Feature เห็ดหูหนู

Gun Svasti Playlist

  • Writer Gandit Panthong
  • Photographer Nattanich Chanaritichai

static1-squarespace

 

GUN PLAYLIST

Bob DylanBlowin in The Wind

จริง ๆ เราเป็นคนที่ชอบ Bob Dylan มาก การแต่งเพลงของเขามันครอบคลุมดีอะ มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของความรักอย่างเดียว มันมีเรื่องราวอื่น ๆ ที่เขาเล่าออกมาได้น่าสนใจมาก ๆ คือ นักร้องถ้าแม่งแต่งเพลงได้และร้องได้รู้สึกถึงสิ่งที่แต่งจริง ๆ ควบคุมทุกอย่างได้ มันคงเป็นความคลาสสิกชนิดนึง ซึ่งเพลงนี้มันใช่มาก ๆ สำหรับเรา

Daughter Youth

ความทรงจำกับเพลงนี้มันเกิดขึ้นตอนตี 3 ครับ ช่วงที่ขับรถกลับบ้านพอดี เพลงนี้มันทำให้เรารู้สึกไปไกลมาก พาเราหลุดโลกไปเลย ฟังแล้วมันรู้สึกเกิดพลังและความฮึกเหิมดีครับ

Selina and SirinyaShe

เราว่าเพลงนี้มันดีมาก ๆ เป็นเพลงไทยที่เราฟังแล้วรู้สึกถึงความง่ายสบายใจ เบื้องต้นอาจจะมองว่าเหมือนมันเป็นเพลงสายลึกนะ เพราะเนื้อร้องน้อย แต่โอเค เราทำความเข้าใจกับมันได้และชอบมากด้วย

John MayerGravity

ผมเป็นคนฟังเพลงที่เน้นเสียงกีตาร์เยอะ เพราะเล่นกีตาร์ รู้สึกว่าเพลงนี้มันมีความบูลส์สูง John Mayer เขาจะเป็นคนที่เก่งมาก ในฐานะศิลปินเนี่ยแม่งยอดเยี่ยมเลย แต่ฝั่งชีวิตจริงแม่งก็โครตอีกแบบนึงเลย แต่เราว่าฟังเพลงเขาครับ ชอบครับเพลงนี้ (หัวเราะ)

Ray Lamontagne & Damien RiceTo love somebody

ที่จริงเพลงนี้มันถูกทำออกมาบ่อยนะครับ แต่เราชอบเวอร์ชันนี้ เพราะมันมีความเข้ากัน เคมีมันลงตัวมาก ๆ การที่เขาได้มาแจมกันมันสร้างอารมณ์ที่ลึกซึ้งกินใจดี เหมือนเขาทั้งคู่กำลังเล่าชีวิตของเขาให้เราฟังอะ

Ost.Legend of 1900Playing Love

เราเป็นคนชอบฟังเพลงประกอบหนังครับ โดยเพลงที่เราชอบเพลงนี้มันจะมาจากหนัง Legend of 1900 เกี่ยวกับผู้ชายเล่นเปียโนในเรือครับ มันเป็นความรู้สึกที่อิมแพคมาก ๆ ตอนที่เพลงนี้ออกมามันเป็นฉากที่คนคนนึงใช้ชีวิตอยู่บนเรือมาตลอด แล้วเจอผู้หญิงคนนึงมาหยุดแล้วมองเขา มันเป็นอาการตกหลุมรักที่โครตแบบนี่มันคือครั้งแรก จริง ๆ ว่ะ ทุกอย่างมันได้

Erlend ØyeHeaven Knows I’m Miserable Now (The Smiths Cover)

เรารู้จักเขาตั้งแต่ตอนมาเล่นประเทศไทยกับ King of convenience แล้ว จริง ๆ มันเป็นเพลง Cover ครับเพลงนี้เป็นของวง The Smiths ผมชอบที่เขาเอามาทำให้มันเบาสบายลงแล้วก็รู้สึกได้ว่า เพลงนี้มันเหมาะกับอะคูสติก

Death Cab For CutieI Will Follow You Into The Dark

เป็นช่วงที่เราชอบฟังเพลงดาร์ก ๆ ครับ เพลงนี้มันจะให้ความรู้สึกเหงา ๆ เปลี่ยวด้วย มีความเสี่ยวเล็กน้อย ความ Loser สูงมาก ๆ ชอบการทำงานของวงนี้ตอนที่ยังไม่เปลี่ยนแนวดนตรีเป็นอิเล็กทรอนิกเหมือนสมัยนี้

Angus and Julia Stone Mango Tree

วงนี้หลายคนอาจจะเคยได้ยินเพลงของเขาตามร้านกาแฟบ่อยมาก แต่อาจจะไม่รู้ว่าใครเป็นศิลปินที่ร้องอยู่ เขาเป็นครอบครัวครับ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นญาติกันหรือพี่น้องกัน แนวมันอาจจะออก Folk หน่อย ฟังเรื่อย ๆ ก็สบายใจดี

RadioheadCreep

ส่วนตัวผมเป็นคนชอบฟังเพลงแนว Folk นะครับ แต่มันจะมีอารมณ์ที่แบบเราอยากฟังเพลงหนัก ๆ บ้าง วง Radiohead ถือเป็นหนึ่งในวงแนวเพลงหนัก ๆ นั้น เพลงนี้ผมจะชอบสุดครับ ฟังแล้วรู้สึกมันกระตุ้นเราให้ฮึกเหิมครับ

static1-squarespace-1

Exclusive Talk

ที่มาของชื่อจริง “กรรณ”

จริง ๆ ชื่อนี้มันมีที่มาครับ ผมเปลี่ยนชื่อบ่อยมากครับ ตอนเด็ก ๆ ความจริงแล้วผมชื่อ ปืน เพราะว่า ที่บ้านพ่อเป็นทหาร แล้วพ่อชอบปืนเลยตั้งชื่อนี้เป็น เด็กชายปืน เสร็จแล้วผมเองก็ได้มีอีกโอกาสไปเรียนต่างประเทศ ฝรั่งที่โน้นเขาจะพูด ป ปลา ไม่ได้มันจะเป็นตัว P มันไม่ได้ไง มันจะอ่านเป็นพื้นแทน (หัวเราะ) ก็เลยไปกดดันพ่อกับแม่ให้เปลี่ยนให้หน่อยครับ เลยได้ชื่อจริงเป็นคำว่า กรรณ แต่มันรู้สึกตลกดีตรงที่มันไม่ได้สะกดแบบคนทั่วไป ซึ่ง กรรณ แบบนี้แปลว่า หู ครับ เราก็รู้สึกแฮปปี้มากที่ได้เปลี่ยนชื่อในสมัยเด็ก ๆ ครับ

ตอนที่เปลี่ยนชื่ออายุเท่าไร

ตอนนั้นอายุ 12 ครับ เพื่อนแซวยับเลย ผมคิดว่าสมัยนั้นคนชื่อปืนคงน้อยมาก เพื่อนมันจะมาชอบล้อเราว่า น้องปืน ๆ เราก็คิดในใจอะไรของพวกมันวะ มันก็น่ารักดีนิหว่า ปืนเนี่ย แต่เราเพิ่งมารู้ว่า คนชื่อนี้แม่งเยอะมากต่างจากสมัยเราเลยที่คนชื่อปืนน้อย ทำให้เรารู้สึกว่าเราอยากเปลี่ยนชื่ออยู่ตลอดเวลา

กรรณเป็นเด็กนักเรียนนอก

ใช่ครับ เราเป็นเด็กนอกไปเรียนอยู่ประเทศออสเตรเลียมาครับ ตอนนั้นเราไปเรียนอยู่ในโรงเรียนที่ไม่มีคนไทยอยู่เลยอะ ด้วยความที่ค่าใช้จ่ายมันแพง เราเลยไม่ค่อยกลับประเทศไทยครับ กลับปีละ 1 ครั้งเอง ทำให้ได้มีโอกาสได้คุยกับคนไทยน้อยมาก อ่านภาษาไทยออกนะครับ แต่เขียนไม่ค่อยได้ เขียนได้แค่ชื่อ-นามสกุลเอง มันลำบากนะการใช้ชีวิตตอนนั้น แต่เราก็ผ่านมันมาได้พร้อมทั้งได้แนวคิดจากฝรั่งมาค่อนข้างเยอะทำให้ช่วงแรกที่กลับมาไทยจะปรับตัวอยู่พักนึงเลย เราจะยังไม่ค่อยชินกับการทำอะไรที่นอบน้อมเท่าไร เราจะเป็นคนตรงมาก ๆ กลับมาช่วงแรกเคยมีเหตุการณ์นึงเพื่อนรอกินข้าวกลางวัน ถ้าปกติเป็นคนไทยทั่วไปจะบอกว่า ได้ ๆ เดี๋ยวเราตามไปกินนะ แต่ผมตอบไปว่า กูไม่กิน ไปเลยกินเลยรอกูทำไม มันเป็นช่วงอายุ 15 – 16 ครับ มันเลยดูแบบถ่อย ๆ นิดนึงจนตอนหลังผมก็ต้องเรียนรู้แล้วปรับตัวไปกับการกลับมาประเทศไทยครับ

กรรณเป็นเด็กเกเรไหม

เราไม่ได้เป็นเด็กเกเรมากนะ ไม่ได้ไปตบตีกับคนอื่นเยอะ ญาติเราจะเป็นคนออกไปตบตีมากกว่า รุนแรงถึงขนาดส่งกลับบ้านอะ เราก็เลยไม่อยากทำให้ที่บ้านเสียใจ จะนั่งดูมันทำซะมากกว่า คือ ชีวิตญาติเราเขาจะซ่าตั้งแต่เด็กเลย ทุบกระจกรถ ชีวิตเถื่อนมันมาก พอเราเห็นแบบนี้ตอนหลังก็เลยจะกลายเป็นคนวางแผนให้มันแทน (หัวเราะ) เวลาเราอยู่กับญาติเราจะปลอดภัยมากตอนไปเรียนที่โน่น ยิ่งช่วงนั้นหนัง องค์บาก แม่งดังมาก ฝรั่งแม่งก็จะคิดว่า คนไทยน่ากลัวสัส ๆ ประเทศมึงน่ากลัวมาก ทำให้เราจะไม่ค่อยโดนแกล้งครับ ช่วงเวลาที่ไปเรียนต่างประเทศ

ช่วงเวลาที่ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง

มันจะดูเป็นคำตอบที่ดูธรรมดาไปรึเปล่า ถ้าเราจะบอกว่า รุ่นพี่ชวน ๆ ไปทำ (หัวเราะ) ซึ่งมันก็เรื่องจริงนะ เรามาด้วยความไม่ตั้งใจมากกว่า คือ งานแรกที่เราเข้าสู่วงการเนี่ยมันมาจากการทำด้วยความจำยอม คือ เราเล่น Music Video เพลง รัก ของ Lomosonic แล้ววิดีโอตัวนี้จริง ๆ แม่งเซอร์มาก มีฉากจูบ ฉากถอดเสื้อ ตีลังกาห่าไรไม่รู้เต็มไปหมด ซึ่งมันสนุกมาก ๆ เราจะเป็นคนที่สนิทกับผู้กำกับมาก ๆ ค่าตัวตอนนั้นเขาให้ 2,000 บาทครับ ถ่าย 3 วัน 3 คืนไม่นอน แต่มันก็ทำให้เราชินกับการทำงานในกองถ่ายมากขึ้น เหมือนมันคล้าย ๆ กับการมาทำงานให้รุ่นพี่มากกว่าเป็นดารามาถ่าย Music Video อะครับ ฉากที่แสดงนี่ก็ไม่ต้องแอ็กติ้งเลย นั่งกินเหล้า ตะโกนสนุกสนานไป การตัดแต่ละฉากมันจะคล้าย ๆ กับภาพยนตร์เรื่อง Hers ตัดไปตัดมา เราสนุกมาก กระแสตอบรับตอนนั้นมันก็ไม่ได้แย่นะ

มีเพื่อนเริ่มแซวบ้างรึยังหลังจากไปเล่น Music Video มา

มีนะ ส่วนมากเพื่อนจะชอบล้อเลียนเรา ส่วนตัวเราเชื่อว่าเพื่อน ๆ ทุกคนถ้ามีใครไปโผล่อยู่ในหน้าจอทีวี คงไม่มีใครพูดหรอกว่า เฮ้ยมึงดีมากเว้ย คำพวกนี้แม่งเป็นส่วนน้อยเลยสำหรับเรา มันจะมีแต่แบบมึงไปทำอะไรเนี่ย เป็นแบบนี้ได้ด้วยเหรอ ยิ่งเราเป็นคนที่เรียนเกี่ยวกับการทำงานเบื้องหลังมาด้วย ทำให้มันจะมีความอายความเขินอยู่ บางทีให้ไปยืนตรงจุดที่เขาสั่งยังไม่อยากไปเลย ล่าสุดเพิ่งคุยกับรุ่นน้องมา มันก็บอกผมว่า มึงมาไกลแล้วนะเว้ยกรรณ ทุกคนก็ทำงานเหมือนเดิม มึงอะไปไกลกว่าคนอื่นเขา ชีวิตมึงดูดีอะ (หัวเราะ)

เกือบได้เป็นพระเอกภาพยนตร์ ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ 

พอหลังจากงานที่ถ่ายไปก็เริ่มมีติดต่อเข้ามาเรื่อย ๆ ครับ เขาเห็นมาดเราจะออกเซอร์ ๆ หน่อย เลยได้มีโอกาสไปแคสหนังเรื่องนึง ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ วันนั้นก็ไปด้วยความมุ่งมั่นเลยแต่พอไปถึงปุ๊บเห็นพี่ซันนี่เดินเข้ามาในห้องที่แคสติ้ง เราคิดในใจ ขอผมออกจากห้องตอนนี้ได้เลยรึเปล่าครับ (หัวเราะ) วันนั้นโชคดีมากที่ได้รู้จักกับพี่ต้น (นิธิวัฒน์ ธราธร) เขาก็เอาเราไปเล่นโฆษณาต่อก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้เริ่มทำอะไรจริงจังมากขึ้นในวงการ ได้เรียนรู้การเข้าจังหวะให้ถูก มุมกล้อง การขายสินค้าออกไป แล้วพอเล่นโฆษณาไปสักพักก็ได้มีโอกาสเล่นภาพยนตร์สั้นเฉลิมพระเกียรติเสร็จหลังจากนั้นก็ได้ไปเรียนการแสดงกับหม่อมน้อย (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล) ครับ

static1-squarespace-2

รู้สึกว่าตัวเองใช้คำว่าดาราได้แล้วรึยัง

ห่างไกลจากคำนี้เยอะ ตอนที่ไปเรียนกับหม่อมน้อย เราแทบจะไม่รู้อะไรมาก่อนเลยเกี่ยวกับศาสตร์การแสดงทั้งหมด ท่านก็จะสอนเราให้ได้เรียนรู้เรื่องแอ็กติ้งหลาย ๆ อย่าง สอนให้มีสติมากขึ้น สมาธิในการแสดงที่มั่นคง คือ เดี๋ยวนี้การเป็นนักแสดงได้มันไม่ใช่แค่เดินกลางถนนหน้าตาดีจบไปแสดงได้เลย มันไม่ใช่แล้วมันต้องเรียนรู้ ฝึกฝนไปเรื่อย ๆ ทุกอาชีพมันจะคล้าย ๆ กันหมด ต้องทำได้ทุกอย่างก่อนออกไปแสดงจริง ๆ เพราะฉะนั้นแล้วคำว่าดาราสำหรับผมนี่ยังอีกไกลเลย

ผลงานสร้างชื่อ Music Video ของวง ROOM39

(หัวเราะ) อันนี้มันตลกมากครับ คือ จริง ๆ แล้วเราสนิทกับทีมงาน Hello filmmaker เขาก็ชวนผมไปเล่นอีกครั้ง จริง ๆ ตัวเอ็มวีนี้มันไม่ได้มีอะไรเลย มันทำกันง่าย ๆ มาก ถ่ายในคอนโดเดินเล่นนิดหน่อย พี่ผู้กำกับเขาอยากไปเสม็ดก็ไปลุยต่อเลย ถ่ายที่นั่น เราทำอะไรเขาก็ถ่าย ขี่รถมอเตอร์ไซด์เขาก็ถ่ายเหมือนไปเที่ยวมากกว่า ปรากฏว่า เอ็มวีตัวนี้ดังมาก ถ่ายไปเกือบ 1,000 เทค ใช้แค่กูนั่งอยู่นิ่ง ๆ หน้าคอมพิวเตอร์แค่นั้น (หัวเราะ) แต่ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนไปนิดนึงครับจากเอ็มวีตัวนี้

แท้จริงแล้วกรรณเป็นคนแบบไหน

มีหลายคนชอบบอกผมนะว่า ผมจะเป็นเหมือนคนเยอะนะ แต่จริง ๆ แล้วผมคิดว่า ผมเป็นคนชั้นเดียวนะ เข้าถึงง่าย รู้ว่าต้องทำอะไรอยู่ในแต่ละช่วงเวลา ผมชอบคำนี้นะ มันไม่ใช่คำที่ดูจากใจแต่มันตรง ๆ ดี เรียกง่าย ๆ ผมก็เป็นคนปกติล่ะ คุยเล่นกับใครก็ได้ แต่จะไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท ไม่มีแก๊งเท่าไร เพราะ ผมย้ายโรงเรียนบ่อยมาก ตอนเด็ก ๆ 3 ปีย้ายที ทำให้ผมก็จะดูแบบนิ่ง ๆ หน้าดุรึเปล่า แต่อยากบอกให้ทุกคนเข้าใจเลยว่า ผมสนุกสนานนะ เป็นคนตรง ๆ ผมให้เกียรติคุณ คุณให้เกียรติผม แค่นั้นเอง เราใจ ๆ ให้เกียรติกันสำหรับผมทุกอย่างมันก็จบแล้วนะ

กิจกรรมยามว่างของกรรณ

ถ้าอยู่บ้านก็จะนั่งดูหนังเยอะ งานกิจกรรมของผมมันมาเป็นช่วง ๆ ครับ บางทีก็นั่งปั้นพระ ไปเรียนปั้นพระจริงจังเลย มันดูมีพลังดี พอไปเรียนจริง ๆ ปรากฏว่า ทุกคนจะปั้นพระหน้าเหมือนตัวเองหมดเลย ซึ่งมันก็แปลกนะ มันดูมีอะไรพิเศษดี ช่วงนี้ผมก็อินกับการถักนิตติ้ง ทำกิจกรรมแบบนี้อะไรที่มันไม่มีอะไร มันอาจจะทำไปแล้วมีอะไรเกิดขึ้นมาก็ได้ แล้วก็ชอบอ่านหนังสือด้วยครับ ส่วนมากชอบซื้อหนังสือมาวางกองไว้ กิจกรรมเราหลัก ๆ ก็จะมีประมาณนี้

กรรณเล่นเกม FIFA และเป็นแฟนทีม Manchester United

ผมเป็นคนไม่เกรียนเกมนะ ช่วงที่เขาฮิต ๆ ตี DOTA กัน คือ ไม่รู้ว่าคืออะไรด้วยซ้ำ แต่กลัวเพื่อนหาว่าเสี่ยวเลยบอกเพื่อไปว่า ตีได้ เดี๋ยวตามไปจริง ๆ ผมกลับบ้านครับ เราเคยเล่นเกมพวกนี้แล้วห่วยก็เลยไม่เล่นอีกเลย ตอนนี้ที่เล่นจริง ๆ ก็จะเป็นเกม FIFA ผมเชียร์แมนยู ฯ ครับ (หัวเราะ) ผมจะเล่นฟีฟ่าเวลาเจอเพื่อนที่ห้าง MBK ไปนัดเจอกันที่นั้น สำหรับผมแล้วในฐานะแฟนแมนยู ฯ ผมมองว่า บางทีการที่มีมูริญโญ่มาคุมทีมมันเป็นอะไรที่ดีนะ แต่ทีมมันก็จะมีอะไรโง่ ๆ อยู่ให้เราเห็นประจำ แต่เราก็เชียร์อยู่แล้ว มึงจะทำอะไรทำเลย ไม่ใช่เงินกูซื้อไปเถอะนักเตะอะ ผมดูตั้งแต่สมัยยุค 3 แชมป์แล้ว ส่วนฟุตบอลจะเตะกับเพื่อน ๆ ทุกวันเสาร์ทำให้เรื่องนี้ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมสนใจและจริงจังกับมัน

สเป็คสาวในฝัน

เราไม่มีครับ สเป็ค คือ ไม่ได้มีแบบชอบหมวย ชอบลูกครึ่ง เราเชื่อในคำว่าจังหวะมากกว่า ถ้าจังหวะแม่งดี แม่งก็ใช่แล้ว คนเราถ้าให้พูดกันแบบเลว ๆ คือ ต่อให้แม่งมีแฟนแล้วจังหวะการเจอใครสักคนแม่งดี มันก็อินไปอยู่หลายวันเลยนะ ถ้าตอนนั้นแม่งดีแม่งก็ดีไปเลย สถานการณ์มันจะเป็นตัวควบคุมกำหนดว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ ความรักมันเป็นเรื่องของอารมณ์อะ ถ้าเรารักผู้หญิงคนนี้เพราะหมวยมันใช่เหรอวะ เราก็รู้สึกว่ามันขึ้นกับจังหวะแล้วความรู้สึกมากกว่า เจอครั้งแรกถ้าสมมติพูดคำหยาบใส่กันแล้วแบบมันถูกเวลา แม่งก็ดี มันคือความประทับใจ จังหวะต่อจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่เลย ซึ่งจังหวะแบบนี้มันเกิดขึ้นกับเราบ่อยนะในชีวิต เพราะว่าคนสมัยนี้ทางเลือกในการใช้ชีวิตมันเยอะมาก เหมือนทำงานแล้วไม่ชอบงานก็แค่เปลี่ยน ความรักมันก็คล้าย ๆ กัน คนเรามันหวังมากกว่านั้น เรียนรู้กันไปอย่างเดียวมันไม่ใช่แล้ว บางทีมันเยอะเกินไปในคำว่า มีแฟน เราไม่เชื่อในคำว่าจีบอะ สมมุติเรามองใครคนนึง เขามองตอบกลับมา เขาก็รู้ว่าเหมือนที่เราแม่งรู้ว่าคิดอะไรกันอยู่ มันคล้าย ๆ กับเพลงที่อินโทรมาแล้วท่อนต่อไปมันจะเล่นยังไงก็แล้วแต่คน เราว่าการจีบกันมันไร้สาระมาก มันแค่คือการเอาข้อดีของคนสองคนมาเจอกันเท่านั้นเอง

การแต่งงานสำคัญไหมสำหรับกรรณ

ถ้าพูดขนาดนี้คงไม่ได้แต่งแล้วครับ (หัวเราะ) เราเฉย ๆ นะ มองว่าการแต่งงานมันคือการบอกว่าเราคุยกันแล้วเราเป็นแฟนกันรึยัง อยู่กันไปแล้วต้องแต่งงานรึเปล่า เรามองว่ามันเรื่องปกติไปแล้ว การแต่งงานมันเป็นอะไรที่ถ้าคุณโชคดีคุณคงได้แต่ง อย่าไปกดดันกันเลย สุดท้ายถ้ากดดันไปการหย่าร้างมันก็จะเกิดขึ้นอยู่ดี เราว่าการแต่งงานสำหรับเรามันไม่ค่อยสำคัญเท่าไร

static1-squarespace-3

ทุกวันนี้มีแฟนยัง

ไม่มีครับ คือ ผมเคยเจอจังหวะแบบนั้นนะในชีวิต แล้วมันก็ผ่านไป เพราะว่ามันคงไม่ใช่แน่ ๆ ถ้าไม่เวิร์ก ฝืนไปก็เสียเวลาเปล่า เราไม่ใช่คนที่แบบพยายามใช้ชีวิตให้ยาก ยิ่งพยายามเอาใจเอาให้ได้หรือทำอะไรบางอย่างเพื่อชนะใจคน เราว่ามันไม่ใช่ คบกันต้องชนะใจกันด้วยเหรอ ถ้ายังรับกูตอนนี้ไม่ได้ คบกันไปต่อมันก็ไม่ได้หรอก ต่อให้ตอนแรกมันดีระยะยาว ๆ แม่งก็ไม่ดีแน่ สุดท้ายเราคิดว่าเราอาจจะธรรมะไปรึเปล่าก็ไม่รู้ เราว่าเกิดมาคนเดียวตายไปก็คนเดียวอยู่ดีอะ มันเป็นเรื่องที่ควรทำใจได้นะ

อกหักครั้งแรก

โอ๊ยหนักมาก เราเชื่อว่าครั้งแรกมันเป็นอะไรที่ดีนะ ถ้าผ่านมันไปได้มันนจะเป็นความรักที่สดใสเลย แต่สำหรับเราตอนนั้นก็เสียใจหนักอยู่ แล้วก็ไม่รู้จะไปลงกับใครด้วย เราไม่ใช่สายกินเหล้า นัดเพื่อนปาร์ตี้ให้ลืมความเศร้า แต่เราจะหายตัวไปเลย ไปเที่ยว 1 ปี ปิดโทรศัพท์อย่ามายุ่งกับกู ติดต่อแม่แค่คนเดียวพอ เราทำแบบนั้น ช่วงนั้นอายุ 18 เอง พอทำสิ่งนี้ปุ๊บเราก็ได้สำรวจตัวเองว่าที่ผ่านมา 2 – 3 ปีที่มีแฟนเนี่ย กูไม่ได้ทำอะไรให้ตัวเองเลยนี่หว่า เราจะให้เวลาคนอื่นจนลืมตัวเองไปเลย จึงกลับมามองแล้วค่อยๆ เยียวยาความรักครั้งนี้ของเราไปโดยแบ่งเป็นครึ่งปีแรก เราจะอยู่บ้าน อ่านหนังสือ ดูหนัง แล้วอีกครึ่งปีหลังคือ ไปเที่ยวยาว ๆ เลย จำได้ว่าช่วงอกหักหนังเรื่องโปรดของเราคือ 500 days of summer เรื่องนี้แม่งเป็นหนังชีวิตของเรา มันเหมือนแบบกลับไปดูตอนนี้มันก็จิ๊บ ๆ ว่ะ กูแค่เจอมึง มึงเป็น Summer ใช่ปะ กูไป Winter ต่อไปก็ได้ (หัวเราะ) มันก็เป็นการจุดประกายว่า เราชอบดูหนังรึเปล่า เราโตขึ้นมาเยอะจากเหตุการณ์นี้ในชีวิต ขอบคุณมันด้วยซ้ำ ถ้าไม่เลิกตอนนั้นอาจจะเป็นผู้ชายที่งี่เง่าคนนึงก็เป็นได้ เรารู้สึกว่าเราโตมากครับ ถ้าไม่อกหักก็คงไม่โตแน่นอน

สุดท้ายนี้ฝากชีวิตตัวเองหน่อย

ไม่มีอะไรจะฝากนะ (หัวเราะ) แต่ฝากหน่อยก็ได้ครับ เราคิดว่าจะพูดโดยรวมไปเลยละกันครับ เราอยากให้คนไทยอ่านหนังสือเยอะ ๆ ครับ ยิ่งถ้าเป็นเด็กรุ่นใหม่ด้วยนะ อ่านเยอะ ๆ เถอะ อยากให้ทุกคนที่อ่านบทความนี้ทำอะไรแล้วทำให้สุดด้วย หาตัวเองให้เจอรู้ว่าเราต้องทำอะไรในชีวิตแล้วทำมันออกมาให้เต็มที่ จากนั้นสิ่งดี ๆ ในชีวิตมันจะเกิดขึ้นเอง แค่นั้นครับที่ผมอยากจะฝาก เต็มที่กับชีวิตครับ ขอบคุณครับ

Facebook Comments

Next:


Gandit Panthong

กันดิศ ป้านทอง อดีตนักศึกษาฝึกงานนิตยสาร Hamburger Magazine, ทำงานในกองบรรณาธิการ MiX Magazine และ บก.คนแรกของ Fungjaizine ที่มีความมุ่งมั่นว่าจะตั้งใจสร้างสรรค์วงการเพลงให้เกิดแต่สิ่งดี ๆ ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง