Feature เห็ดหูหนู

Kongdej Jaturanrasmee Playlist

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Neungburuj Butchaingam

เห็ดหูหนู บทสัมภาษณ์คนโปรดในดวงใจกับเพลย์ลิสต์ 10 เพลงในดวงจิตที่จะบ่งบอกความเป็นตัวเองของพวกเขาผ่านเสียงเพลง

KONGDEJ’S FAVORITE

Daft Punk feat. Todd EdwardsFragments Of Time

ชอบชุด Random Access Memories นี้มาก เราคิดว่าการเห็น Daft Punk ที่ย้อนกลับไปสู่ 70s แล้วทำได้ละมุน ตอนปีที่ออกก็ขึ้นหิ้ง เราชอบเพลงจังหวะแบบนี้ จริง ๆ มันมีอีกเพลงนึงของ Benny SingsLittle Donna เป็นศิลปินเนเธอร์แลนด์ สองเพลงนี้มี groove คล้าย ๆ กัน ตอนแรกเราฟัง Little Donna ก่อน เป็นไอ้อ้วน ๆ มีเครา เราไม่รู้จักมาก่อน เพื่อนมาเปิดให้ฟัง แล้วก็ปิ๊งทันทีเลย มันเป็นอัลบั้มที่แปลกมาก ชื่อชุด I Love You เป็นชุดที่บันทึกเสียงตอนเล่นสดในร้าน ๆ นึง แล้วคุณภาพเสียงมันดี แบบ เชี่ย มึงหลอกกูป่าววะ คือมึงอัดในสตูดิโอแล้วเอาเสียงคนตบมือเข้ามาใส่คั่นตรงกลางหรือเปล่า แต่มันทำอัลบั้มนี้ด้วยวิธีนี้จริง ๆ อัดตอนเล่นสดแล้วออกขายเลย ทุกคนเป๊ะมาก แล้วพอมาเจอ Fragments Of Time นอกจากจะเป็น groove แบบที่เราชอบแล้วมันก็ยังพูดถึงความทรงจำ ชิ้นส่วนของเวลา พอมันอยู่ในอัลบั้มที่กลับไปทำอะไรเก่า ๆ ไม่ได้ตึ๊ดมากแบบชุดก่อนหน้า เราก็เลยรู้สึกว่าเพลงนี้เป็นบทสรุปที่ดีมาก

The SmithsThis Charming Man

This Charming Man นี่เป็นเพลงชาติตอนทำสี่เต่าเธอชุดแรก จริง ๆ แล้วมันเป็นเพลงที่ทุกคน… ขอ 20 เพลงได้มั้ย 10 เพลงไม่พอ ชอบหลายเพลงอะ (หัวเราะ) พอมันพูดถึงรุ่นนี้แล้วมันจะมีเพลงประจำรุ่นอีกเยอะเลย This Charming Man มันเป็นยุคนั้นอะ มันคือ late 80s แล้วเราชอบ The Smiths มาก ชอบเสียงกีตาร์กับเสียงร้องของ Morissey มาก แล้ว groove ของมันจะคล้าย Modern Love ของ David Bowie แต่อันนี้มันสวิงสวายมาก ๆ แล้วเหมือนเป็นเพลงที่ทุกคนในวงชอบ ทำให้เรามีเพลง เธ๊อ เธอ เธอ เธอ เพราะอยากทำเพลง groove นี้บ้าง แต่ก็ทำได้ไม่ได้ถึงขี้ติ่งเขาหรอก

David BowieAshes to Ashes

Bowie เป็นฮีโร่เราอะ เราฟังเขามาแต่เด็ก ตอนที่เขาเสียชีวิตเราตกใจมาก เพราะเราเพิ่งได้ดู MV ใหม่ของเขา แล้วเราก็แบบ เหี้ย what the f*ck วะ คือเรามีความรู้สึกว่าโลกมีความปลอดภัยน้อยลงที่ไม่มี Bowie อยู่ หดหู่ไปเลย คือ Bowie เป็นมนุษย์คงกระพันคนนึงที่ทำให้เราเห็นว่า ไม่ว่ามึงจะอายุเท่าไหร่มึงก็สามารถรักษามาตรฐานได้ไม่เคยตก แล้วก็สามารถสร้างโลกเฉพาะของตัวเอง ความเป็น rebel ของมึงมันสำคัญกับคนที่ทำงานอย่างเรา คือเรารู้สึกว่า เชี่ย Bowie แม่งก็มีความตาย จริง ๆ เราไม่ใช่พวกแรดแบบยอมรับความตายไม่ได้หรอกนะ แต่มันมีความรู้สึกเหมือนกันว่า Bowie ตายไปอีกคนแล้วว่ะ มันโหวง ๆ เพลงยุคที่เราชอบมาก ๆ จะเป็นเพลงช่วง 70s 80s ของเขา เพราะเป็นช่วงที่เราโตขึ้นมาด้วย ซึ่งเราจะชอบ Ashes to Ashes มาก คือเราไม่เคยเจอเพลงที่มี groove แบบนี้มาก่อน จังหวะที่ดึงเบสแบบ ตึ่งตึ๊ง ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ่ง แล้วตั้งแต่เด็กก็ได้ดู MV Bowie ที่เป็นมนุษย์ต่างดาวใส่หมวกแหลม ๆ แม่งประหลาดสัส คือมันเป็นปมเลยนะ ถ้าได้ฟังเพลงแล้วดู MV หลอน ๆ ของ Bowie มันทำให้เรามองโลกเปลี่ยนไป ทำให้เราฟังเพลงเปลี่ยนไป ทัศนคติเปลี่ยนไป Bowie ทำกับเราขนาดนั้นได้จริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องเพลงรัก เพลงเพราะ หรือเพลงของมนุษย์ (หัวเราะ) มัน beyond มาก แล้วเราก็ดีใจมากที่มีหลายคนบอกว่าชอบ Bowie มาก มีอิทธิพลต่อพวกเขามาก ก็เนี่ยแหละ เขามีความสำคัญต่อโลกตรงนี้แหละ เวลาที่เราเห็นเพลง Bowieมาอยู่ในหนังใหม่ ๆ อย่าง ‘The Secret Life of Walter Mitty’ หรือ ‘Frances Ha’ เราก็จะรู้สึกดีใจทุกครั้ง จริง ๆ เราชอบหลายเพลงนะ พวกยุคแรก Ziggy Stardust, Starman หรือ Modern Love, Ashes to Ashes มาจนถึง Don’t Let Me Down & Down พวกยุค 80s น่ะ Jump They Say ชอบมาเรื่อยแหละ ยุคใหม่อาจจะไม่ได้ป๊อปมากแต่ก็ยังชอบอยู่ดี ดีใจจังเลยที่โลกนี้แม่งมีคน ๆ นี้อยู่

The Pains of Being Pure at HeartEurydice

จริง ๆ เราชอบตั้งแต่ชุดแรกนะ แต่ชุดแรกมันเป็น shoegaze กว่านี้ ชุดหลังนี่รู้สึกได้ว่าได้รับอิทธิพลจาก The Smiths และอีกหลาย ๆ วง แล้วมันป๊อปขึ้น แต่เพลงนี้มันมี groove เหมือน This Charming Man แล้วเราก็เลยชอบ แบบ วงรุ่นใหม่ที่ได้อิทธิพลจากวงรุ่นเก่า เพลง A Teenager in Love ก็ชอบ เพลงที่เป็น shoegaze ก็ชอบ แต่ไม่ได้ชอบมาก แต่ชุดนี้พอมามู้ดนี้เราก็สบายใจที่จะยัดมันลงมือถือแล้วเปิดฟังวนไปวนมาเรื่อย ๆ ดัง ๆ

Simply Red For Your Babies

เราคิดว่ามันเป็นเพลงที่เราโตมาเหมือนกัน คือมาตรฐานเพลงยุคใหม่ของเขาตกสัส ๆ แล้วนะ ดาวได้น้อย แต่เราก็ยังแฮปปี้จะฟังนะ ไม่ได้ฟังเอางานดี แต่เหมือนเจอเพื่อนเก่าที่เล่าว่ามึงเป็นยังไงแล้วบ้าง แต่ว่าชุด Stars เนี่ย เป็นชุดที่เปลี่ยนอะไรเยอะ เพลง Stars หรือ For Your Babies เอง มาจนถึงชุด Life รู้สึกว่ามันก็ทำงานกับเราในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ถ้าย้อนกลับไปในยุคของเราจริง ๆ มันก็ต้อง Men and Women พวก If You Don’t Know Me By Nowจริง ๆ เรามีแผ่นเสียง Simply Red ยุคแรกทุกชุด Bowie เราก็มีช่วง 80s กว่า 5 – 6 แผ่น ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีแหละเราว่า มีกระทั่งเรื่องที่มัน inspire เราอย่างนึง ตอนที่เราเริ่มต้นทำวงสี่เต่าเธอ เราเล่นดนตรีไม่ค่อยเป็น เราไม่ได้เป็นพวกเล่นกีตาร์มาตั้งแต่มัธยมนะ เรามาหัดเล่นกีตาร์ตอนฟอร์มวง จนบัดนี้เราก็ยังไม่ใช่คนเล่นกีตาร์เก่ง แล้วก็เล่นอยู่ไม่กี่คอร์ด แต่ประเด็นคือเราหัดเพราะเราอยากแต่งเพลงไม่ได้อยากเล่นกีตาร์แล้วเราไม่รู้จะเริ่มยังไง แต่วัยนั้นเป็นวัยที่มีเรื่องในหัวเยอะมาก วัยที่มันจะอ้วก แน่นตัวไปหมด อยากเล่าเรื่องนั้นนี้แต่แต่งเพลงไม่เป็น เราเลยไปอ่านสัมภาษณ์ตอนที่ Simply Red ออกชุด Life มันให้สัมภาษณ์ว่าช่วงนี้มันแต่งเพลงโดยการวิ่งจ๊อกกิ้งไปด้วย หมายความว่ามันเอา recorder ถือไปด้วย วิ่งไปแล้วฮัมเมโลดี้ไปเรื่อย ฮัมเสร็จแล้วกลับไปบ้านค่อยแต่งเนื้อ แต่มันไม่ได้แต่งจากไอ้นั่นหรือไอ้นี่ ทั้งที่มันเป็นคนที่เก่งมาก เราก็เลยแบบ เชี่ย ทำอย่างนี้ก็ได้หรอวะ แล้วตอนสี่เต่าเธอเริ่มทำ เราก็ทำจากวิธีนั้น คือกูร้องออกมาเลย กูอยากจะได้ยินเมโลดี้อะไรก็ร้องออกมาเลย ไม่ใช่พวกจับคอร์ดหาคอร์ดสวย ๆ พอเราได้ชุดคอร์ดดี ๆ แล้วค่อยมากดเมโลดี้ใส่กัน แล้วค่อยเขียนเนื้อ ขั้นตอนเราไม่เคยเป็นแบบนั้น ทุกวันนี้ยังมีเมโลดี้ที่อัดไว้ในเครื่องเต็มเลย ขับรถเสร็จก็ฮัมแล้วค่อยไปหาคอร์ดให้มันลง แต่กูจะทำเมโลดี้นี้ หรือบางทีก็มากับเนื้อเลย เพลงนี้ก็มี effect กับชีวิตเราสูงอยู่ แต่พอดีเราเลือกเพลงนี้เพราะว่าตอนนั้นเราคบกับแฟนใหม่ ๆ แล้วไปเที่ยวทะเล ที่พักไฟดับ ก็ไม่รู้จะทำอะไร เราก็นอนร้องเพลงให้แฟนฟัง แต่เพลงมันว่าด้วยเด็ก มันโรแมนติกตรงไหน มันไม่ได้พูดถึงคนรักนะ แต่ตอนนั้นไม่รู้ โง่ แล้วจำได้ว่าเนื้อมันเพราะมากเลย ร้องให้เขาฟังจนเขาหลับไป มันก็เลยเหมือนจำโมเมนต์นั้นได้เลยผูกพันกับเพลงนี้เป็นพิเศษ

Rumer Dangerous

Rumer เนี่ยเป็นนักร้องรุ่นใหม่ที่เราชอบ เพราะเสียงมันเก่ามาก 70s สุด ๆ เหมือน Karen Carpenter ที่ eq ให้ด้านสูงหายไป ดังนั้นเสียงเขามันจะต่ำ midtone หน่อย แต่นวลสัส ๆ แล้วเราก็ชอบชุดแรกมาก ทำบนความปวดร้าวในชีวิต พอชุดสองก็เฉย ๆ พอชุดที่ทำ B Sides & Rarities ที่เอาเพลงคนอื่นมาร้อง เป็นเพลงยุคเราโตมา แต่พอชุดใหม่เพลงแรกออกมาแล้วมันเป็น disco นิด ๆ ชื่อ Dangerous ตอนฟังครั้งแรกก็ปิ๊ง รีบซื้อแผ่น

Harvey Williams Don’t Shout At Me

Harvey Williams นี่เป็นยุค Sarah Records มีอิทธิพลมากในยุคที่ alternative กำลังมาทั้งไทยและเทศ พอพูดถึง Sarah Records ก็จะมีอีกหลายวงเลยที่เราอยากพูดถึง เช่น Blueboy แล้วก็ The Orchids ซึ่งเพลง A Kind of Edenของวงนี้เป็นเพลงที่เปลี่ยนความคิดเรา แต่ Harvey Williams เป็นเนิร์ดคนนึงที่ออกมาแค่สองชุด ชุดแรกมันมีอยู่แค่ 7 เพลง เป็นเพลงสั้น ๆ หมดเลย แล้วทั้งอัลบั้มยาวแค่ 15 นาที แต่ความสั้นของมันตอนที่เราได้แผ่นมันมาครั้งแรกก็เป็นช่วงที่เราทำสี่เต่าเธอชุดแรก เราใส่ในเครื่องแล้วเราต้องเปิดวนแล้ววนเล่า เพราะมันไม่อิ่ม แล้วตอนที่เราเปิดร้านเหล้าอยู่พักนึง เพลงของ Harvey Williams เหมือนเปิดวนอยู่ในร้าน ทุกครั้งที่เราฟังเพลงของคนนี้เราจะจำช่วงเวลาที่ดีด้วย Sarah Records ในยุคนั้นเป็นค่ายที่มีอิทธิพลกับชีวิตเรามากเหมือนกัน คือมันทำให้เราเข้าใจเพลงป๊อปในอีกมิติหนึ่งขึ้นมาเลย

RhyeThe Fall

คือเราชอบ Rhye ตรงที่เขาเหมือน Sade ยุคใหม่ Sade เป็นนักร้องผิวดำที่พีคมากในยุค 80s คือเสียงมันสาก ต่ำ เจ้าของเพลง Smooth Operator, Love is Stronger than Pride มันเป็นหมายเหตุในยุค 80s 90s แล้วเราก็ชอบเพลงเขามาตลอด แล้วเราก็ไม่เจอใครที่มีเสียงอย่างนี้อีกทีสักที แต่พอเราได้ฟัง Rhye ครั้งแรกจากเพลง The Fall แล้วเราก็แบบ ไอ้สัส ทำไมเสียงเหมือน Sade อย่างนี้ เราก็ไปดู MV แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นผู้ชายเพราะ MV ที่เล่นมีแต่ผู้หญิงตลอด แม่ง เหี้ย รักเลย แต่ก่อนหน้าที่จะรู้ว่ามันเป็นผู้ชายเรากรี๊ดแบบ มีคนจะมาแทน Sade แล้ว เราก็เลยรู้สึกเหมือน Rhye เป็นมิติใหม่ของการฟังเพลงสำหรับเรา แบบ ไอ้เหี้ย กูฟังด้วยความคิดว่ามึงเป็นผู้หญิงมาตลอด พอมารู้นี่คือ สัส (หัวเราะ) มันทำงานกับชีวิตเราอยู่เหมือนกัน

Paul BuchananMid Air

คือเราชอบ The Blue Nile มาก The Blue Nile เนี่ยคือวงที่ Paul Buchanan เป็นนักร้องอยู่ก่อนตั้งแต่ยุค 80s แล้ว The Blue Nile มันก็มีอัลบั้ม Hats ที่ถือว่าเป็นอัลบั้มที่สำคัญมากของยุคนั้น แล้วเสียง Paul Buchanan คือฟังแล้วจะรู้สึกว่ามีแต่พื้นเปียก ๆ เป็นค่ำคืน คือมึงไม่สามารถออกมาสู่โลกแห่งแสงอาทิตย์ได้เลย แล้วมันมีเพลงที่เรารักมากของ The Blue Nile ชื่อ Let’s Go Out Tonight ชุด Hats เนี่ยแหละ เป็นเพลงสำคัญของยุคสมัยเหมือนกัน แล้วเขาก็หายไปนานมาก จนเขาออก Mid Air มา อัลบั้มก็ชื่อ Mid Air แต่พอฟังเพลงนี้ครั้งแรกแล้วแบบ ความปวดร้าวของมึงกลับมาแล้ว เราเลยรู้สึกว่าเวลาเจอพวกแก่ ๆ กลับมาทำเพลงแล้วมันโดน เรารู้สึกดีว่ะ ออกมาก่อน ‘About Time’ เป็นปี แต่พอหนังเรื่องนี้ออกมามันก็ยิ่งชอบกันใหญ่เลย แต่จริง ๆ ทั้งอัลบั้ม Mid Air จะเป็นความจมดิ่งอย่างนี้ทั้งอัลบั้ม เหมือนหน้าปกมันที่เป็นขาว ๆ แล้วมีเสื้อที่ดูเป็นร่างคนลอยอยู่

The Style CouncilYou’re the Best Thing

พอพูดเรื่องเพลง 80s 90s เหมือนไม่ให้เกียรติอีกหลายเพลงเลย (หัวเราะ) The Style Council มันเป็นหนึ่งในวงที่Paul Weller อยู่ คือเรารัก Paul Weller มาก แม่งเป็นเหมือน marvellic อะ ถ้าตายไปอีกคนนี่โลกจะยิ่งไม่น่าอยู่อะ Paul Weller นี่เล่นกีตาร์เก่งมาก แล้วแม่งคือผู้นำในยุคที่เป็น mod เป็นนักร้องวง The Jam พวก In the City พวกThat’s Entertainment เพลง mod 70s ที่ต้องขี่ Vespa ยุคนั้น นั่นคือเขาเลย พอ The Jam แตก จู่ ๆ แม่งกระโดดมาทำเพลงป๊อป 80s กับ Mick Talbot เป็นมือคีย์บอร์ด นั่นก็ฟอร์มวง The Style Council ขึ้นมา ซึ่งก็มีอิทธิพลกับตอนมัธยมของเรามาก มันเต็มไปด้วยเพลงโรแมนติกป๊อปยุค 80s ที่ดีมาก ๆ You’re the Best Thing นี่เป็นเพลงขึ้นหิ้งมาตลอด พอหลังจาก The Style Council แตก เราก็ยังฟังงาน Paul Weller ทุกชุด ตอนหลังมันจะร็อกขึ้น จะมี blues บ้าง แต่ว่าคนนี้แม่งก็คือคนที่อาจจะดูป๋า แก่ ๆ ร็อก ๆ ขึ้น แต่ในทุกชุดแม่งจะมีเพลงเซอร์ไพรส์ให้เราตื่นเต้นเสมอ นี่คือคนที่แก่แล้วแม่งไม่แก่ แล้วจำได้ว่าเมื่อ 6 – 7 ปีที่แล้วมันได้ Lifetime Achievement Award ใน Brit Awards แล้วมันก็มี performance เฉพาะให้ Paul Weller แล้วให้ Blur, Oasis อะไรพวกนี้มาเล่นแจมโดยทุกคนเล่นเพลงPaul Weller ตั้งแต่ยุค The Jam ยุค The Style Council มาจนถึงยุคใหม่ คนนี้ก็ปูชนียบุคคลมาก ๆ เลย

 

Exclusive Talk with KONGDEJ

1111

“เราแม่งก็ต่างต้องการความสวยงามของโลกอะ หรือเปล่าวะ คือตอนนี้คำว่าโลกสวยแม่งกลายเป็นวลีที่ถูกเอามาใช้ในเชิงลบไปซะแล้ว แต่เอาจริง ๆ เราไม่ต้องการโลกที่มันดี ๆ หรอวะ”

หลายคนยังไม่ได้ดู ‘Snap’ เรื่องนี้เป็นหนังเกี่ยวกับอะไร

ทำไมยังไม่ได้ดูอะ (หัวเราะ) อยู่ในโรงตั้งเกือบเดือนแล้วนะ หนังอินดี้มันก็ไม่ได้มีรอบเยอะ มันก็เป็นหนังของหนุ่มสาว 20 something แล้วผู้หญิงชื่อผึ้ง ได้รับการ์ดเชิญจากเพื่อนให้ไปร่วมงานแต่งงาน แต่เพื่อนไม่ได้จัดที่โรงแรม ไปจัดที่โรงเรียนมัธยมที่จันทบุรีที่มันจบกันมา ธีมแบบ ‘แฟนฉัน’ อะไรอย่างนี้ ก็เลยได้กลับไปที่บ้านเกิดตัวเอง แล้วก็ไปเจอเพื่อนคนนึงชื่อบอย เป็นตากล้องภาพนิ่งประจำรุ่น มาถ่าย pre-wedding ถ่ายงานแต่งให้ แต่สองคนนี้บังเอิญมีบางอย่างค้างคากันอยู่ในอดีตเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ก็เลยเป็นหนังที่สำรวจเรื่องความทรงจำซะมาก พล็อตมันไม่เยอะ สถานการณ์ก็ไม่ได้เยอะ แต่มันเป็นเรื่องของความรู้สึกของตัวละครอะไรแบบนี้มากกว่า แล้วก็มีเรื่องบริบทของ 8 ปีที่เราอยู่ในบรรยากาศรัฐประหารด้วย

ทำไมเลือกเล่าเรื่องผ่านการถ่ายรูป

เราคิดว่าทุกวันนี้ทุกคนถ่ายรูปกันเก่งขึ้น แล้วก็มีเครื่องมือที่ดีขึ้น แต่ก่อนคนเป็นช่างภาพมันนับหัวได้ มันไม่มาเดินถือกล้องกันทั่วไปตามท้องถนน หรือบางทีเราก็มีกล้องเล็กหน่อย Fuji เก๋ ๆ หรือกล้องในมือถือคุณภาพมันก็ดีขึ้น แล้วเหมือนทุกคนก็มีมู้ดของความเป็นช่างภาพมากขึ้น มี filter ให้เลือกใช้ คือถ่ายรูปมันสวยง่าย เราก็เลยมานั่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะเหมือนกัน เพราะว่าทุกวันนี้เราก็เห็นคนจะกินข้าวก็ต้องถ่าย จะนั่งก็ต้องถ่ายรูป เราก็คิดว่ามันเป็นเรื่องของการ expose ชีวิต มันไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เราไม่ได้ expose ชีวิตขนาดนี้เพราะมันต้องใช้เวลา มันเป็นฟิล์มแล้วเดี๋ยวต้องเอาไปล้าง มันต้องชัดว่าเราจะอัดรูปไหน เราก็เลยเห็นถึงความรู้สึกของการบันทึกที่มันแตกต่างออกไป สมัยก่อนกว่าเราจะถ่ายอะไรสักรูป ฟิล์มก็แพง กระบวนการมันเยอะ ถ่ายรูปนึงมันก็ต้องใช้เวลาคิดนานนะ คัดสรรนานว่าจะกดชัตเตอร์ แต่เดี๋ยวนี้เมมแม่งเพียบก็กด ๆๆๆ ไป แล้วก็กลายเป็นว่าแต่ก่อนมันกดเพื่อจำ แต่เดี๋ยวนี้มันกดเพื่อลืม กดเพื่อลืมยังไง สิ่งที่เรียกว่า memory card คือหมายความว่ามันมีคนอื่นช่วยเราจำแล้วเราก็ไม่ต้องจำต่อ การที่เราเปิดรูปขึ้นมาดูแล้วเราแบบ เชี่ย แม่ง ถ่ายที่ไหนวะ ถ่ายตอนไหนวะ เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับตอนที่กดชัตเตอร์เท่าไหร่แล้ว แล้วพอมันว่าด้วยเรื่องความทรงจำเราก็เลยรู้สึกว่าพวกภาพถ่ายมันเป็น tools ที่ดีที่เราจะเอามาใช้ discuss ความทรงจำ เพราะเราสนใจความคาดเคลื่อนของการทรงจำ หรือการปรุงแต่งความทรงจำ ซึ่งมันไม่ต่างอะไรกับการปรุงแต่งภาพด้วย filter หรือ hashtag คือภาพมันเฉยมาก แต่พอเราใส่ hashtag แล้วมันคมอะ หรือบางประโยคมันก็ธรรมดาปะวะ แต่ทำไมพอข้างหน้ามีคำว่า ‘บางที’ แล้วต่อท้ายด้วยคำว่า ‘ก็แค่นั้นเอง’ แล้วมันคมขึ้นวะ เราก็รู้สึกเหมือนกับว่า ความรู้สึกเพียว ๆ มันยังมีอยู่หรือเปล่า มันอาจจะไม่ผิดเลยก็ได้ในการปรุงแต่ง มันอาจจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์เลยก็ได้เวลาเล่าเรื่องความทรงจำไม่ว่าจะผ่านภาพถ่ายหรือด้วยปากเปล่า

เป็นคนยึดติดกับความทรงจำหรือเปล่า

มันยึดติดไม่ได้แล้วอะ เราคิดว่านะ พออายุผ่านมาเยอะ มันก็เห็นความเปลี่ยนแปลง เราก็ไม่ได้รู้สึกยึดติดอะไร แต่เราก็เป็นคนที่มีความทรงจำ พอมีอายุมันก็มีความทรงจำมากขึ้น ๆ โดยอัตโนมัติ น้องอายุเท่าไหร่ (อิ๊ก: 22 ค่ะ) …บัดซบ (หัวเราะ) 22 อะ น้องก็จะมี storage สำหรับเก็บความทรงจำที่ยังเหลืออยู่ ยังมีของที่ยังไม่ได้ตกอยู่ในซอกหลืบเท่าไหร่ แต่เวลาผ่านไปห้องมันก็จะรกขึ้นเรื่อย ๆ แหละ และบางครั้งมันก็จะมีบางอย่างที่เรานึกถึงว่ามันเคยมีสิ่งนี้ด้วยว่ะ แต่เราคงลืมไปแล้วถ้าเราไม่ได้ไปรื้อมัน

22222

คงเดชจะเลือกกลับไปหาความทรงจำที่ดีในอดีต หรือจะอยู่กับปัจจุบัน

เอาจริงเราอาจจะเหมือนพวกที่เวิ่นเว้อหรือพร่ำเพ้อนะ แต่เราไม่ค่อยมานั่งคิดอะไรที่เวิ่นขนาดนี้ว่ะ คือเราก็อยู่กับปัจจุบันไป เราอายุขนาดนี้แล้วเราไม่คิดจะกลับไปหรอก มันแก่แล้ว มันจริงแล้ว …มันมีแหละช่วงเวลาประเภทที่ ตอนนั้นกูน่าจะทำอย่างนี้ปะวะ แต่มันไม่มีความคิดที่ว่ากลับไปดีกว่า ของที่มีอยู่มันไม่ได้สุข 100% แต่เราพอใจกับมันนะ ลูก เมีย งานการ ไม่รู้จะไปเปลี่ยนอะไร แต่นี่พี่สงสัย เรา 22 เราอยากจะกลับไปเปลี่ยนอะไร (อิ๊ก: ไม่ ๆ อิ๊กเป็นแบบพี่เลย) ก็นั่นน่ะสิ เราอาจจะเห็นคนที่ชอบบางอย่าง มันอาจจะเป็นช่วงเวลาทองในชีวิต เป็นช่วงที่บ้าการกลับไปโรงเรียน (หัวเราะ) อย่างเราเนี่ยจบจากสวนกุหลาบ จะมีเพื่อนที่บ้าสวนกุหลาบมาก อะไรก็สวนกุหลาบ ๆ งานมุทิตาจิต งานรับน้อง งานเลี้ยงรุ่น แบบ เชี่ย มึง 40 กว่าแล้ว มันแฮปปี้ที่สุดแล้วใช่มั้ยเนี่ย แต่เราเชื่อว่ามันเกิดจากความรู้สึก มันชอบ มันแฮปปี้ เขาคงจะอยากเข้าไปใช้เวลาในโมเมนต์นั้นให้เยอะที่สุดแม้จะจบมาแล้ว เพราะว่ามันก็มีบางอย่างเกิดขึ้นอัตโนมัติ เช่น ตอนเราเลี้ยงรุ่น เราเจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน อย่างไอ้นี่เคยเป็นลูกไล่เขา แต่ตอนนี้มันรวยมาก หรือว่าไอ้นี่ไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่พอกลับไปทุกคนจะสวมบทบาทเดิม ไอ้คนที่เป็นไจแอนท์ มันจะยังเป็นไจแอนท์ต่อไป ไอ้ตัวที่เป็นลูกไล่มันก็กลับไปเป็นแบบสมัยโน้นอยู่ มันก็ escape ช่วงเวลานึง น่าจะเป็นข้อดีมั้งมันถึงได้คลั่งการกลับไปโรงเรียนกัน แต่เราไม่ใช่ (หัวเราะ)

ในหนังมีเพลงอย่าง อยากหลับตา, ยอม ทำไมถึงเลือกเพลงพวกนี้เข้ามา

ก็ไม่อะไร เพราะตัวละครมันอายุประมาณ 26 มันจบ ม.6 มา 8 ปีแล้ว เรากำลังจะพูดถึงการ reunion มันก็จะกลับไปฟังเพลงตอนที่มันอยู่ม.ปลาย ซึ่งพอย้อนกลับไปมันก็จะเจอเพลงพวกนี้ในยุครุ่งเรืองช่วงท้าย ๆ หน่อย มันก็เป็นการ reunion ไง คงไม่สามารถกลับไปใช้เก่ากว่านั้นได้ หรือจะใช้เพลงของ สี่เต่าเธอ มันก็ยัดเยียดไป (หัวเราะ) คือมันกำลังพูดถึงอารมณ์แบบ nostalgia หอมกรุ่น ดังนั้นเพลงที่เราเลือกก็ควรจะเสริมอารมณ์นั้น แล้วสี่เต่าเธอมันไม่ได้ให้อารมณ์นั้น อย่างเพลงของ P.O.P, Armchair, Superbaker จริง ๆ ก็เป็นเพลงป๊อปที่ดีหมดเลย ซึ่งกอล์ฟ Superbaker ไปดูหนังแล้วก็โพสต์ทำนองว่า เชี่ย วงกูแม่งดูโลกสวยมากใช่มั้ยเนี่ย มันไม่ใช่หรอก ประเด็นมันคือ เราแม่งก็ต่างต้องการความสวยงามของโลกอะ หรือเปล่าวะ คือตอนนี้คำว่าโลกสวยแม่งกลายเป็นวลีที่ถูกเอามาใช้ในเชิงลบไปซะแล้ว แต่เอาจริง ๆ เราไม่ต้องการโลกที่มันดี ๆ หรอวะ คือทุกวันนี้เราก็ต่าง escape ด้วยรูปแบบแตกต่างกันไปอยู่แล้ว ถ้างั้นการโลกสวย ฟังเพลงเพราะ ๆ ฟังเพลงที่พูดถึงความรักที่มันจะยั่งยืนตลอดไป สิ่งนี้มันก็อยู่กับมนุษย์มานานแล้วหรือเปล่าวะ พอฟังสุนทราภรณ์มันก็พูดสิ่งนี้มาตลอด คือตอนนี้มันจะมีพวกวาทกรรมที่ถูกเอามาใช้แบบน่าจะรู้สึกเจ็บดี อย่าง คนดี โลกสวย โน่นนี่นั่น บางทีก็รู้สึกว่าการเอามาใช้แบบเหน็บแนมก็เป็นเครื่องมือหนึ่งไม่ต่างกัน นอกจากการแสดงออกว่าเราเป็นคนหยาบ คนตรง กูไม่หน่อมแน้มว่ะ บางทีมันก็เป็นการสวมชุดอย่างหนึ่ง

“เราไม่สามารถทำหนัง romantic comedy แล้วไม่มีคำถามว่าพระเอกนางเอกมีเงินเดือนเท่าไหร่วะ จะกินข้าวยังไงวะ เพราะว่าหนังแนวนี้ส่วนใหญ่จะละเลยตรงนี้ไปเลย แต่ชีวิตจริงเราไม่สามารถโรแมนติกโดยปราศจากเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นอยู่ในสังคม ”

หนังของคงเดชจะมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยตลอดเลยหรือเปล่า

ตั้งแต่ ‘สยิว’ แล้วนะ ตอนนั้นเป็นเรื่องพฤษภาทมิฬ แต่เราก็ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาทำหนังที่ต้องมีการเมืองอยู่ แต่เรารู้สึกว่าหนังควรจะบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม เวลาเราเขียนตัวละคร มันก็เป็นตัวละครที่อยู่ในชีวิตเราจริง ๆ แล้วทุกวันนี้ชีวิตจริงของเรามันมีเรื่องนี้แวดล้อมอยู่ เราปฏิเสธมันไม่ได้ เราไม่สามารถทำหนัง romantic comedy แล้วไม่มีคำถามว่าพระเอกนางเอกมีเงินเดือนเท่าไหร่วะ จะกินข้าวยังไงวะ เพราะว่าหนังแนวนี้ส่วนใหญ่จะละเลยตรงนี้ไปเลย แต่ชีวิตจริงเราไม่สามารถโรแมนติกโดยปราศจากเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นอยู่ในสังคม มันไม่สามารถรักแล้วไม่มีปัจจัยอื่น ๆ มานะทุกวันนี้ ขนาดเราเป็นสมาชิกในบ้าน มีพ่อ มีแม่ มีพี่น้อง แม่งยังมีทัศนคติที่บางทีอาจจะไม่เหมือนกัน เราก็เลยรู้สึกว่ามันบุกเข้ามาถึงในครัว บุกเข้ามาถึงบนโต๊ะทานข้าวแล้ว เรื่องนี้ตอนทำเราไม่ได้ใส่อะไรมากมาย แต่สำหรับคนดู ณ ตอนนี้ที่ดูแล้วรู้สึกกับมันมาก ๆ ในสิ่งที่เป็นฉากหลังเพราะเราอยู่ท่ามกลางมันจริง ๆ เช้าเราตื่นขึ้นมาเราก็จะเจอเรื่องพวกนี้ตลอด เปิดเฟซบุ๊กมันไม่ได้มีแต่ feed เรื่องเพื่อน เรื่องเฮฮา ไปเที่ยว แต่มันจะมีเรื่องนี้แทรกมาตลอด 10 ปีที่แล้วมาด้วยซ้ำไป มันแตกต่างจากยุค hi5 MSN หรือยุคท่องเน็ตก่อนหน้านี้ เราก็รู้สึกว่าถ้าเราจะทำเราก็แค่อยากจะบันทึกมันไว้

ถือว่าเป็นจุดเด่นของหนังคงเดช

ไม่ใช่จุดเด่นอะไรหรอก เราก็แค่ทำไป เวลาเราทำเราไม่มานั่งคิดหรอกว่านี่คือจุดเด่นของเรา

แล้วมีอะไรที่เป็นลายเซ็นบ่งบอกว่านี่คืองานของคงเดชไหม แบบ เรื่องนี้ต้องเป็นหนังของคงเดชแน่ ๆ

มันก็มีอย่างนี้ทุกเรื่องนะ ตอน ‘ตั้งวง’ มันก็เป็นอีกฟอร์มนึง คือ coming of age ที่เป็น underdog รวมตัวกันทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นฟอร์มของหนังญี่ปุ่น แต่ในที่สุดมันก็อยู่ในบริบทที่ไทยมาก ๆ มันก็ใส่กางเกงเจเจ อยู่ในแฟลต เราก็รู้สึกว่าแต่ละเรื่องเราแค่เอาสไตล์มาคลุม content อีกที เรามีเรื่องอยากจะเล่า ส่วนสไตล์มันเหมือนชุดที่มันต้องแต่งตัว มันเหมาะกับอะไร ‘Snap’ มันก็เหมาะกับความเป็นหนังโรแมนติก ขณะที่ตั้งวงมันมีความเป็น comedy drama ‘แต่เพียงผู้เดียว’ มันก็จะมีความเป็นอาร์ต

หนังเรื่องนี้ใส่ความเป็นตัวเองลงไปเยอะไหม

เราใส่ตัวเองลงไปทุกเรื่องแหละ คือเราไม่เคยทำหนังไม่ส่วนตัวเลย เรื่องนี้ส่วนตัวหนักขึ้นด้วยซ้ำไป ตอนเริ่มต้นของโปรเจกต์นี้ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะส่วนตัวหนักขนาดนี้ แต่มันก็ส่วนตัวขึ้นเรื่อย ๆ หนังมันก็ออร์แกนิคอะ เรารู้ธรรมชาติของมันอยู่แล้ว ทำมาตั้ง 15 – 16 ปีแล้ว ทุกเรื่องเวลาทำมันก็ทำเป็นปี ๆ ก็หนีไม่พ้นหรอกที่เราจะเอาส่วนหนึ่งใส่เข้าไปในนั้น ตัวละครมันก็เป็นร่างทรงเรา ตัวนั้นส่วนนึง ตัวนี้ส่วนนึง มันก็เป็นมาสิบกว่าปีแล้ว แล้วไอ้สิ่งนี้ล่ะมั้งที่มันทำให้เราเปลี่ยนสไตล์หนังไปยังไง คนดูก็บอกว่าเนี่ยแหละหนังคงเดช

ตั้งแต่เฉิ่ม’ ‘สยิว’ ‘กอดมาจนถึงตั้งวง’ ‘เอวัง ฯ’ ‘Snap’ คงเดชเติบโตในเส้นทางผู้กำกับมากขนาดไหน

เราไม่เห็นมันจะเติบโตเลย มันเล็กลง ๆ หมายความว่าเราเริ่มจากการทำกับสตูดิโอที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น สหมงคลฟิล์ม 2 เรื่อง แล้วเราก็มาทำกับ GTH 1 เรื่อง แล้วถึงมาทำหนังอิสระ มันก็เล็กลงนะ งบมันก็น้อยลง ๆ ‘Snap’ นี่เจ็บปวดมาก ๆ งบน้อยมาก ๆ ก็เลยไม่รู้ว่าคำว่าเติบโตคืออะไรนะ แต่เราคิดว่าเราแค่ keep working แล้วการทำงานไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้เรามีประสบการณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่าทุกครั้งเราก็ไม่ค่อยอยากทำอะไรเดิม ๆ อย่าง ‘แต่เพียงผู้เดียว’ มันก็อาร์ตมาก ๆ พอ ‘ตั้งวง’ ก็เป็นหนังแบบหยาบหน่อย แล้วก็มีสารคดี ‘เอวัง ฯ’ ว่าด้วยศาสนา แล้วก็มี ‘Snap’ ที่เป็นโรแมนติกดราม่า เราก็รู้สึกว่าเราก็ทำงาน ทำสิ่งที่อยากทำ ไม่ได้ติดกับเรื่องฟอร์มของหนังเท่าไหร่ แต่ว่ามันก็คงจะมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกันอยู่ในนั้นเพราะคนทำคนเดียวกัน ไม่รู้ว่าเติบโตหรือเปล่านะ

download-32

ผลตอบรับของ ‘Snap’ เป็นยังไง

ในแง่ของหนังอินดี้ก็รายได้ดี เพราะว่าตอนนี้หนังไทยมันรายได้ไม่ค่อยดี มันเป็นจังหวะที่แม้แต่หนัง mass หนังจากสตูดิโอก็รายได้ไม่ได้ดีมากนัก แล้วเอาจริง ภาพรวมของหนังจากสตูดิโอมันก็น่าเบื่อด้วย เราก็เห็นแต่หนังผี หนังผีคอมเมดี้ หนังรอมคอม เราว่าคนดูก็เบื่อบ้างเหมือนกัน แต่ก็พยายามมองหาอะไรใหม่ ๆ หาสิ่งที่เขาถูกใจด้วย แต่เวลาเราทำหนังเราไม่มานั่งคิดเรื่องการตลาดหรอก เป็นหนังอิสระมันก็ทำแต่เรื่องที่อยากทำ ที่ผ่านมาเอาจริง ๆ พื้นที่ของหนังอิสระมันก็เติบโตมากขึ้นนะ มียุคนึงที่หนังอิสระเข้าฉายแล้วออกไปโดยไม่รู้เลยว่ามีหนังเรื่องนั้นอยู่ แต่ตอนนี้จำนวนผู้ชมมากขึ้น รู้ว่าเรามีอยู่มากขึ้น รายได้ก็ดีขึ้น

หนังไทย mainstream ย่ำอยู่กับที่

ภาพรวมมันเป็นอย่างนั้น ก็เข้าใจว่าเขาทำ business นะ แต่วิธีคิดของเขามันไม่ค่อยมี vision รวม ๆ ของทุกค่ายนะ เพราะว่ามันก็จะตามอันที่ประสบความสำเร็จไปแล้ว สมมติว่า ‘พี่มาก ฯ’ success ไปแล้ว เราก็จะเห็นหนังผีคอมเมดี้ออกมาเป็นขบวน อะไรแบบนั้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ทำแล้วมันจะ success หรือตัวหนังออกมาเวิร์กด้วยนะ มันก็เป็นเรื่องรสมือผู้กำกับ ส่วนประกอบหลายอย่างมาก

แบบนี้คนเลยหนีไปทำหนังนอกกระแสส่งชิงรางวัลต่างประเทศ

ไม่หรอก เราคิดว่าคนทำหนังนอกกระแสมันทำกันมาเป็นสิบปีแล้ว ไม่ได้เพิ่งมาทำกัน แต่โอเค อย่างที่บอกว่าการรับรู้มากขึ้นเลยทำให้มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาทำมากขึ้นเท่านั้นเอง เราก็รู้สึกว่าการทำหนังอิสระมันก็ทำได้นี่หว่า สมัยก่อนเราก็ไม่รู้ เราก็เริ่มจากสตูดิโอ ณ ตอนนั้นมันยังไม่มีหนังอิสระบ้านเรา ตอนนี้ก็ดีขึ้น แต่คนที่คิดว่าทำหนังแล้วเดี๋ยวส่งต่างประเทศกันดีกว่า มันไม่ค่อยรอดหรอกนะ เพราะมันไม่ได้ซื่อสัตย์ไง คือคนที่ทำหนังอิสระแล้วมันเวิร์กคือคนที่อิสระจริง ๆ ไม่ได้ยึดติดกับที่ว่า กูจะส่งต่างประเทศ คนที่ทำแล้วส่งต่างประเทศก็เพราะว่างานของเขามันพาตัวเขาไปเองจริง ๆ ไม่ใช่ว่าจะส่งตัวเองไปได้ ไปคานส์ ไปเบอร์ลิน ต้องมีคนมาเจอ แล้วเราเองก็ต้องมีความชัดเจนพอ ถึงเราจะเคยไปเวนิซ ไปเบอร์ลินมาแล้ว ไม่ได้หมายความว่ามันจะได้ไปทุกเรื่อง แต่ละเรื่องมันก็มีความเหมาะสมกับแต่ละเทศกาล เพราะแต่ละเทศกาลมันก็มีบุคลิกหนังของมันอยู่

“สำหรับเราการทำหนังมันมีค่ามากกว่านั้น เราใช้มันในการค้นหาคำตอบบางอย่างเสมอมา ถ้าคนที่ดูหนังเรามาเรื่อย ๆ ก็น่าจะรู้ เหมือนหนังแต่ละเรื่องก็เป็นการปักหมุดว่าเราเดินมาถึงจุดไหนแล้ว พอจบเรื่องนึงมันก็เหมือนการตบเข้าสู่ stage ใหม่ ๆ ในชีวิต เราเคยมีปัญหา หรือมีคำถามกับเรื่องนี้ เราเลยทำหนังเรื่องนี้ออกมา”

หนังอินดี้ในไทยขายยาก

มันก็ขายยากทั่วโลกแหละ มันถึงเรียกว่าหนังอินดี้ มันเป็นหนังชนกลุ่มน้อย แล้วก็ยังบริโภคในกลุ่มที่ไม่ mass คือถ้ามัน go mass มันก็จะกลายเป็น mass แค่นั้นเอง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าอะไรดีกว่ากัน เพียงแต่ว่าความหลากหลายมันเป็นสิ่งที่จำเป็นในทุกสังคม ถ้าสมมติช่วงนี้ได้ทำกับสตูดิโอก็คงได้อีกแนว

อนาคตของวงการหนังไทยเป็นยังไง

ก็ไม่เป็นยังไง เรามองว่ามันโอเคนะ มันก็อยู่ของมันได้แหละ มันจะตายไปได้ยังไง มันก็มีคนดู แต่ช่วงนี้มันน่าเบื่อหน่อย เราคิดว่าคนดูก็เปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคเยอะด้วย แต่มันก็น่าจะหาทางดิ้นกันไปได้ มันไม่ง่าย เรารู้สึกว่าคนที่ทำหนังอยู่ได้เขาก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นอาชีพไม่ได้ มันก็คือคนที่มีใจรักจริง ๆ ยอมมาเหนื่อย มันคือคนที่ดิ้นไม่หลุดแล้ว กูต้องทำจริง ๆ มันเป็น curse อะ คนทำมันโดนคำสาปอะไรสักอย่างให้เลิกไม่ได้ มันก็ทำไป ถ้าสมมติเขายังมีแรงพอเขาก็จะดิ้นรนทุกทางให้ได้ทำเรื่องใหม่ บางทีเขาแรงไม่เยอะเขาก็โดดไปทำละคร ทำซีรีส์ ตอนนี้ผู้กำกับหนังไทยกระโดดไปทำพวกละครซีรีส์กันเยอะเพราะ demand มันสูง

ตอนนี้วางแผนทำเรื่องต่อไปหรือยัง

ก็มีโปรเจกต์เยอะ หาตังค์ให้ได้ก่อน คือมันแย่ตรงนี้ ยิ่งเป็นผู้กำกับอิสระ มันก็จะยังเป็น project by project แต่ละเรื่องเวลาจะทำเราก็ต้องนั่งทำโครงขึ้นมาแล้ววิ่งหาทุนว่าจะได้ที่ไหนบ้าง แล้วต้องลุ้นเป็นปีถึงจะได้ทำก็มี มันมีโปรเจกต์ที่ในที่สุดก็ต้องทิ้งไปมาเยอะแล้ว เราคิดว่าผู้กำกับทุกคนก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นในสตูดิโอหรือว่าอิสระก็ตาม แต่ก็นั่นแหละ มันยังเป็นแบบนี้ ต่อให้ค่ายใหญ่ที่ประสบความสำเร็จไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้ทำแล้วได้แล้ว เรื่องหน้าเอาอะไรมาก็ได้ เขาต้องมานั่งคัดอีกว่าเรื่องนี้โอเคหรือยัง ทำ marketing ได้หรือเปล่า มันจะไม่ใช่หลับตาว่า เรื่องที่แล้วได้กี่ล้าน ๆ เรื่องใหม่ก็เขียนมาเถอะ ไม่มีใครทำ เพราะการลงทุนคือความเสี่ยง จริง ๆ แล้วหนังมันแพงนะ วงการดนตรีตอนนี้เราก็รู้สึกว่าในแง่ของผู้บริโภคหรือค่าตอบแทนมันแย่ลงนะ แต่ว่ามันน่าสนุกขึ้นเพราะว่ามันมีคนหน้าใหม่ทำออกมาแล้วเป็นเพลงดี ๆ ทั้งนั้นเลยด้วย แต่ว่าเพลงมันทำไม่ยาก นั่งทำกันในห้องนอนกันได้มากขึ้นแล้ว เครื่องมือก็เวิร์กขึ้น เทสต์ก็ดีขึ้น เพลงมันก็เลยสนุก แต่ว่าหนังมันเป็นของแพง พอจะทำหนังยาวทีนี่มันเป็นเรื่องใหญ่

download-33

ตอนนี้ผู้กำกับที่ชื่อคงเดชอยู่ในจุดไหนของวงการหนังไทย

ถามเราหรอ ? ทำไมถามเราอะ ต้องถามคนอื่นเปล่าวะ (หัวเราะ) ไม่ได้รู้สึก success ถ้า success ต้องรวยแล้วขับ Porche ไปแล้ว success คืออะไรก่อน คือทุกวันนี้พอเราเลือกว่าจะทำหนังอิสระแล้วก็ขอแค่เราได้ทำหนังที่เราอยากทำไปเรื่อย ๆ แล้วเรื่องนี้คนชอบบ้าง เรื่องนี้คนชอบเยอะ ชอบน้อย มันก็ยังไม่มีผลเท่ากับว่าเราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำแล้วนะ ทุกครั้งมันเหนื่อย แต่พองานเสร็จมันก็เหมือนเป็นรางวัลให้เราแล้ว มันจะได้รางวัล หรือจะได้เงิน เรารู้สึกเป็นโบนัสหมดเลย เพราะว่าเราไม่ได้ทำหนังตามเสี่ยที่มาโยนโจทย์ให้ สำหรับเราการทำหนังมันมีค่ามากกว่านั้น เราใช้มันในการค้นหาคำตอบบางอย่างเสมอมา ถ้าคนที่ดูหนังเรามาเรื่อย ๆ ก็น่าจะรู้ เหมือนหนังแต่ละเรื่องก็เป็นการปักหมุดว่าเราเดินมาถึงจุดไหนแล้ว พอจบเรื่องนึงมันก็เหมือนการตบเข้าสู่ stage ใหม่ ๆ ในชีวิต เราเคยมีปัญหา หรือมีคำถามกับเรื่องนี้ เราเลยทำหนังเรื่องนี้ออกมา ‘Snap’ เนี่ย เรามีคำถามเรื่องความสัมพันธ์ ความทรงจำเยอะ เราเลยทำเรื่องนี้ออกมา ตอนทำ ‘ตั้งวง’ เราก็คิดถึงเรื่องวันพรุ่งนี้ของประเทศ หรือตอน ‘แต่เพียงผู้เดียว’ เรามีคำถามเกี่ยวกับเรื่อง identity เยอะ อะไรคือตัวเรา แต่นั่นหมายความว่าแต่ละเรื่องที่เราทำเราได้รับรางวัลจากการทำไปแล้ว ไม่ใช่ในแง่ว่าทำเสร็จเป็นชิ้นงาน แต่ระหว่างทำเราก็ได้เจอคำตอบอะไรบางอย่างไปแล้ว แล้วอันนี้มันทำให้เราเลิกทำหนังไม่ได้ อันนี้แหละมันคือรางวัล มันคือคำสาป เออว่ะ มันคืออาชีพที่ดีงามเพราะมันทำให้เราได้เจอ หรือพิสูจน์อะไรบางอย่างของชีวิต อย่างน้อยเราเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำไปมากขึ้น

ช่วงที่สนุกที่สุดตอนเป็นนักเรียน

ตอนเรียนม.ปลายที่สวนกุหลาบจริง ๆ เราก็สนุกนะ เรามีวงกับเพื่อน ไปซ้อมกัน มันก็เป็นช่วงเวลาฟอร์มตัวของวัยรุ่นว่าฉันเป็นใคร ฉันจะทำอะไร แต่เราไม่ได้เป็นคนที่มีความสุขขนาดนั้นทั้งชีวิตอะ ไม่แน่ใจ แต่เวลาเรามองย้อนกลับไปมันก็ดีหมด ตอนทำวงสี่เต่าเธอมันก็ดีมาก แต่ตอนนั้นมันก็ลำบากกันมาก ยังไม่มีอาชีพอะไรเป็นหลักแหล่งมั่นคง แล้วก็ทำอะไรที่เราคิดว่ามันจะดี ฝันเฟื่องเอาเอง แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ด้วยวัยมันก็ทำให้เรา naive พอที่จะวิ่งชนกำแพง เจ็บก็ไม่เป็นไร ชา ๆ วิ่งหัวแตกเลือดไหลได้เรื่อย ๆ แต่มันต้องเป็นวัยนั้นนะ

วีรกรรมของเด็กชายคงเดช

เราเป็นคนเรียบร้อย วีรกรรมทำอะไรวะ ทุกคนต้องมีวีรกรรมรึเปล่า คือพวกโดดเรียน ไปกินเหล้าข้าง ๆ โรงเรียน เดินถอดเสื้อ มันเป็นเรืองปกติในยุคนั้น ไม่ได้รู้สึกแสบ เพราะเราก็ไม่ได้ทำคนเดียว นั่งรถเมล์กลับบ้านแล้วอ้วกบนรถด้วยมันไม่แปลกหรอก ไม่แสบเลย (หัวเราะ)

แล้วสิ่งที่อยากลืมแต่กลับจำล่ะ

(สีหน้าคงเดชเปลี่ยนทันที) จริง ๆ เรามีประสบการณ์ที่อยากจะลืมอยู่ ตอนมหาวิทยาลัยแล้ว มันก็เป็นเรื่องความสัมพันธ์กับคนที่เราเคยมีความสัมพันธ์ด้วย แค่เรารู้สึกว่ามันจบไม่ค่อยดี แล้วหลังจากมันจบเราก็ได้ยินข่าวว่าชีวิตเขาไม่ค่อยดีด้วย เราก็จะรู้สึกผิดเสมอ ถึงเราไม่ได้คิดถึงมันตลอดเวลาแต่มันก็ลบไปไม่ได้หรอก ความรู้สึกผิดอะ แต่ถามว่าสิบปีถัดมาแล้วเราเดินขึ้นบันได มันจะมีแวบ ๆ หางตาว่าเป็นเขาที่กำลังเดินลงมาหรือเปล่า เราก็ต้องหลบตา จริง ๆ สิบปีแล้วทุกคนคง going on หมดแล้ว คงเข้าไปถามว่าเป็นยังไงบ้าง แต่ว่าเราทำไม่ได้ แสดงว่ามันคงไม่ค่อยดีจริง ๆ สำหรับเรา

Puppy love ของคงเดช

ตอนม.ต้น เด็กผู้หญิงแถวบ้านเดินผ่านบ้านเราทุกเย็น บ้านเราเป็นร้านขายของ จำได้ว่าตอนนั้นให้คนงานที่บ้านเขียนจดหมายไปส่งให้เขา แรดมากเลย ก็เขียนจดหมายกันอยู่พักนึง แล้วเหมือนทางโน้นพี่ชายเขาจับได้ก็ไม่ให้เขียนต่อ (หัวเราะ) ถัดมาก็ม.ปลายก็ไปติว เจอคนนึงแบบ ชอบมาก คนนี้แม่งทีเด็ดว่ะ ไม่สนเลยเรื่องที่เขาสอนบนกระดานติวอะ วาด portrait ขึ้นรถเมล์ตามไปให้เขาถึงบ้าน แรดมากเลยอะ แล้วมันมีเพื่อนที่ฟิตมากแบบ เฮ้ย กูไปด้วย ๆ แต่มึงไม่เกี่ยวอะไรทั้งสิ้นเลยนะ แล้วมึงมายุ่งอะไรเนี่ย (หัวเราะ) ในชีวิตก็มีเพื่อนแบบนี้ พอถึงหน้าบ้านเขา เราก็เอารูปที่เราเขียนไปให้เขา ไม่รู้หรอกว่าฝีมือดีหรือแย่ แต่เขาพูดว่า ว่างมากหรอ คือจบเลย สตันท์มาก ว่างก็ไม่ว่าง ต้องช่วยบ้านขายของด้วย การบ้านก็ยังไม่เสร็จ สัส นี่กูมาทำอะไรวะ ก็ขึ้นรถเมล์กลับบ้านแล้วไม่ไปยุ่งอะไรกับเขาอีกเลย ไม่เศร้าอะไรมากนะ เขารับไปแต่ไม่รู้จะฉีกหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่เราเชื่อว่าเราวาดสวยนะ ตอนนั้นอะ

แล้วได้วาดรูปจีบใครอีกหรือเปล่า

ก็ไม่เชิงวาดจีบนะ รักกันแล้วแต่ก็ยังวาดให้เรื่อย ๆ ภรรยาในปัจจุบันเนี่ยแหละ ทุกวันนี้ก็ยังวาดให้ลูกด้วย

xdsds

ทำไมจับคู่โทนี่กับอิงค์

โทนี่มันหล่อ คือเราเห็นมันมานาน แค่รู้สึกว่าไอ้นี่มันมีของแต่ยังไม่ถูกใครเอามาเล่นดี ๆ สักทีเลย แบบไม่ได้เล่นบทที่เราอยากเห็นสักที แล้วเขามาเริ่มอาชีพนี้ตอนที่อายุไม่น้อย ซึ่งตรงนี้โคตรเป็นข้อดีเลย เพราะพวกดาราชายหนุ่ม ๆ ที่เราเห็นปัจจุบันไม่ค่อยมีใครเข้าตาเลย เพราะส่วนใหญ่จะ wanna be แล้วคือมันมาตอนที่ยังไม่รู้จักตัวเองมากพอ แล้วเราจะเห็นว่า แม่งเสร่อว่ะ แบบนี้ดูไม่ดีเลย แต่โทนี่เขาเป็นคนที่ชัดเจนมานานมากแล้ว เขาใช้ชีวิตอยู่ที่ออสเตรเลียก็นาน รู้ว่าตัวเองอยากเป็นช่างตัดผมมาก่อน เหมือนเป็นคนที่เลือกทางเดินชีวิตแล้ว แล้วกลับมาเข้ามาในวงการบันเทิง มันก็เป็นตอนที่เขารู้แล้วว่าจะทำอะไรไปเพื่ออะไร เขาเป็นดาราที่เราดีลด้วยได้ง่ายมาก มีประสบการณ์ในชีวิตมากพอที่จะแชร์กัน แล้วทำให้เขาแสดงอย่างที่เราต้องการได้ แล้วเขาทำการบ้านได้มากพอที่จะให้สิ่งที่เราคาดไม่ถึงได้ด้วย เวิร์กมาก รักเลยอะ เป็นคนมีเทสต์ด้วย คือรู้ว่าอะไรใช่ไม่ใช่ เพราะเราไม่ได้พูดบนเรื่องที่เหมือนหนังรอมคอมที่เขาเคยเล่น จริง ๆ แล้วมันจะเป็นยังไงได้บ้าง มันจะมีซีนประเภทที่เหมือนจะโรแมนติกอยู่ดี ๆ แล้วแม่งมีโทรศัพท์มาหาพระเอก เรียกกลับไปรับจ๊อบที่กรุงเทพ ฯ ก็บอก โหพี่ ผมติดงานแต่งเพื่อนอยู่ พอรู้ว่าทางนู้นเขาให้ตังค์เยอะก็แบบ เชี่ย ผมกลับไปดีกว่า คือไม่ต้องโรแมนติกต่อก็ได้ นี่มันชีวิตจริงเปล่าวะ เราก็คุยกันเรื่องนี้ในกอง มันก็เวิร์กทันที ส่วนอิงค์ก็เด็กมาก เหมือนจูนกลับมาตรงกลางนะ เพราะอย่างตัวละครในเรื่องเนี่ย โทนี่แก่กว่า ส่วนอิงค์เด็กกว่า เราไม่เคยใช้นักแสดงที่อายุอ่อนกว่าตัวละครนะ อันนี้เป็นครั้งแรก แค่เรารู้สึกว่าเราชอบธรรมชาติของอิงค์ คือเราก็คิดแหละว่าจะหาหน้าใหม่ แคสต์นานมาก เยอะมาก ทีมแคสต์ก็ปวดหัวมาก ส่งมาไม่รู้กี่คนแล้ว แล้วก็ตกลงว่าจะเอาเป็นดาราคนนึงจากช่องนึงมาแล้ว สัญญาปากเปล่าอะไรกันไปแล้ว หน้าตาก็ได้อยู่ แต่เราก็ยังไม่แน่ใจเลยเรียกเขามาคุย พอคุยกลับไม่มีอะไรที่เราอยากได้จากตัวเขาเลย เราก็เลยบอกกับทีมว่าไม่ได้ว่ะ ถึงเขาจะหน้าตาดี เป็นดารา มีแฟนคลับแล้ว แต่เขาไม่ใช่คนแบบเดียวกันกับตัวละครที่เราต้องการ ก็เลยต้องแคสต์กันต่อ แต่ตอนเจออิงค์ เทปแคสต์ก็ห่วย คือเราดูเทปแคสต์ไม่จบ แล้วก็แมสเสจกลับไปหาทีมแคสต์ว่าพวกมึงทำได้ดีที่สุดแค่นี้ใช่ไหม (หัวเราะ) โหดมากนะ ไอ้พวกนั้นก็บอก เฮ้ยพี่ แต่หนูชอบคนนี้ว่ะ พี่ลองคุยกับมันมั้ย เหมือนมันมีอะไรบางอย่างที่อยากให้พี่คุยกับเขาดูก่อน ซึ่งเราก็เชื่อทีมแคสต์เรา ทำงานมาด้วยกันตลอด 5 – 6 ปีที่ผ่านมา เราก็อะ ลองดูก็ได้ แต่ตอนนั้นมันก็มีข้อต่อรองแหละว่า อะ ได้ แต่หนึ่งในทีมแคสต์ของพี่ต้องมาเล่นบทนึงในเรื่องให้ด้วย เพราะมันต่อบทซะจนกูไม่เห็นใครเป็นบทนี้นอกจากมึงแล้ว ต้องเป็นมึงแล้วแหละ เขาก็โอเค หนูเล่นเอง เราก็นัดเจออิงค์ ก่อนเจอเราก็สงสัยว่าทำไมพวกนี้เชียร์จังวะ คือนางเอกมันจะชอบโพสต์ Instagram อยู่แล้ว ก็เลยแอบไป stalk ไป follow IG น้อง เปิดดูก็พบว่า เฮ้ย มันมี lifestyle กับวิธีคิดคล้ายตัวละครมาก แค่เด็กกว่าเพราะยังเรียนไม่จบเท่านั้นเอง แต่แบบ ไปอังกฤษมา ถ่ายของหวาน วิธีที่มันคิด hashtag ฟรุ้งฟริ้ง มันก็ใกล้ตัวละครนี่หว่า แต่มันเล่นไม่ได้เนี่ยทำไงดี แล้วพอนัดเจอเราก็เริ่มเห็นแวว พอคุยกับมัน มันเป็นคนเปิดมาก เป็นธรรมชาติมาก จนเรารู้สึกว่ามันไม่เคยเล่นอะไรมาก่อนเลย มันเลยทำให้เทปแคสต์นั้นมีความพยายามว่าจะต้องเล่นเป็นโน่นนั่นนี่ แต่ในความเป็นจริงโดยธรรมชาติมันดีอยู่แล้ว ก็เลยเริ่มเห็น direction ดังนั้นพอเราเคาะแล้วว่ากูเอามึงนะ สิ่งเดียวที่ต้องทำคือจะทำยังไงให้เด็กที่อายุ 20 นิด ๆ เนี่ย มีวิธีแบบคนอายุ 26 ให้ได้ ก็ไปทำเวิร์กช็อปกัน มันก็สร้างสิ่งมหัศจรรย์หลาย ๆ อย่างในหนังได้

ตอนหลังก็ไปกำกับ MV เพลงของอิงค์ด้วย

เจ้าอิงค์เป็น Chilli White Choc มาก่อน เราก็ไม่รู้นะว่ามันเคยอยู่วงนี้ ตอนอยู่ในกองมันก็จะมีคนมาเปิดคลิปสมัยเด็ก ๆ แล้วท่ามัน หน้ามันบ้านน้อก บ้านนอก (หัวเราะ) ก็ล้อ แกล้งมัน กามิกาเซ่อะ มันจะมีท่า Chatsanova ของมัน ก็แซว มันก็บอกหนูจะออกอีกทีแล้วนะ ค่าย Boxx Music เราก็โอเค แต่แกล้งถามว่าเพลงเหมือนเดิมหรือเปล่า (หัวเราะ) มันก็เอาเดโม่มาให้ฟัง เป็น synth pop 80s ก็เพราะดี เราไม่ doubt เรื่องเสียงมันเพราะรู้ว่ามันเรียนเอก voice ที่ศิลปกรรม จุฬา ฯ เราเคยไปนั่งฟังมันสอบร้องตอนปีสามด้วยซ้ำไป เป็นโซโล่โอเปร่าทีเดียว 12 เพลง เสียงมันเพอร์เฟกต์มาก ในที่สุดเพลงมันก็มา ก็เพราะดี แล้วมันบอกว่าพี่ที่ค่ายอยากให้พี่ไปกำกับให้ เราก็เอามา ๆ ลองดู ๆ

เนื้อร้องมันว่าด้วยการอยู่ห่างกัน แล้วเวลาที่อยู่ห่างกันรู้สึกเหงาเหมือนกูเปล่า เราก็เลยอยากลองทำมิวสิกวิดีโอแนวตั้งดู ถ้าเราถ่ายตั้งกล้องอย่างนี้เวลามาวางบนจอจะเหลือ space ตรงกลาง แล้วเราก็ลองทำ long take สองฝั่ง คือ long take ฝั่งเดียวเราก็เห็นมาเยอะแล้ว แต่สองฝั่งที่ทุกอย่างมัน sync กัน แล้วมาจบที่เดียวกันอะ เราจะทำยังไงได้บ้าง ก็เหนื่อย ทีมงานก็ด่า พี่จะทำเรื่องง่ายให้มันยากทำไมวะ (หัวเราะ) ทุกอย่างมันเป็นคิวหมดเลยอะ พอแพนไปปุ๊บตรงนี้ออกมา พอกลับมาอีกฝั่งจะต้องทำยังไง โปรดิวเซอร์เราก็บอก คนเราก็อย่างเงี้ย พอทำอะไรไปเรื่อย ๆ ก็ทำของง่าย ๆ ไม่ค่อยได้ มันด่าเราอะ (หัวเราะ) แต่พอเป็น long take ตัวเราเองไม่สามารถนั่งอยู่ตรงไหนได้ต้องถือมอนิเตอร์เล็ก ๆ วิ่งนำ วิ่งตามตลอด ฝั่งเจ้ากันต์ (กันต์ ชุณหวัตร) ขึ้นลิฟต์เราก็ขึ้นด้วยไม่ได้เพราะลิฟต์เล็กนิดเดียว ก็มีแต่กล้องกับตัวมัน 4 ชั้นอะ ทุกเทคเราก็ต้องวิ่งขึ้นบันได 4 ชั้น แล้วไปดักรอหน้าลิฟต์ก่อนจะวิ่งออกมา เพราะถ้าช้าเนี่ย ขึ้นลิฟต์มากล้องก็จะเห็นเรา ก็วิ่งอยู่นั่น รวมทั้งหมดน่าจะ 100 ชั้น ทีมงานมันก็เลยด่า (หัวเราะ) ละมันเป็นสองโรงแรม โรงแรมไมอามี กับโรงแรมฟลอริด้า ตอนท้ายมันจะมาเชื่อมกันยังไงเพราะเป็น long take ก็ต้องหา trick ว่าจะซ่อนตรงไหนให้ดูเนียน แล้วตอนจบเราจบที่ว่าสองคนมาอยู่ที่เดียวกัน เพราะความจริงแล้ว distance มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นในใจมากกว่า แต่ตอนต้นมันเหมือนให้เห็นว่าอยู่กันคนละที่ เหมือนการที่ส่งเมสเสจกันไปมา หรืออยู่กันคนละช่วงเวลา จริง ๆ แล้วมันคือในใจแหละ ทุกคนที่เป็นตัวประกอบจริง ๆ ก็เป็นชุดเดียวกัน ก็เดินจากฝั่งนึง ไปอีกฝั่งนึง

“เพลง แค่ได้คิดถึง ของ ญารินดา มันเคยเป็นเพลงที่ธรรมดามากสำหรับเรา มันเป็นเพลงที่เพราะแหละ แต่ว่าพอถึงวันนึงเรานั่งฟังมันใหม่ด้วยบริบทใหม่ ๆ มันก็กลายเป็นเพลงที่ทำงานกับเราอย่างรุนแรง ฟังทุกครั้งน้ำตาร่วงทุกครั้ง มันอาจจะเป็นเพราะมันถึงเวลาที่เราเผชิญการลาจากมากพอแล้วที่จะทำให้เข้าใจเพลงนี้ด้วยอีกวุฒิภาวะนึง แต่เพลงก็อยู่ของมันอย่างนั้นแหละ ”

คงเดชในฐานะ frontman ของ สี่เต่าเธอ ช่วยให้คำตอบหน่อยว่าจะกลับมาทำเพลงใหม่ไหม

คำถามนี้เจ็บปวดอะ คือมันเป็นสิ่งที่แบบ… 4 – 5 ปีที่ผ่านมาทำหนังออกมาได้ทุกปี แต่ทำไมเพลงเพลงเดียวทำไม่ได้วะ แล้วเราก็ตอบไม่ได้ มันอายที่จะตอบ ชุดล่าสุดที่ออกมาก็ปี 2550 ผ่านมา 9 ปีแล้วเนี่ย มีแค่ 6 เพลงด้วย ไม่ได้เยอะเลย คือวงเรามันความสามารถต่ำ ความต้องการสูง ก็เป็นวงที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นนักดนตรีด้วย หมายความว่าเราไม่ใช่วงที่เกิดจากการเล่นคัฟเวอร์หรือเล่นตามร้านมาก่อน ดังนั้นทักษะดนตรีของเราต่ำกันมาก เล่นแต่เพลงที่อยากจะทำ บางทีขึ้นไปคอนเสิร์ต แม้แต่เล่นเพลงตัวเองยังไม่ค่อยรอดเลย แบบ ลืมว่ะ ทำไงดี บางทีก็มีนะ มือเย็น ตีนเย็น ทุกคอนเสิร์ตวงเราเป็นแบบนั้น แต่มันก็ยังอยากจะเล่นแต่เพลงตัวเอง อย่างช่วงนั้นจะให้ tribute ให้ Sqweez Animal เราทำไม่ได้ ยุคโน้นวงอื่น ๆ มาเจอกันก็แบบ เฮ้ย ชอบมากเลย ว่าง ๆ มาแจมกันหน่อย เราก็นึกในใจว่า แจมเหี้ยอะไร เพลงตัวเองยังไม่รอดเลยจะไปแจมกับมึงยังไงวะ แล้วเสือกความต้องการสูง สมมติว่าเพลงเพลงนึงทำกันมาแล้วมีใครสักคนยังไม่ค่อยพอใจ รื้อตลอดเลย เพลง มนตรา เนี่ย มีอยู่ประมาณ 8 เวอร์ชัน แก้อยู่ได้ พอมันออกเสร็จก็ไปฟังเวอร์ชันเก่า ๆ มันก็เพราะดีนี่หว่า ทำไมตอนนั้นไม่เอา ก็ไม่รู้อะไรสักอย่าง มันเป็นวงที่ทุกคนต้องโหวตหมด ไม่มี 4 ต่อ 1 ไม่มี 3 ต่อ 2 แม่งต้อง 5 ต่อ 0 เท่านั้นถึงจะโอเค ยอมเพลงนี้ มันเลยจะทำแก้ตลอดเวลา นั่นเลยทำให้วงเรายุ่งยากกับการทำเพลง ๆ นึง ออกมาแล้วมันอาจจะคิดกันเยอะว่าเพลงนี้คงจะต้องเล่นกันไปอีกนาน พอทำเพลงนึงก็เล่นกันไปทั้งชีวิตนะ เราก็เล่น ยังจำ มา 20 ปีแล้ว อะไรแบบนั้นอะ เราก็คิดว่ามันก็เลยเรื่องเยอะ แล้วพอมันเป็นวงที่ปากท้องไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ ซึ่งก็คิดถูกแล้ว (หัวเราะ) มันก็เลยกลายเป็นวงที่ไม่คิดถึงคนฟังแม้แต่น้อย ไม่เคยคิดว่าคนฟังจะชอบไหม กูเอา กูชอบก่อน มันก็เลยไม่ได้เป็นการค้าแม้แต่น้อย ไม่ได้คิดว่าเพลงนี้มันจะป๊อปหรือไม่ป๊อป เนื้อมันจะโดนหรือไม่โดน เป็นแค่เขียนเนื้อไป วงชอบมั้ย อะชอบ ทำ แค่นั้นเลย แล้วมันก็เลยยากขึ้น พอเราอายุมากขึ้น ด้วยวัยนี้เราสามารถร้อง อวกาศ ได้ แต่เราก็ไม่ควรเขียนเพลงแบบ อวกาศ อีกครั้งแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เราเขียนมันก็ต้องว่าไปตามวัย แต่บางทีถ้าไปตามวัยเพื่อนก็ตามไม่ค่อยทัน เช่น ปีที่แล้วเราเขียนไปสองเพลง เพลงนึงก็ว่าเรื่องการ reunion นะ แต่อีกเพลงว่าด้วยความตายเลย ตอนเพื่อนฟังเดโม่เสร็จมันก็โทรมา ไอ้เดช มึงเป็นอะไรหรือเปล่าวะ (หัวเราะ) กูไม่เป็นไร ก็คิดตามชีวิตจริงอะ เราก็แบบ ใกล้ตายมากแล้ว เพื่อนมันก็หดหู่อะ กูไม่กล้าเล่นเพลงนี้ว่ะ มันก็เลยไม่ลงมือทำให้เสร็จสักที แต่ว่าเวลาที่กลับมาเจอกันมันคือสุขสัส ๆ ในชีวิตเลยนะ ถ้าถามว่า เฮ้ยอยากเจอใครในชีวิต ทุกช่วงเราก็อยากจะเจอสี่เต่าเธอ โทรเรียกกันเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะโทรเรียกกันมานัดกินชาบู หมูกระทะ (หัวเราะ) ไม่ค่อยได้งาน

download-34

แต่ก็ยังเล่นสดไหวอยู่

ก็ตอน Cat to the Future ก็เล่นไปหอบไป นี่ก็ต้องพักหน่อย แต่ว่าเราก็เอาความแก่ไปเป็นมุก

คิดว่าตัวเองวัยรุ่นอยู่ไหม

ไม่ได้คิดว่าวัยรุ่นหรือไม่วัยรุ่น คือ 2 – 3 ปีที่ผ่านมาจู่ ๆ ผมก็หงอกหมดเลย แล้วก็ไม่ยอมย้อม ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันทำให้เราดูแก่หรือเปล่า แล้วก็มีช่วงนึงทำหนังกับสตูดิโอ ต้องเว้นไปประมาณ 2 – 3 ปีถึงจะกระโดดมาทำหนังอิสระ แล้วเราก็พบว่าคนรอบตัวเราหรือน้อง ๆ ทีมงานมันเป็นเด็กรุ่นใหม่กันหมด แล้วทรีตเราเป็นรุ่นใหญ่ เราก็แบบ เชี่ย ทำไมวะ เหมือนกูยังไม่ทันเป็นวัยรุ่นเลยมึงก็ยัดเยียดความเป็นรุ่นใหญ่ให้กูแล้ว (หัวเราะ) แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ก็ทำหนังไป คือทุกครั้งที่ทำงานก็จะทำสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกสนุกกับมัน อยากลองทำอะไรที่เรายังไม่เคยทำ แต่ไม่รู้ตรงนี้แก่หรือเปล่านะ เราเริ่มรู้สึกว่าตอนนี้เบื่อกิมมิคที่จะต้องทำให้ตรงนี้ตลก หรือกิมมิคที่ดูเป็นแนว deadpan หรือทำให้ซีนนี้ดูพิเศษ เรานึกไปถึงหนังหลาย ๆ เรื่องที่เราเคยดูในวัยหนุ่ม ซึ่งมันเป็นปริศนาสำหรับเรา ทั้งหนังญี่ปุ่น หนังฝรั่งเศส ที่ธรรมดาสุด ๆ ตัวละครเดินไปเดินมา พูดคุยกัน ไม่ได้อ้อยอิ่งเป็นพิเศษ ไม่ได้ slow pace แบบตั้งใจเป็นหนังอาร์ตด้วยนะ หรือว่าไม่ได้ออกแบบให้หวือหวา แต่พอจบปุ๊บ ทิ้งระเบิดก้อนใหญ่ ๆ ไว้ในตัวเรา เราตั้งคำถามว่า เชี่ย ทำไมมันกระแทกขนาดนี้วะ เขาใช้อาวุธอะไรวะ เราอยากค้นหาสิ่งลึกลับนี้มากกว่า อะไรที่ธรรมดาที่สุด แต่โดนสัส ๆ คือมันมีช่วงเวลาที่ทำหนังแล้วทุกอย่างต้องทำให้ดูพิเศษ มีกิมมิค ออกแบบซีน วิธีเล่นต้องหวือหวาไปหมด พอถึงจุดนึงกูอยากทำสิ่งที่ธรรมดาที่สุดแล้วอยู่ไปอีกนาน เราไม่อยากทำอะไรที่พิเศษมาก อย่างเพลงแค่ได้คิดถึง ของ ญารินดา มันเคยเป็นเพลงที่ธรรมดามากสำหรับเรา มันเป็นเพลงที่เพราะแหละ แต่ว่าพอถึงวันนึงเรานั่งฟังมันใหม่ด้วยบริบทใหม่ ๆ มันก็กลายเป็นเพลงที่ทำงานกับเราอย่างรุนแรง ฟังทุกครั้งน้ำตาร่วงทุกครั้ง มันอาจจะเป็นเพราะมันถึงเวลาที่เราเผชิญการลาจากมากพอแล้วที่จะทำให้เข้าใจเพลงนี้ด้วยอีกวุฒิภาวะนึง แต่เพลงก็อยู่ของมันอย่างนั้นแหละ

เคยคิดจะเอาเพลงของสี่เต่าเธอมาสร้างเป็นหนังไหม

เคยสิ เพลง หิมะ จริง ๆ มันมีพล็อตหนังอยู่ แพง ทำไม่ได้ เราเลยมาเขียนเป็นเพลงแทน

ยังไง

แพงดิ มันมีหิมะตกอะ (หัวเราะ) หิมะตกกลางเมืองไทยมันก็ต้องมี cg นะ ของเรามันไม่ใช่แค่ช็อตสั้น ๆ ด้วย ไปตามท้องถนน เดินกันรถไม่ต้องวิ่ง คนเฮกันชิบหาย แพงไป แต่จริง ๆ เวลาเราเขียนเพลงเราก็คิดเป็นภาพหรือเป็นหนังอยู่สูงนะ ตั้งแต่ชุดแรก ๆ แล้ว พัฒน์พงศ์ อวกาศ ถ้าอ่านเนื้อจะพบว่ามันมีความเป็นหนังอยู่ มี long shot มี close up หรือแม้แต่จับมือฉัน ที่เวอร์ชันเดโม่ไปประกอบหนังเรื่อง ‘กอด’ แต่ตอนเขียน เราเขียนจากสึนามิที่เกิดในภาคใต้ เราเลยรู้สึกว่าจริง ๆ เราจะเขียนเป็นภาพ เวลาจะเขียนเพลง

ฟังเพลงวงไทยใหม่ ๆ บ้างไหม

เราไม่ได้ติดตามแบบสุด ๆ นะ ก็แล้วแต่ชอบ Slur ชุดใหม่ก็ชอบ Aerolips ก็ชอบ เมื่อเช้าเพิ่งไปนั่งฟังเดโม่ใหม่ของ Kidnappers มา พี่เมย์เปิดให้ฟัง ป๊อปมากและเพราะ เดี๋ยวอีกไม่นานคงได้ฟัง ชุดนี้เราแต่งเพลงแรกที่ปล่อยมา เพลง แกว่ง ให้เขา จริง ๆ เราแต่งให้เขามานานแล้ว เขาเป็นโปรดิวเซอร์ให้เราในชุดแรก เหมือนแก่มาด้วยกัน เป็นรุ่น ๆ เดียวกัน Polycat ก็ชอบ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้เป็นอัลบั้มแล้วเนาะ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพลง จริง ๆ สมอลล์รูมเราก็ชอบหลายอัน คือพี่รุ่งเขาก็มีมาตรฐานของเขาแหละ เราก็สนิทกับพี่รุ่ง เขาเป็นโปรดิวเซอร์เรา Summer Stopเพลง อยากให้เป็นอย่างนี้ทุกวัน Solitude is Bliss นี่ก็ชอบ แต่เราไม่ได้ตามอัพเดตสุด ๆ นะ ยุคก่อนหน้าที่เรารู้สึกว่าอยากฟังเพลงใหม่เหลือเกินคือ derdamissyou หายไปแล้ว เด๋อไม่ยอมทำเพลงใหม่ แต่เราเป็นเฟรนด์มันบนเฟซบุ๊กนะ มัวแต่ไปทำ After Effect อะไรก็ไม่รู้ แล้วเขาก็อยู่เชียงใหม่ เราชอบอัลบั้มเขามาก อยากฟังเพลงใหม่มาก ๆ เลย

ฝากผลงาน

ไม่มีผลงานอะไรเป็นพิเศษตอนนี้ มันออกไปหมดแล้ว แต่เราไม่แน่ใจว่า ‘Snap’ จะมีดีวีดีหรือเปล่านะ แต่มันเป็นทุนของ True Visions เดือนมีนาคมเขาจะเอาไปฉายในช่อง True Thai Film สำหรับคนที่พลาดก็อยากให้ไปดูในนั้นเองละกัน แล้วอีกไม่นานจะมีหนังสือของ ‘Snap’ เป็นกึ่ง making of กึ่งบันทึก พูดเรื่องความคิดแล้วก็ความทรงจำเยอะ ก็เป็นหนังสือที่น่าจะส่วนตัวอยู่เหมือนกัน แต่จะเห็นกระบวนการอะไรบางอย่าง สวย ๆ ออกในงานหนังสือนี่ล่ะครับ

หนังที่คงเดชดู

มีเรื่องที่ Daniel Auteuil กับ Emmanuelle Béart แสดง อันนี้เราดูตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย สมัยโน้นจะหาดูหนังพวกนี้ทีเป็นเรื่องยาก เป็นหนังแอบรักแบบผู้ใหญ่ ๆ จู่ ๆ ตอนจบก็บอกลากัน ไอ้นี่นั่งอยู่นอกร้านกาแฟ แล้วจู่ ๆ ก็กางหนังสือพิมพ์ออก จู่ ๆ ก็สโลว์ แต่ทั้งเรื่องมันไม่มีอะไรแบบนี้เลย แล้วมันก็ตัดภาพดำ roll credit ขึ้นเลย จู่ ๆ เราก็น้ำตาร่วงเลยอะ เชี่ย มึงไม่ได้บีบคั้นอะไรกูแม้แต่น้อย แต่น้ำตากูร่วงแบบฉิบหาย

download-35

Un Coeur en Hiver (A Heart in Winter) starring Daniel Auteuil and Emmanuelle Béart

หรือแม้แต่หนังของ Hirokazu Koreeda มันมีความธรรมดาอยู่ หนังอย่าง Tora-San หนังอย่างอาบัณฑิต ฤทธิ์ถกล มันก็เป็นหนังธรรมดามาก มันก็อยู่ที่ content อยู่ที่ตัวละคร แล้ววิธีเล่ามันไม่ได้หวือหวาเลย มันดีอะ

download-36

Hirokazu Koreeda’s Still Walking

 

 

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้