Feature เห็ดหูหนู

Playlist ของ เบนจมิน วาร์นี

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Chavit Mayot

Benjamin’s Playlist

Childish GambinoRedbone

ชอบ Childish Gambino อยู่แล้ว แต่ผมเพิ่งได้ฟังเพลงนี้ Redbone ผมไม่ได้ฟังเนื้อหา ก็คิดว่าน่าจะชอบที่เมโลดี้ มันจะมีความเนี้ยบคูลในนั้นอยู่แล้ว มีความมินิมอลแบบไม่ต้องพูดเสียงดังมากก็ได้

Tame ImpalaMind Mischief

ผมเป็นลูกครึ่งอังกฤษ แล้วพอ mv มันมีบรรยากาศความเป็นอังกฤษเราก็ชอบ ความที่เป็นเกาะหนาว ฝนตกตลอด โทนของสีมันจะซีด บ้านเมืองทรงอังกฤษกำแพงมันจะเป็นอิฐ รถเก่า มันจะรู้ได้เลยว่าถ่ายที่นั่นโดยไม่ต้องบอก แล้วชอบการที่เขาผสมผสานอนิเมชันเข้าไปเพื่อสื่อความหมายของ mv ให้สมบูรณ์ขึ้น ตอนแรกที่ดูก็งง ว่ามีคุณครูกับเด็กแล้วเกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมอยู่ดี ไปอยู่ในรถ แล้วก็มันจะมีความลอยอยู่ ซึ่งเจ๋งดี เพราะเราสามารถดูมันใน state อื่น แล้วเข้าใจมันมากกว่าตอนมีสติ เช่นการดูดกัญชา

Radiohead15 Step

ส่วนตัวชอบดนตรีของ Radiohead อยู่แล้ว ชอบนักร้องนำ (Thom Yorke) ชอบความตาไม่เท่ากันของเขา มันดูมีเอกลักษณ์ ไม่ต้องห่วงภาพพจน์ว่าจะต้องเท่ ต้องเป๊ะ เหมือนวงร็อกเก่า ที่หน้าตาไม่ต้องดูคูล ดุดัน หรือตามขนบของร็อกเกอร์ ไม่ใช่แค่นักร้อง รวมไปถึงมือกีตาร์ (Jonny Greenwood) ด้วย ผมว่าวงนี้เขามีความเป็นหนึ่งเดียว แล้วเขาเล่นด้วยกันโดยไม่ต้องคุยกันเท่าไหร่เหมือนใช้จิตสื่อสารกันตอนเล่น ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองบนเวทีแต่มันดันไปในทิศทางเดียวกัน แต่ถ้า mv ที่ชอบมาก ก็เพลง Lotus Flower ตอนแรกที่เห็นก็คิดว่า เต้นไรวะ แต่มันลงตัวเหมือนไม่ได้เต้นมั่ว แล้วเพิ่งไปอ่านคอมเมนต์เจอว่าเขาไปศึกษาวัฒนธรรมของคนแอฟริกาที่มันจะมีการตบมืออะไรด้วย ผมชอบศิลปินพวกนี้ที่เขาหาวัฒนธรรมอื่น มาผสมผสานในงานของเขาเพื่อจะได้ถ่ายทอดอะไรใหม่ ออกมาให้คนได้ดู ไม่ใช่อะไรเดิม

รู้สึกยังไงกับวิวัฒนาการทางดนตรีของ Radiohead

ก็เป็นเรื่องปกตินะ ทุกวงก็เป็นอย่างนั้น ชีวิตเป็นเหมือนประสบการณ์ แล้วก็เชื่อว่างานศิลปะหรือผลงานต่าง มันคือการสร้างแรงบันดาลใจ ดีแล้วที่มันไม่เป็นแบบเดิม ไม่งั้นคงจะเจอแต่เพลงที่เขียนเกี่ยวกับความรัก อย่างน้อยก็ไม่ได้หลุดจากการเป็นตัวของเขา การที่เราจะเสพดนตรีอะไรสักอย่างเราก็ต้องให้เกียรติศิลปิน ต้องเข้าใจว่าเขาเป็นแบบนั้น ไม่ใช่เราอยากให้เขาเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่เขา

Milky ChanceStolen Dance

ศิลปินดูโอ้เยอรมัน ผมชอบที่เขาคัฟเวอร์ได้หลายเพลง จริง เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่ชอบการที่เขาขยันจะสื่อความหมายออกมาเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้คนทั้งโลกรับรู้ เพราะหลายคนจะเข้าใจว่าวงเจ๋ง ทางยุโรปมันจะไม่ค่อยมี ยกเว้นอังกฤษประเทศเดียว ศิลปินจากเยอรมันหรืออะไรจะมีน้อยที่คนรู้จัก เลยรู้สึกว่า Milky Chance เป็นคนแรก ที่ทำให้คนทั้งโลกมองมาที่วงการดนตรีในประเทศเยอรมัน เขาเริ่มจากการเป็นวงอินดี้แค่สองคน แต่สามารถทำให้วิดิโอคลิปของเขาทะลุร้อยล้านได้ โดยที่เขาไม่ได้ marketing หรือโปรโมตเพลงอย่างมืออาชีพ เขาก็ทำของเขาไปแล้วคนมาสนใจเขาเอง แล้วก็ชอบทรงผมเขา หัวฟู เจ๋งดี

Sticky FingersHow to Fly

เพลงชื่อ How to Fly อาจจะสะท้อนอะไรหลายอย่างในชีวิตแก ในประโยคนึงของเพลงนี้จะมีคำว่าโคเคน แล้วก็คำว่า chainsmoking ด้วย ชอบการที่เขาผสมผสานศัพท์พวกนี้ลงไปในเพลง แล้วมันก็มี raggae vibes รู้สึกว่ามันมีความเป็นเสรีมาก ในการเป็นตัวของตัวเองและถ่ายทอดทุกอย่างออกมา ในบ้านเราคงไม่มีสองคำนี้ในเนื้อเพลงหรอกทั้งที่มันเป็นเรื่องจริงมาก วัยรุ่นถ้าเข้ามหาลัยก็ต้องเคยผ่านช่วงเวลานั้นมาอยู่แล้ว แล้วก็ชอบ mv มาก การที่เป็นคล้าย long take แล้วนักร้องก็เต้นอยู่หน้ากล้อง ร้องไปเรื่อย ดูแล้วก็ไม่เบื่อ ตอนสุดท้ายก็มีหมาดัลเมเชียนเดินมาหนึ่งตัว อย่างที่บอกครับ เดี๋ยวนี้มันไม่ต้องเล่นอะไรเยอะ แค่ความหมายลงตัว ความรู้สึกมันได้ ก็ทำให้เราอยากที่จะจับตามองไปเรื่อย เขาเคยมาเมืองไทยด้วยนะ เคยส่องในเฟสบุ๊กแล้วเห็นขวดน้ำดื่มคริสตัล แบบ ไอ้เหี้ย นี่มาเมืองไทยหรอวะ แต่ ไม่ได้มาเล่น แอบมาเที่ยวแถวภูเก็ต

The XXVCR

The XX นี่ชอบมาตั้งนานแล้ว ส่วนตัวชอบอัลบั้มแรก เพลงนี้มันสั้นมาก พอมันสั้นแล้วก็ทำให้เราเสพติดมันมาก ต้องฟังวนไปเรื่อย โดยไม่เบื่อเพราะฟังแล้วแบบ เอ้า จบแล้วหรอ แล้วก็ชอบ mood and tone ของ mv มันดูเรื่อย ดี ไม่ต้องคิดเยอะ ไม่ต้องจับใจความอะไรเยอะ ดูแล้วเพลิน แล้วก็ชอบที่พอทำงานเหนื่อย กลับมาบ้าน เปิด The XX ฟังแล้วนอนได้ น้อยมากที่จะมีวงแมสที่ฟังแล้วหลับได้ อย่าง Bruno Mars นี่ฟังแล้วหลับไม่ได้ (หัวเราะ)

TychoDive

ปกติทุกเพลงมันจะมีแค่เรื่องราว แต่อันนี้เสียงเพลงมันสามารถทำให้เรารู้สึกว่าเรากำลังดำดิ่งอยู่ใต้น้ำได้ บรรยากาศเจ๋งดี แล้วซาวด์ของเขามัน HD มาก

Mura MasaLove$ick ft. A$AP Rocky

ชอบเมโลดี้ แล้วก็ชอบ mv อันนี้ก็จะมีความเป็นอังกฤษเหมือนกัน แล้วชอบการสะท้อนชีวิตวัยรุ่นที่กำลังเรียนรู้ที่จะเที่ยว เป็นเด็กสามคน แล้วพอเราได้ดูก็นึกถึงตัวเองในช่วงเวลาแบบนั้น เจ๋งดี แล้วก็ชอบคอสตูมใน mv นั้น มีความเป็นสตรีท แล้วมันสะท้อนการแต่งตัวของเด็กอังกฤษยุคใหม่ มีความเป็นกึ่งสตรีท กึ่งอะไรสักอย่าง สปอนเซอร์ก็เป็น Nike คือบ้านเมืองดูเก่ามาก แต่ชุดมัน swag มาก เท่ดี

Nirvana – Rape Me

ส่วนตัวผมชอบ Kurt Cobain มาก ดูสารคดีแล้วชอบความคิด ความบ้า ชอบเนื้อหาเพลงเขา แทบจะชอบทุกเพลง Come As You Are ก็ชอบ ที่ชอบ Rape Me เพราะรู้สึกมันแหวกมาก เพลงอะไรชื่อข่มชืนฉันเขาให้สัมภาษณ์ว่าอยากแต่งเพลงสะท้อนสังคมว่าไม่ควรมีการข่มขืนผู้หญิงเกิดขึ้น เขาเลยประชดว่า เออ มึงมาข่มขืนกูดิ มันมีความกล้า มันตรง แม่งเจ๋งดีอะ ความหมายของเพลงมันแรงสำหรับอาชญากรพวกนี้

Daniel CaesarGet You feat. Kali Uchis

ชอบความเนี้ยบในนั้นจะมีความคล้าย Childish Gambino เบา แล้วใน mv เขาจะยืนอยู่คนเดียว แล้วมีแชนเดเลียร์อยู่ข้างหลังเยอะ ถ่ายภาพเก่า ชอบการถ่ายภาพเนี้ยบแบบนั้น เนื้อหาเพลงไม่ได้มีอะไรมาก แต่ชอบบรรยากาศของทั้งเพลง เนื้อหาของเพลง Get You เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ Daniel Caesar เองเลย เจ้าตัวแต่งเพลงนี้ขึ้นมาเพราะเขาติดแฟนเขามาก มีเซ็กซ์กันทุกวัน ในเนื้อเพลงเขียนให้รู้ชัดมาก ๆ

Talk Talk Talk

img_0178

ทำไมชอบฟังเพลงไปดู mv ไปด้วย

เพราะรู้สึกว่า mv มันไม่นานเท่าหนัง ได้บทเรียนจากมันภายในแค่ 2-3 นาที ไม่ได้บอกว่าหนังไม่ดีนะ มันแค่ไม่เหมือนกัน คนละอารมณ์ ที่ชอบ mv เพราะว่ามันมีเสียงเพลง เพลงมันถ่ายทอดบทเรียน ความรู้สึกได้ดี และมีมิติกว่าแค่การพูด เหมือนอารมณ์ว่าถ้าหนังไม่มีเสียงเพลงเข้ามาในแบคกราวด์เลย พูด ๆๆ อย่างเดียว หนังมันโคตร monotone มันจืดมาก แล้ว mv ก็มีให้ดูได้ในหลาย แนวเพลง ดูแล้วมันเพลินครับ

ที่บอกว่าชอบความเป็นอังกฤษใน mv นี่เพราะคิดถึงด้วยหรือเปล่า

ผมเกิดที่อังกฤษ ได้อยู่แค่สองปี ที่เหลือก็มาอยู่เมืองไทยแต่ก็ได้กลับไปบ้าง มันเลยไม่ได้มีประสบการณ์หรือบรรยากาศที่ทำให้คิดถึงอังกฤษขนาดนั้น แค่รู้สึกว่าพอได้ดู mv มันก็ทำให้เรานึกถึงบางโมเมนต์ที่อยู่ที่นั่น เช่น ตอนผมอยู่กับพ่อ หรือตอนกลับไปเยี่ยม… (นับนิ้วแล้วพูดเบา ปู่ ย่า ตา ยาย) …ไม่ได้เลยเนี่ยเรื่องนับญาติฝั่งแม่กับฝั่งพ่อ ย่า! ฝั่งพ่อนี่คือย่าใช่ไหม? เออ ตอนไปเยี่ยมย่า ที่อังกฤษเขาจะมีเมนูตอนเช้า เขาเรียกว่า Marmite มันจะเป็นคล้าย แยม คนออสเตรเลียจะมีเหมือนกันเรียกว่า Vegemite แต่คนอังกฤษจะชอบดูถูกคนออสเตรเลียว่าเวจิไมต์ห่วยแตก มาร์ไมต์แม่งมาก่อนเว่ย มันจะเป็นยีสต์ที่เขาหมักไว้แล้วกลายเป็นแยมเหนียว เหมือนแม็กกี้ หรือซีอิ้ว รสชาติโคตรเหี้ยแต่ผมโคตรชอบ (หัวเราะ) ป้ายกินกับขนมปังปิ้งธรรมดา มันรู้สึกเหมือนกินของคาวตอนเช้า และถึงแม้มันจะเค็มแต่ทำให้รู้สึก refreshing จริง ผมรู้สึกว่าอาหารอะไรก็ตาม ถ้าเรากินตั้งแต่เด็กเราจะชินกับมัน เหมือนแอฟริกันเขากินเบอเกอร์ยุงอะ จับยุงมาปั้น เป็นเบอเกอร์… (เห็นทีมงาน Fungjaizine ทำหน้าช็อก) จริง! อันนี้เรื่องจริง (หัวเราะ) แล้วก็ชอบกินพวกถั่วอบด้วย พอเราได้จากตรงนั้นมาเลยทำให้รู้สึกว่าเรามี connection กับอังกฤษถึงแม้เราจะไม่ได้ไปอยู่ที่นู่น เราเคยได้เสพบรรยากาศแล้วมันก็อยู่ในสายเลือด เป็นวัฒนธรรมที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เด็ก ครับ

ทำไมชอบ random ฟังเพลง

ปกติผมจะฟังเพลงเดิมนาน ไม่ได้ พอฟังเพลงแนวเดิม เจอศิลปินที่เล่นแนวเดิม วัฒนธรรมมันก็เหมือน กัน เลยชอบ random ไปเรื่อย ถ้าเราชอบเจออะไรใหม่ ก็ต้องสรรหา ทุกอาทิตย์ผมจะหาเพลงฟังแล้วก็มีเพลงฮิตของตัวเองบน YouTube คนสมัยนี้โชคดีที่มี YouTube ตอนผมอยู่ .2 ต้องพึ่งเว็บ kapook.com ฟังเพลง Playground ในนั้น ที่มันจะมี player เล็ก มีอยู่ไม่กี่เพลง mv ก็ไม่มี เนื้อเพลงก็ไม่มี

แต่พอมามี YouTube ผม random ได้เต็มประสิทธิภาพมาก จากการฟังเพลงวงนึงแล้วมันจะขึ้น recommendation มาข้าง มันก็จะมี artwork ปกให้ดู ถ้ารู้สึกว่าเวิร์กก็กดเข้าไปฟังว่านี่วงอะไรวะ ถ้าชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็ผ่านไป ฟังไปเรื่อย รู้สึกว่าเราได้อิสระเหมือนกัน สามารถไปได้หลายมุมของวงการเพลงทั่วโลก ไปแปลก เลยก็ได้

ใช้เวลาใน YouTube ต่อวันกี่ชั่วโมง

เอาจริงก็ทั้งวันนะครับ ส่วนมากก็ดู YouTube ทุกวัน เปิดเพลงฟังไปยาว

มี channel ประจำไหม

ส่วนมากก็เป็นพวก Vevo ของตัวศิลปินคนนั้น ก็ตามดูไปเรื่อย แล้วชอบดูพวกไลฟ์ ชอบของช่อง BBC Radio 1 หรืออย่าง Like a Version ของ Triple J รู้สึกว่าเราควรมี live session หรือเอาศิลปินไทยมาเล่นเพลงของคนอื่นเว่ย ไม่ใช่เล่นแต่เพลงของตัวเอง เพราะหนึ่ง ใคร ก็เคยฟังเพลงของศิลปินคนนั้นแล้ว สอง มันเป็นเพลงที่เขาถนัด ทำไมไม่ลองเอาเพลงของคนอื่นมาทำเป็นเวอร์ชันของตัวเอง จะได้รู้ว่าไอ้นี่จริง เขามีความสามารถที่จะ arrange ได้ และอาจจะทำได้ดีกว่าศิลปินต้นฉบับ และได้ให้อะไรใหม่ กับคนฟังบ้าง

ฟังเพลงหลายแนวมาก มีที่ชอบเป็นพิเศษไหม

จริง ชอบ psychedelic rock ครับ แล้วก็ชอบ blues แต่ตอนนี้เริ่มชอบ alternative jazz ชอบ Childish Gambino อารมณ์มินิมอล ละ เมื่อก่อนจะฟังหนักหน่อย แต่ไม่ได้หนักเท่า metal ผมไม่ค่อยไปทางนั้นเท่าไหร่ จะไปหนักพอดีแบบ The Black Keys หรือ Tame Impala ส่วนตัวผมชอบเล่นกีตาร์ไฟฟ้าอยู่แล้ว ชอบเอฟเฟกต์กีตาร์ พวก reverb, echo แล้ววงพวกนี้ การที่จะเป็น psychedelic rock มันจะมี reverb สูงมาก

img_0180

Psychedelic ยุค 60s มีเสน่ห์ยังไง

Love, peace, sex, rock and roll, repeat คือ psychedelic ผมชอบวัฒนธรรมนี้เพราะมันสะท้อนความเป็นเสรีทางความคิด ไม่ใช่แค่ทางกฎหมาย มันเป็นการปล่อย การไปเจอมุมแปลก บ้าง ไม่ใช่การยึดแต่วัตถุนิยมหรือ mass production ที่ทุกคนต้องเป็นเหมือนกัน ผมว่า psychedelic มันทำให้ทุกคนตื่นจากอะไรที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก มันทำให้เราสามารถมองย้อนกลับไปยังอะไรที่ดีบ้างหรือไม่ดีบ้าง ผมได้อะไรจากตรงนั้นเยอะมาก แล้วมันมีสเน่ห์ ชอบวัยรุ่นยุค 60s ด้วย ตอนนั้นมันเป็นช่วงสงครามเวียดนาม เป็นช่วงหลัง ของสงครามทั้งหมด สงครามอ่าวเปอร์เซีย สงครามโลก แล้วพอมายุคนี้พวกเขาคงเบื่อ เพราะรู้ว่าสงครามมันไม่ได้ช่วยเหี้ยอะไรเลย มันเป็นปัญหาของคนไม่กี่คนที่ทำให้คนที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยเป็นแสนเป็นล้านคนต้องไปตาย ผมรู้สึกว่า psychedelic มันเป็นการปฏิวัติครั้งหนึ่งของวัยรุ่นทั้งหมด เป็นแกนกลางที่ทุกคนร่วมมือกัน ทำให้วัยรุ่นกล้าออกมาจนประชาชนหันมาตระหนัก ทำให้ตระกูล Bush ต้องหวั่น psychedelic ของผมนี่ลงลึกไปกว่านั้นอีกมาก ๆ จะมีพวกสารที่สร้าง illusion ต่าง ๆ ที่ชอบ psychedelic คือมันทำลายอีโก้ของคนเว่ย คนที่มีอีโก้เยอะ คิดว่าตัวเองสำคัญที่สุดในโลกจะไม่สามารถเล่นอะไรแบบนี้ได้ เพราะจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย Donald Trump มาเล่นแล้วคงหลอนมาก สารพวกนี้มันทำให้เกิดการปล่อยวางชนิดที่ว่ากูยอมโดนรถไฟชนให้ตายก็ได้ มันน่ากลัวถึงขนาดนั้น แต่ก็มีความสวยงามอยู่ในนั้น คนที่เล่น พอดึงตัวเองกลับมาแล้วร้องไห้กันทุกคนเลย รู้สึกว่าโลกนี้มันเป็นแค่ reality นึง หลายคนอยากจะเก็บตังซื้อรถ ซื้อบ้าน ซึ่งความจริงมันไม่มีอะไรเลย สุดท้ายทุกคนก็ต้องตาย แล้วของพวกนี้มันก็สอนว่า ถ้าเราตายไปอาจจะมีอะไรมากกว่านี้ ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นแค่ช่วงเวลาที่เราเกิดมา เราควรรักคนอื่นให้มาก นึกถึงคนอื่นบ้าง ไม่ใช่นึกถึงแค่การที่ตัวเองทำทุกอย่างบนโลกนี้

คำเตือนสำหรับคนที่จะเข้าสู่โลก psychedelic

Psychedelic ไม่ใช่สำหรับทุกคนครับ สารพวกนี้ไม่ควรถูกกฎหมายเพราะมันมาเป็นหยด มันเป็นยาที่เข้มข้นที่สุด วันเป็นไมโครกรัม ขณะที่กัญชาวัดเป็นกรัม แล้วหนึ่งหยด 150 ไมโครกรัมสามารถทำให้เราทริป 8 ชั่วโมงได้ มันทรงพลังมาก สมมติคุณเกลียดผมแล้วเอามาหยดในน้ำให้ผมดื่มโดยที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย กินไปปุ๊บแล้วจะอยู่ในห้วงที่ sensitive มาก ฟิลเตอร์เหี้ยอะไรในสมองจะถูกเอาออกหมดเลย คุณสามารถด่าผมจนผมเหวอและไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ หลายคนเป็นแบบนั้น มันเป็นเครื่องมือนึงเหมือนมีด เราสามารถใช้มันในทางที่ดีและไม่ดีได้ ขึ้นอยู่กับตัวเรา Steve Jobs เคยให้สัมภาษณ์ว่า ขอบคุณเจ้านี่มาก ที่ทำให้เขาคิดได้ ในหนังชีวประวัติเขาเองมันก็มีฉากนึงที่เขาอยู่ในทุ่งหญ้า แล้วเขากินสิ่งนั้นจนเขาบรรลุ

เอาอะไรจากวัฒนธรรม psychedelic มาใช้ในชีวิตอีกบ้าง

รู้สึกว่า psychedelic มีความเกี่ยวโยงกับปรัชญามาก มีคนนึงชื่อ Terence McKenna เป็นคนอเมริกัน เขาเก่งมาก ไม่ได้เน้นแค่ psychedelic แต่พูดถึงสังคมกับอะไรหลาย อย่าง เขาบอกว่าไม่มีใครรู้ว่าอนาคตของโลกจะไปทางไหน ความรู้เกิดขึ้นจากตัวเราเอง ไม่ค่อยเชื่อในศาสนาต่าง แล้วก็ชอบ Alan Watts มาก เขาเป็นนักปรัชญาชาวอังกฤษ เขาจะไม่เน้น psychedelic เท่าคนแรก แต่จะพูดเรื่อง social anxiety เขาจะสอนว่าคนเราเกิดมาไม่ควรติดกับความคิดเยอะไป ชีวิตรอบตัวเราเป็นเหมือนเพลงเพลงนึง เราเป็นส่วนหนึ่งของเพลงนั้น แล้วเพลงมันก็จะไหลไปเรื่อย จนจบเพลง นั่นคือตอนเราตาย และเราจะไม่มานั่งคิดว่าความตายจะมาตอนไหน ทุกวันนี้คนโดนสังคมพูดกรอกอยู่ตลอดว่ามึงต้องมีเป้าหมายในชีวิตนะ ต้องประสบความสำเร็จ ต้องมีตำแหน่ง มันเป็นเรื่องของอนาคต มึงจะรู้ได้ไงว่ามึงจะไปถึงจุดนั้นตอนไหน มันทำให้คนเครียด กดดัน เกิดการแข่งขันแย่งชิง จริง เราควรอยู่กับปัจจุบัน และเริ่มจากการรู้จักตัวเองก่อน หลายคนชอบบอกว่า เฮ้ย กูเกรงใจเขา โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกตัวเอง ถ้ามึงไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองแล้วจะไปเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ยังไง พอทำความรู้จักกับตัวเองปุ๊บก็จะเจอสิ่งที่เรารัก พอเจอสิ่งที่เรารักแล้ว เป้าหมายอะไรก็แล้วแต่ ช่างแม่ง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อย่าง John Mayer เขาเล่นกีตาร์แล้วเขารักมันมาก ผมไม่รู้ว่าเขาเคยคิดหรือเปล่าเขาจะกลายมาเป็นมือกีตาร์ที่โด่งดังขนาดนี้ แต่มันคงเกิดมาจากความมั่นใจว่าเขารักสิ่งสิ่งนั้นมาก ไม่ใช่คิดตลอดเวลาว่ากูต้องมีชื่อเสียง

img_0181

เบนรู้จักตัวเองหรือยัง

บางทีการรู้จักตัวเองอาจจะไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เรารู้จักตัวเองมากขึ้น รู้ว่าอยากจะทำอะไร เอาจริงได้รู้จักตัวเองชัดมาก ก็ประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะตอนอายุ 18-20 ยังมีความติดอยู่ในระบบสังคมที่กูต้องไปเที่ยววิป (ผับย่านทองหล่อ) มันฉุดความสนใจจากทุก อย่างที่เราอยากรับ สังคมช่วงเวลานั้นมันเห่อเที่ยว แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว

ผมชอบการแสดงมาตั้งแต่สิบขวบ ตอนนั้นผมเห็นเป็นกิจกรรมอยากไปเจอเพื่อน เพราะแถวบ้านผู้หญิงเขาจะชอบเล่นพ่อแม่ลูก ผมเป็นผู้ชายคนเดียวในละแวกนั้น เขาก็จะชวนว่าพี่เบนมาเล่นเป็นพ่อให้หน่อยได้ไหมคะ ไม่งั้นลูกจะไม่มีพ่อ จะเกิดมาได้ยังไงเราก็ อะ ไปเล่นให้มันหน่อย พอเห็นมันเอาหินมาสี ตำ กับใบไม้แล้วมันเละ ก็รู้สึกว่า เออ สนุกดีว่ะ ชอบการสมมติสถานการณ์ มันเป็นการปลดปล่อยอย่างนึงนะ ก็สนุกดี มันเป็นการเชื่อใจกันโดยไม่ต้องนัดกันว่าจะเล่นอะไร ก็ไหล ไป

ที่เชียงใหม่จะมีกาดสวนแก้ว แล้วก็มีโรงเรียนครูช่าง ผมก็ขอแม่ไปเรียนการแสดง แต่ผมไม่ได้เรียนกับเขาตัวต่อตัว พอได้ไปแสดงจริง ก็ชอบ ชอบแสง ชอบเสียง ชอบบรรยากาศของการที่คนมาดูแล้วทุกคนเตรียมพร้อมที่จะแสดงมันออกมา ทุกคนช่วยเหลือกัน ได้เห็นมุมใหม่ ของอีกคนที่ไม่ได้เห็นในชีวิตประจำวัน มันสนุก ดูไม่ยึดติดดี แบบ จะอะไรก็ได้ แล้วตอนนี้ชีวิตมันก็นำพาให้ผมมาแสดงอีกรอบ พอมองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่าลึก เด็กคนนั้นอาจจะชอบการแสดงจริง ไม่งั้นไม่มานั่งขอแม่ไปเรียนขนาดนั้นหรอก

แกนหลักของการแสดงละครเวทีคือความเชื่อ

พอเราแสดงเราต้องเก็บรายละเอียดของคาแร็กเตอร์นั้น ต้องมีความเชื่อว่าเราเป็นคนนั้น เราต้องรู้ว่าเขาคือใคร เป็นคนที่ไหน ชอบอะไร กินอะไร มันขนาดนั้นเลยไม่ใช่แค่เปลือกนอก การเรียนการแสดงมันจะมีกระบวนการต่าง ที่เป็นการมองตัวเองจากมุมบน เหมือนได้ซูมออกจากตัวเอง มันสนุกดีที่เราได้พักจากตัวเองไปแปปนึง เพราะพออยู่กับตัวเองนาน ก็เบื่อ แต่พักนึงมันก็ทำให้เราใช้วิธีนั้นย้อนกลับมามองตัวเองได้เหมือนกันว่าจริง แล้วเราชอบอะไรบ้าง

จะกลับมาแสดงเต็มตัวไหม

จริง แล้วชีวิตผมค่อนข้างซับซ้อนเหมือนกันนะ ตอนเด็กชอบการแสดง แต่พ่อแม่ไม่ค่อยสนับสนุนเท่าไหร่เพราะคิดว่าไม่สามารถเอาไปประกอบอาชีพได้ในอนาคต พ่อแม่เป็นครู อยากให้ผมเรียนหมอผมก็เรียนติวหมอมา แต่พอเป็น Academy Fantasia ก็เข้ามาในวงการเฉยเลย มันอาจจะเป็นทางของมัน เลยงง พอไปอยู่ค่ายนู้น 5 ปีก็ไม่มีความมั่นใจ รู้สึกสังคมมันไม่เวิร์ก ไม่ค่อยได้อะไรจากตรงนั้น ผมเพิ่งค้นพบตัวเองเมื่อออกจากค่ายได้ปีสองปีนี้แหละ ได้ทำฟรีแลนซ์ ได้อยู่คนเดียว เลยรู้สึกว่าจริง อยู่คนเดียวก็อยู่รอดได้นะ เพราะงานทุกวันนี้ที่ผ่านมาทั้งหมดคือเขาติดต่อมาเองหมดเลย แคสติ้งต่าง โทรมาเอง พูดปากต่อปากกันเอง โดยที่ผมไม่ต้องจ้างให้ใครไปหางานให้ผม เลยคิดว่า หรือว่าการแสดงตั้งแต่เด็กมันกำลังย้อนมาหาเราวะ

ตอนไปสมัคร Academy Fantasia คาดหวังอะไรจากตรงนั้น

เอาจริงปะ ไปเพราะเพื่อนชวนให้ไปสมัครเป็นเพื่อน มันไม่มีใครไปด้วย แล้วมันก็บลัฟนะว่า มึงต้องร้องเพลงนี้ มึงต้องทำตัวแบบนี้ เราแบบ เฮ้ยเราอยากเป็นอะไรก็เป็นดิ แต่พอลึก เราชอบร้องเพลงด้วยก็เลยลองดู พอไปก็ดันได้ทั้งที่เสียงไม่ได้ดีอะไร เขาคงเห็นความซื่อมาก ของผมตอนนั้นมั้ง ถามอะไรก็ตอบ เห็นว่ามันน่าสนใจเลยชวนเข้าไปในบ้าน เพราะมันไม่ได้มีแค่ร้องเพลง มีเต้น มีแสดงด้วย

ตอนนั้นผมเด็กด้วย คิดว่าประกวดเสร็จก็กลับมาเชียงใหม่ ทุกอย่างจะเหมือนเดิมเป๊ะ แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น พอเข้าไปแล้วต้องเซ็นสัญญา 5 ปี ได้รู้จักกับพี่ย้ง (ทรงยศ สุขมากอนันต์) และครูเงาะ (รสสุคนธ์ กองเกตุ)ในนั้น พี่ย้งบอกว่าเขาเหมือนเห็นอะไรในตัวผม เขาเลยชวนผมออกมาทำ Hang Over Thailand ช่วงแรก จะชวนไปเล่นบทรับเชิญใน Hormones เป็นแฟนเก่าของเก้าในเรื่อง แต่ว่ามันมีปัญหาเรื่องค่าย เรื่องกล่องดำของช่อง One เขาก็ไม่ให้ไปเล่น ผมจำประโยคได้ดีว่าจะไปเล่นทำไม ก็แค่บทรับเชิญ ไม่มีใครรู้จักมึงหรอกผมไม่แคร์ว่าใครจะรู้จักผมปะวะ เขาให้โอกาสผมทำ เห็นว่าผมน่าจะเล่นได้ ก็ให้เกียรติเขาโดยการรับบทไปหน่อยไหม ไม่จำเป็นต้องเป็นบทหลัก มันก็คือการแสดง แต่พอเขาบอกว่าอย่าไปเล่นเลยเราก็ทำอะไรไม่ได้ ตรงนั้นเลยทำให้ผมรู้สึกว่า จริง ผู้ใหญ่บางคนเขาก็ไม่ได้ถูกไปซะทุกอย่าง เพื่อน ในค่ายผมชอบมองผู้ใหญ่ว่าแบบ โอ้โห พูดอะไรก็ถูก เชื่อเขาได้ทุกอย่าง ซึ่งมันไม่ใช่ บางทีต้องวิเคราะห์บ้าง

Reality show มีความเรียลอยู่บ้างไหม

มันก็มีความเรียลแหละครับ ที่ถ่ายในบ้าน AF ยิ่งเป็นเด็ก ทุกอย่างมันก็เรียล แต่ความไม่เรียลน่าจะเกิดขึ้นอยู่ข้างหลัง ซึ่งผมไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง

หลังจากที่แสดงมาหลายแบบ ชอบการแสดงแบบไหนมากที่สุด

ชอบเล่น mv ครับ อย่างที่บอก ชอบเสียงเพลง ชอบไดอะล็อกที่อยู่ในเสียงเพลง มันทรงพลังดี เหมือนตอนเราเล่นเพลง ซิ่ง ของ Polycat กับเพลง บินเข้ากองไฟ ของ Big Ass แม่งคนละอารมณ์ คนละโทน ต่างกันมาก ถ้าทำหนังสองหนังแบบที่ไม่ใช่ mv มันคงเล่นยากมาก ต้องมานั่งคิดว่า กูจะเล่นแบบยุค 80s ยังไงดี จะเล่นเป็นแบดบอยขับรถพาแฟนไปขายตัวยังไง แต่พอเพลงมันมา จังหวะกลอง เสียงบีท ซินธิไซเซอร์ มันแยกให้เราอัตโนมัติเลย สมองเรารับรู้แล้วทำให้ body language ไปตามเสียงเพลงเลย มันเข้าถึงคาแรกเตอร์ได้เร็วมากกว่าแค่คำพูด

คิดว่าเป็นความสามารถพิเศษไหม

ไม่รู้เหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกส่วนตัว

เห็นว่าไม่ได้เรียนเต้นที่ไหน แต่ทำไมสเต็ปในเพลง ซิ่ง ถึงพริ้วได้ขนาดนั้น

ปกติชอบเต้น b-boy มันก็อาจจะมีพื้นฐานการเต้นให้ตรงจังหวะ แต่ถ้าให้เต้นแบบ choreography เลยก็ไม่ได้ b-boy ผมก็ไม่ได้เต้นเก่งนะ ได้แค่ baby freeze กับ wind mill ได้นิดหน่อยรอบสองรอบ หกสูงได้แปปเดียว เพลงมันทำให้ผมไปถึงทั้งนั้น

อยากเล่น mv ของใครอีก

อยากเล่น mv ฝรั่ง ไม่รู้อะ ถ้าได้เล่น Radiohead นี่ร้องไห้เลย มันคงไม่มีวันนั้นแต่เราก็ไม่มีทางรู้อนาคตหรอก ส่วนตัวอยากลองมีประสบการณ์กองฝรั่งดู อยากรู้ว่าความแตกต่างของการทำงาน การบรีฟ การเข้าถึงบท นิสัยคนมันก็ไม่เหมือนกันก็อยากรู้ว่าวัฒนธรรมระหว่างกองไทยกับกองฝรั่งต่างกันยังไง

1

เคยได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่ดีไหม รับมือกับมันยังไง

มีครับ มีดีก็ต้องมีไม่ดี แต่ผมจะรับมือกับทั้งดีและไม่ดีแบบเดียวกันเลย ใครมาด่าผม โอเค ใครมาชมผม โอเค แต่เราก็จะอ่านว่ามันมีอะไรที่ไม่ดี เราปรับปรุงตรงไหนได้บ้าง แต่คำวิจารณ์ส่วนใหญ่ที่ได้มามันไม่ค่อยเมคเซนส์เลยพยายามจะไม่สนใจมัน มีอันนึงเขาแคปรูปหน้าผมไปบอกว่า พี่หน้าเหมือนพี่ป๊อด Moderndog แต่ผมพี่เหมือน Nicky Pimp (หัวเราะ) ไอเหี้ย เจ๋งว่ะ ชอบ แล้วก็มีอันล่าสุด เล่นละคร หัวใจและไกปืน เล่นคู่กับพี่แบงค์ Clash คนด่าผมเยอะมากเพราะบทผมเล่นเป็นตัวร้าย แต่บางทีเราก็สับสนว่าหรือเขาวิจารณ์การแสดงเราวะ

ในบรรดาหนุ่มสาวนักแสดงที่ร่วมงานด้วยกัน ชอบใครมากที่สุด

ถ้ารุ่นใหญ่เลยก็มีพี่ตั๊กนภัสกร มิตรเอม เขาเป็นผู้กำกับแล้วเขาแสดงในเซ็ตด้วย เขาก็สอนพวกฉากบู๊ เขามีความเป็นนักแสดงที่มีวัฒนธรรมและศิลปะไทยในการแสดงที่ชัดมาก มาจากแก่นลึกเลย ขลังอะ เก่งมาก ถ้าเด็กหน่อยก็มีไอ้ทู (สิราษฏร์ อินทรโชติ) ผมไม่รู้ว่าเป็นลักษณะการทำงานของมัน หรือจริง มันเป็นคนแบบนั้น เพราะส่วนตัวรู้สึกว่าถ้าเล่นกับนักแสดงชายทั่วไปจะมีอีโก้เยอะมาก จะห่วงลุคหล่ออยู่ในนั้นลึก มีการแอ๊บเสียงเข้มขึ้นมา แบบที่เขาพูดกับเราปกติกับพูดหน้ากล้องมันจะไม่เหมือนกัน แต่ไอ้ทูเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น กับอีกคนคือกรรณ (กรรณ สวัสดิวัตน์ อยุธยา) ผมเพิ่งไปเล่นหนังสั้น SB กับเขารู้สึกว่ามุมมองเขาโอเค คุยกันรู้เรื่อง เขาเสพสื่อนอกเลยทำให้การแสดงของเขาดูแหวกด้วย เขาเข้าถึงบทในแบบของเขา อีกคนก็ชา (ชณิฌา บุญภาณุวิจิตร) ก็ reaction ดี เราส่งอะไรไป เขาโยนอะไรกลับมาชัดเจน เมคเซนส์ด้วย มันมีเคมีที่อยู่ในความถี่เดียวกัน บางคนความถี่ไม่เหมือนกันโยนอะไรกลับไปกลับมาก็งง ก็เลยมีความรู้สึกว่าสามคนนี้เล่นด้วยแล้วไม่เกร็งเลย สามารถ improvise ไปได้เรื่อย ไม่มีที่สิ้นสุด รู้สึกดีใจที่พอมาเป็นฟรีแลนซ์ แล้วได้เลือกงานแสดงเอง ก็ดีใจที่ได้มาเจอนักแสดงแบบนี้บ้าง ตอนอยู่ค่ายเราเจอแต่อารมณ์เด็กประกวด แล้วเรารู้สึกว่าตัวเราไม่ใช่เด็กประกวดแน่ ตอนเราอยู่ในบ้าน ส่วนตัวเรารู้สึกไม่ค่อย connect กับใครเท่าไหร่ คือทุกคนเป็นเพื่อนกันหมด แต่เรื่องราวที่คุยกันเราไม่ค่อยเก็ต

ตอนปารองเท้าใส่ทูรู้สึกยังไง

จริง แล้ว Rompboy มันจบแค่ซีนที่ทูบอกว่ากูรู้ไซส์รองเท้าแฟนมึงแล้วก็จบแค่นั้น แต่พอดีวันนั้นเหลือเวลา พี่เต๋อ (นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์) เขาเลยแบบไอ้เบน มึงลอง improvise ดูเนี่ย ผมชอบที่เขาไม่ให้เล่นอะไรเดิม มันน่าเบื่อแล้วบล็อกเราด้วยนะ แต่พอเขาปล่อยฟรี ให้ลองปาใส่กำแพงก่อน โอเคได้ช็อตนั้นแล้ว อีกทีเขาให้ลองปาใส่หน้าทู เราก็แบบเดี๋ยวพี่ ปาใส่หน้ามันเลยหรอ ผมเพิ่งรู้จักมันวันนี้แล้วหน้าทูมันดูเป็นคนซีเรียส ดูขรึมเนี่ย แต่จริง มันไม่ได้ซีเรียส

ทีนี้เราก็โอเค จะปาละ เล็งไว้ว่าจะไม่ปาใส่หน้ามันแน่ กะปาใส่ตัว แต่การแสดงบางทีมันไม่ได้ทำอะไรที่เซ็ต ได้ พอ improvise ไปเรื่อย มันจะมี magic ของมันเอง มันเกิดขึ้นจากการที่เราไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้น แล้วมันก็มีเสน่ห์ การแสดงควรจะเป็นแบบนั้น แล้วพอตอนปาจริง ก็เสือกปาใส่คอมันแบบพอดีมาก แล้วเป็นช็อตสุดท้ายด้วยนะ ผมยังไม่รู้เลยว่าหน้ามอนิเตอร์รอยแดงขึ้น มารู้ตอนพี่เต๋อกับตากล้องมานั่งดูไอ้เหี้ย เย็ดแม่ รอยที่ต้นคอพอดีเลยว่ะ ไอ้สัส ดีีีีทุกคนก็เฮกัน แล้วพอไปลง คนที่มาคอมเมนต์ก็มีแต่แบบว่า ใช้ cd ป่าววะ

ได้ฟังเพลงที่เบนแต่งเองใน Cat Radio ยังมีเพลงอื่นนอกจากเพลงนั้นอีกไหม

ส่วนมากเพลงมันจะแต่งไม่จบ มีเพลงไทยที่ผมแต่งเกี่ยวกับกัญชา ชื่อเพลง รู้กัญ ตอนเราดูดกัญชาในที่สาธารณะ เวลาคนเดินผ่านแล้วได้กลิ่นคนที่รู้มันจะรู้ แต่คนที่ไม่เคยดูดก็จะคิดว่าเป็นกลิ่นบุหรี่ ก็รู้สึกว่าเพลงนี้แม่งบ่งบอกถึงคำว่า รู้กัญ ได้ชัดเจนมาก แล้วคิดว่าถ้ามีโอกาสได้เล่นเพลงนี้ในคอนเสิร์ตสักวัน อยากร้องเพลงนี้แล้วคนรู้จะรู้กัน คนที่ไม่รู้ก็จะไม่รู้ว่าเพลงนี้เกี่ยวกับอะไร (หัวเราะ)

ทำไมถึงแต่งเพลงเกี่ยวกับกัญชา

ผมรู้สึกว่ามันมีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นในสังคม คนเราควรได้รับสิทธิที่จะเสพอะไรก็ได้ แต่สำหรับผมคิดว่า LSD ควรแบนเพราะ micro dose มันกลั่นเป็นหยดแล้วแรงมาก แต่ก็คิดว่าถ้ายิ่งแบนยิ่งทำให้อาชญากรรมเกิดขึ้น ยังไงก็ต้องมีตลาดมืด ต้องมีคนขาย ส่วนตัวผมไม่ได้รู้จักใครที่ทำอย่างนั้น มันปากต่อปากกันมา เราก็ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือเปล่า แต่พอมันมีเค้าแล้วยังไงก็ต้องมี

พอพูดถึงกัญชานี่มันเบามากนะ มันเป็นพืชอะ ต้นกำเนิดของมันมาก่อนกฎหมายไม่รู้กี่พันปี คนควรให้เกียรติพืชพวกนี้เว่ย มันไม่ได้เสพติดเลย ไม่เคยมีใครเสพแล้วตาย เหล้าเนี่ยคนแดกทุกวัน คน overdose ได้ กัญชาก็ overdose ได้ แต่มันยากมาก นักวิทยาศาสตร์พยายามทำให้หนูในห้องทดลอง overdose กัญชาไปเยอะมาก หนูก็แค่หลับไปสามวัน ทีแรกนักวิทยาศาสตร์คิดว่ามันตายแล้ว แต่มันไม่ได้ตายเพราะหัวใจมันยังเต้นอยู่ แต่ก็ลุ้นเพราะมันหลับไปนานมาก (หัวเราะ) ผมรู้มาว่าถ้าจะ overdose กัญชามันต้องกินเป็นถุงใหญ่ ภายในเวลาเท่านี้ ถึงจะ overdose แล้วในร่างกายเรามันมีระบบที่ชื่อ cannabanoid เพื่อให้เรารู้สึกถึง effect ของมันอยู่แล้ว

แล้วสังเกตว่าไม่มียาตัวไหนที่เสพแล้วทำให้เราหิวข้าว กินสมบูรณ์ และทำให้หลับสบาย ยาตัวอื่นส่วนมากก็ดีดหมดเลย แต่ทำไมกัญชามันทำอะไรที่ตรงกันข้าม จาก common sense ดูก็รู้แล้วว่ามันไม่ได้มีผลเสียต่อร่างกาย มีแต่ผลดี แล้วรู้สึกว่าถ้ามันถูกกฎหมาย ยาอื่น ที่ขายในร้านขายยาจะไม่ได้กลับมาเยอะมาก เช่นยานอนหลับ กินมาก ก็ไม่ดี มีผลข้างเคียง ตับอะไรก็พังหมด กัญชาเนี่ยไม่ต้องสูบก็ได้ เดี๋ยวนี้เมืองนอกมีคณะที่เรียนเกี่ยวกับการผสมผสานกัญชากับข้าว เป็น cannabis oil แล้วมองกลับมาที่เมืองไทย ก็ยังบ่นกันเลยว่าทำไมบ้านเราล้าหลังจังเลยวะ ก็นี่ดิ ไม่แบนกัญชาดิ เอามาทำเป็นพืชเกษตร บ้านเราเป็นบ้านเมืองเกษตรโคตรใหญ่ ก็ปลูกเล้ย ตอนนี้เศรษฐกิจของกัญชารอบโลกกำลังขึ้นสูงมาก ไปไวมาก เพราะมันเคยผิดกฎหมายมาก่อน มันเป็นอะไรที่ใหม่แล้วคนกำลังตื่นเต้นกับมัน พอมันเสพแล้วส่งผลกับความคิดเรามันเลยเป็นอะไรที่บูม แล้วในอนาคตผมคิดว่ากัญชาจะถูกกฎหมายทั่วโลกใน 20-30 ปี แล้วคนในอนาคตจะหันมามองเราว่าคนสมัยนั้นทำไมโง่จังวะ เป็นแค่พืชทำไมต้องมาให้ผิดกฎหมายด้วย

untitled-1

ไม่คิดจะปล่อยเพลงหรอ

คิดครับ ก็ทำอยู่ ให้เพื่อนมาคอมเมนต์ที่บ้าน เพื่อนก็บอกว่าชอบบ้าง เราก็เคยเอาไปเล่นตามงาน แต่ยังไม่อยากปล่อยเพราะรู้สึกว่ายังต้องพัฒนาอีก มันยังไปได้อีก ตอนนี้เราก็ 25 แล้วอะ แต่คิดว่าเสียงดนตรีมันเป็นข้ออ้างของคนอายุเยอะให้เขายังเป็นวัยรุ่นอยู่ พี่ฮิวโก้ น้าแอ๊ด คาราบาว เล่นดนตรีอยู่เขาก็ยังดูวัยรุ่น ยังไงเราก็คงเล่นไปจนแก่ คงไม่รีบ คนได้ฟังชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร

เพลงของเบนจะออกมาเป็นแบบไหน

เป็นบลูส์ก็มีครับ แต่จะมินิมอลหน่อย จังหวะ strumming ก็จะจึ๊ก ๆๆๆ มีความเป็น King Krule นิดนึง เอื้อน น่าจะเป็นการผสมผสานที่ใหม่สำหรับคนในบ้านเรา แต่เวลาผมร้องเพลงไทยเขาจะบอกว่าผมเหมือนสิงโต นำโชค แต่ผมไม่เคยฟังเพลงเขาเลย ก็ลองดูครับ แต่ที่ยังไม่ปล่อยเพราะต้องการสมาชิกวง คือมีเพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกัน แต่นักดนตรีเขามีความเป็นตัวของตัวเองกันสูง จับใครมาเล่นเป็นวงนี่ยากมากเพราะเขาต้องยอมความเป็นตัวของเรา เราก็ต้องหาคนที่แนวเดียวกับเราเลย ซึ่งผมยังหาไม่เจอ จริง ก็มีน้องซอน มือกีตาร์ที่ไปเล่น Cat Radio กับผม เขาเด็กภูเก็ต เก่งมาก รู้สึกว่าเขาเปิดรับผม แต่อยากให้มันมีซินธิไซเซอร์นิดนึงอาจจะน่าสนใจมากขึ้น เป็นอิเล็กทรอนิกนิด แบบ Mura Masa ตอนนี้ก็ลองทำ EDM เป็น trap music ให้เพจ Just ดู It. เพจรีวิวหนัง ของเพื่อน ตอนนั้นมันทำธีสิส มศว. แล้วผมก็เล่นอะคูสติกให้มัน มันชอบมาก มันเลยมาขอให้ผมทำ background music ประกอบรีวิวหนังให้ ตอนนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เพลงชื่อ แจ๊ค หม่า จะเป็น EDM จีนที่ผสมความกวนตีนและความซีเรียสอยู่ในนั้น ลองทำหลาย แบบดูก่อนครับ

ระหว่างนั้นเบนเอาเดโม่เพลง Flamingo ที่เขาแต่งเองให้เราลองฟัง เพลงจังหวะสบาย ย้วย ประหนึ่ง Cosmo Pyke ดูท่าทางเข้าท่าทีเดียว

แต่ผมไม่มีความสามารถในการแต่งเพลงไทยเลย โคตรห่วย ไม่รู้จะศึกษายังไง แต่อยากแต่งเพลงไทยนะ มีแค่เพลงเดียวคือ รู้กัญ แต่ก็อยากเรียบเรียงแบบใหม่ ในแบบที่ตัวเองชอบด้วย เคยทำแล้วก็ยังไม่ชอบ แต่เราจะรู้สึกโชคดีอย่างนึงคือเราพูดภาษาอังกฤษได้ คือเวลาเราจะแต่งเพลงไทยเราจะฮัมเมโลดี้อารมณ์ฝรั่งก่อน แล้วค่อยมาใส่เนื้อไทยเข้าไป ถ้าเราฮัมเป็นเมโลดี้ไทยมันจะไม่เหมือนเมโลดี้ฝรั่งเลยเว่ย ไม่รู้คนอื่นทำไงกัน

มีความสามารถอะไรของเบนที่คนอื่นยังไม่รู้อีก

บางทีเรามารู้ว่ามีความสามารถนี้ก็หลังจากที่ได้ปล่อยอะไรออกมา ผมแสดงทุกวันนี้ยังรู้สึกว่าเราต้องพัฒนาอีกเยอะ มันยังต้องฝึกไปเรื่อย มีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่ได้ลอง เลยยังไม่รู้ว่าความสามารถที่เหลือของตัวเองคืออะไร

สุดท้ายนี้ อยากให้คนมอง เบนจมิน วาร์นี แบบไหน

ตอนนี้พอเริ่มมีผลงานออกมา ใน Instagram ก็มีคนมาติดตาม บอกว่าเป็น fc ค่ะ รอพี่เบนโพสต์มาสองวันผมแบบ เฮ้ย มึงไม่ต้องขนาดนั้น (หัวเราะ) ชีวิตต้องไปหาสิ่งที่คุณรักจริง ๆ ไม่ใช่มาหาผม ผมอยากให้คนชอบในแบบที่ผมเป็น แต่ไม่ต้องติดตามทุกฝีก้าว ถ้ามองเป็นไอดอลแล้วมันจะดีไปซะทุกอย่างทั้งที่จริง เขาก็มีด้านไม่ดีด้วย แล้ววันนึงต้องมาเจอเขาตัวต่อตัวมึงก็จะเกร็ง เรามองเขาเป็นมนุษย์ที่เจ๋งแล้วกูชอบ คนนึงพอ ไม่ต้องไปยกย่องเขา อยากเรียน อยากรับรู้อะไร ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเลย แต่ก็ต้องขอบคุณทุก คนที่ให้โอกาสผม ชอบการแสดงผม ถึงน้อง ที่มาเขียนอะไรอย่างนั้นพออ่านแล้วเรารู้สึกแปลก แต่เราก็ขอบคุณเขาแหละที่ให้ความสนใจเรา แต่อยากมองผมเป็นแบบไหนก็มองไปเลย ไม่ต้องเห็นผมเป็นไอดอล ผมเองยังไม่ชอบมองคนอื่นเป็นไอดอลเลย เรามองที่ตัวเราเนี่ยแหละ คนเกิดเป็นมนุษย์มันมีสองมุมเท่าเทียมกันทุกคนอยู่แล้วเว่ย

head1

ติดตามผลงานของเบนได้ที่ Instagram @chipmunkben

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้