มันเปลี่ยนไปด้วยครับ เพราะว่าเราก็อยากทดลองอะไรใหม่ ๆ พอเป็นคนเดียว เราชอบอะไรตอนนี้ก็จะยัดสิ่งที่ชอบลงไปในเพลง มันอาจจะเข้าบ้าง ไม่เข้าบ้าง แต่ก็ได้ทดลอง เป็นอินดี้ป๊อป โครงสร้างเป็นเพลงป๊อปธรรมดามาก แต่มันอินดี้ตรงที่ หนึ่ง มันทำเองครับ สอง คือพยายามทดลองทุกอย่างที่ไม่เคยทำกับ Ewery ตอนที่เป็นแบนด์ มันมีความ sound design มากขึ้น

Feedback เป็นยังไงบ้าง

ค่อนข้างดีครับ โชคดีที่คนจำได้ คนยังนึกถึงอยู่ (หัวเราะ) แล้วก็ยังถามหา ก็ได้ feedback จากเพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่ยังตามกันอยู่ แต่สำหรับแฟนเพลงใหม่ ๆ ยังไม่รู้ว่าคนฟังยุคใหม่เขาคิดยังไงบ้าง ส่วนมากก็เป็นคนฟังเก่า ๆ ที่คิดถึงกันแล้วก็ดีใจที่ได้ฟังเพลงใหม่ ไม่ค่อยมีคนเหวอว่าทำไมไม่ทำเพลงแบบตอนนั้นแล้ว ส่วนมากจะบอกว่าดีใจที่กลับมา แค่ได้ฟังเสียงร้องก็รู้แล้วว่าใช่ แต่ในพาร์ทดนตรีคงเข้าใจว่าคนฟังเองก็ต้องฟังอะไรที่โตขึ้นมาเหมือนกัน อะไรที่เหมือนเดิมมาก ๆ ก็คงเบื่อแล้ว

เพลงใหม่จะได้ฟังเมื่อไหร่

เมื่อไหร่นี่ก็คงพยายามจะทำให้มันเร็วที่สุดครับ เพราะว่าจากที่หายไปก็เกือบสองปี จะพยายามไม่หายไปนาน แล้วแพลนก็ยังไม่ได้คุยกับทางค่ายว่าเมื่อไหร่เพราะทางค่ายค่อนข้างให้อิสระว่าพร้อมเมื่อไหร่ก็ออกละกัน ก็จะพยายามพร้อมให้ไวที่สุด ก็มีเพลงอยู่แล้วครับ ขึ้นอยู่กับจังหวะ ความเหมาะสมด้วย ซาวด์ก็อาจจะต่างจากเพลงนี้ สำหรับตัวผมเองคิดว่าต่างนะ แต่คนฟังอาจจะฟังแล้วคิดว่าไม่ต่างก็ได้ แต่อัลบั้มก็จะกลายเป็นการรวมเพลงมากกว่าคอนเซปต์แล้ว นอกจากว่าจะตั้งใจทำเป็น concept album ก็อีกเรื่องหนึ่ง ต้องพยายามรวมไอเดียกับเพลงที่เหลือ

คนฟังยุคหลังเริ่มเปิดใจแล้ว

โชคดีกับบางวงนะครับ บางวงก็โชคร้ายเหมือนกันที่ว่าบางวงย้ายค่าย ก็โดนเปรียบเทียบว่าทำไมไม่ทำเหมือนเดิม แต่จริง ๆ ตัวผมว่ามันขึ้นอยู่กับศิลปิน จริง ๆ เขาก็เหมือนเดิมแหละครับ มันอยู่ที่ใจเรามากกว่าว่าเมื่อเขาเปลี่ยนแปลง เราพร้อมจะเปลี่ยนแปลงกับเขาด้วยหรือเปล่า เมื่อเราโตมาด้วยกัน ก้าวขึ้นมามัธยม มหาลัย หน้าตา ทรงผม เขาก็ต้องเปลี่ยนไปบ้าง แต่ตัวตน จิตวิญญาณ เขาก็ยังเหมือนเดิม

อยากเปลี่ยนแปลงอะไรในวงการเพลงบ้านเรา

จริง ๆ ตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้วนะครับ ที่เทศกาลดนตรีตอนนี้มันเยอะมาก มันทำให้คนฟังเพลง คนเสพศิลปะ มาเจอกันง่าย มีช่องทางเยอะมาก อยากให้มีแบบนี้ไปเรื่อย ๆ อยากให้คนฟังบางกลุ่มลองไปฟังอีกกลุ่มนึงเหมือนกัน บางคนฟังโฟล์ค เมื่อมันมีงาน edm ลองเปิดใจไปฟังอะไรแบบนี้ดูบ้าง แล้วมันจะเกิดการผสม อีเวนท์ต่าง ๆ ก็น่าจะเกิดการผสมอะไรมากขึ้น คนที่ไปร่วมงานบางส่วนก็คงเป็นคนทำเพลงอยู่แล้ว ก็อาจจะไปเสพอะไรใหม่ ๆ เพื่อมาพัฒนางานตัวเองด้วย มันมีอะไรให้เสพเยอะครับ

head

ฝากถึงแฟน ๆ ให้หายคิดถึง

ขอฝากซิงเกิ้ล หลุดจากฝัน ครับ ก็เป็นเพลงรักอีกมุมมองนึง มันไม่ใช่อะไรที่ยาก เปิดใจฟังกันหน่อย ดีไม่ดีก็ ไม่มีปัญหาครับ ทุกวันนี้เราทำเพลงด้วยความรู้สึกชอบกันล้วน ๆ คนฟังไม่ฟังก็ด้วยความชอบไม่ชอบล้วน ๆ เลย ก็ฟังก่อน แล้วคิดว่าคงจะได้รู้จักกันมากขึ้นกว่านี้ครับ

ได้รู้กันแล้วว่า Ewery หายไปไหนมา ตอนนี้แฟน ๆ คงไม่ต้องคิดถึงกันนานอีกต่อไป แล้วเตรียมตัวเตรียมใจฟังเพลงใหม่กันได้เลยอีกไม่นานเกินรอ ติดตามความเคลื่อนไหวของ Ewery ได้ที่ fanpage หลัก หรือฟังเพลงของพวกเขาบนฟังใจได้ ที่นี่

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้