Feature เห็ดหูหนู

Pat Chayanit Playlist

  • Writer:  Sasilak Pichitworakarn
  • Photographer: Nattanich Chanaritichai

ถึงแม้ว่าแดดยามบ่ายจะแรงสักแค่ไหน แต่ภายในร้านกาแฟย่านพร้อมพงษ์อย่าง Casa Lapin X26 ยังคงให้บรรยากาศเย็นสบายคลายร้อนได้เป็นอย่างดี ขณะที่เรานั่งเพลิดเพลินกับกาแฟได้พักหนึ่ง แพต ชญานิษฐ์ ชาญสง่าเวช ก็ปรากฎตัว ที่แม้จะเป็นเพียงการเดินเข้ามาในร้านธรรมดา แต่ด้วยตัวตนที่มาพร้อมกับบุคลิกสาวเท่ และมั่นใจ ทำให้เราลืมบทบาทของพยาบาลสาวจากซีรีส์ “I See You พยาบาลพิเศษ..เคสพิศวง” ไปได้ชั่วขณะหนึ่ง วันนี้ Fungjaizine จะพาทุกคนไปรู้จักตัวตนของเธอไปพร้อม ๆ กัน

 

Pat’s Playlist

Damien RiceAmie

Chet FakerNo Digity (live sessions)

WhitneyGolden Days

The CureFriday I’m In Love

The Jesus And Mary ChainJust Like Honey

Last DinosaursHonolulu, Zoom

PeaceBloodshake

PostiljonenAll That We Had Is Lost

Tame ImpalaApocalypse Dreams, Feels Like We Only Go Backwards

*Extra*

D2B – คนใจอ่อน (อ่อนใจ)

Niece – บีบมือ

พลอย หอวัง – ไม่รู้

ทำไมถึงชอบเพลงพวกนี้

เพลงที่ได้มาพวกนี้จะเกิดจากการไม่ตั้งใจจะเดินเข้าไปหาเพลง แต่จะเป็นการแบบ bump into เช่น random กดใน YouTube ไปร้านอาหารแล้วได้ยินเพลงนั้นในร้าน ก็จะถามแล้วเม็มไว้ อย่างพวกเพลงเก่า ๆ ก็คือพ่อก็ฟังพวกนี้ด้วย

1

Exclusive Talk

ปกติฟังเพลงแนวไหนบ้าง

ทุกแนวเลย ยกเว้นลูกทุ่ง ไม่ฟัง country แต่ฟังหลายแนวมาก ส่วนใหญ่ที่สังเกตตัวเองตอนนี้จะฟัง electronic rock แล้วก็ noise ๆ ชอบมาก คือมันทะเลาะกันระหว่างเพลงไทยกับสากล ตีกับตัวเอง ให้เลือกว่าชอบอะไรมากที่สุดมันมันยากเกินไป ลิสต์มาสิบเพลงก็เกิน แต่หลัง ๆ เพิ่งมาชอบเพลงที่เป็นฟีล ยุค 80s กับ 90sคือจริง ๆ พ่อแพตเป็นคนฟัง Pink Floyd, The Cure อะไรอย่างนี้อยู่แล้ว คือมีแผ่นวง Placebo เหมือนพ่อฟังก็เลยเหมือนแบบอยู่ในซิลิบั้มตั้งแต่เด็กมั้ง ทำให้ชอบอะไรอย่างนี้ด้วย แล้วเราชอบซื้อแผ่น ซีดี หมดตังกับแผ่นซีดีไปยิ่งกว่าค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัย ส่วนไวนิลไม่ค่อยเก็บมาก เพราะ ปะป๊าแพตเค้าเป็นสายซื้อไวนิลสมัยวัยรุ่นเยอะมากเป็นลัง แต่เราก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้ฟังอยู่แล้ว ก็เลยซื้อแผ่นซีดีที่เป็นอันเล็ก คือไม่ได้เป็นคนว่างมากถึงขนาดเปิดไวนิลฟังแล้วกินข้าวฟังที่บ้าน ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในรถมากกว่า ก็เลยซื้อแผ่นซีดีฟัง ชอบซื้อแผ่นซีดีมากเลย

ตามเก็บ special edition ด้วยหรือเปล่า

ไม่คลั่งขนาดนั้นมันอยู่ที่จังหวะด้วย ถ้าสมมติไปแล้วเจอก็ซื้อ ไม่มีก็ไม่เป็นไร คือรู้สึกว่าถ้าจดจ่อกับเรื่องอะไรอย่างนั้นมาก ๆ มันประสาทเหมือนกันนะ (หัวเราะ) มันจะเครียดอะ เช่นสมมติว่า “วง Postiljonen มา มีซีดีมาด้วยแค่สองร้อย รีบมา” มันเหนื่อย คือเราไม่ใช่คนที่ไปคนแรกเพื่อที่จะซื้อ  ถ้าไปยังเหลือซื้อได้ก็ซื้อ

ชอบวงอะไรบ้าง

ส่วนใหญ่จริง ๆ ชอบเพราะเพลง มันจะมีสองประเภท ชอบเพราะเพลง กับ ชอบเพราะหน้าตา อย่างเช่น วง Peace งานดีทุกคนตั้งแต่มือกลองยันนักร้อง คือเป็นนายแบบทั้งวงแล้วเพลงก็ดีด้วย อันนั้นเลยให้คู่ แล้วก็จะมีเพลงดีแต่หน้าไม่ดี เป็นต้น คือเวลาผู้หญิงจัดความชอบนี่มันจะค่อนข้างละเอียดอ่อนกว่าผู้ชายเวลาจัดความชอบ เค้าสูงแต่เค้านู่นนี่ เวลาเค้าเล่นดนตรีเค้าเท่ เค้าไม่หล่อแต่เวลาเล่นกลองเค้าดูหล่อ คือมันจะเยอะมาก เวลาไปคอนเสิร์ตนี่จะเสพอะไรที่อยู่ในหัวเยอะมาก

แล้วมีศิลปินคนไหนไหมที่คนไม่คิดว่าเราจะชอบ 

โห ชอบตั้งแต่ Dojo City หรือ D2B ร้องได้ทั้งอัลบั้ม ไปคอนเสิร์ตร้องไห้หนักมาก รักพี่บิ๊กมาก แล้วก็ร้องเพลง คนใจอ่อน (อ่อนใจ) นี่แบบ งือออ (หัวเราะไปทำเสียงร้องไห้ไป) ตอนนั้นเด็กมาก เราไม่รู้ว่าชอบเขาเพราะอะไร น่าจะเพราะเขาน่ารักที่สุดในวงแค่นั้น เราตัดข่าวหน้าที่เค้าตายเอาไปแปะในสมุดจดการบ้าน แม่เรางงมาก

ได้ไปพับนกกับเขาไหม

พับ (หัวเราะ) แต่ว่าเหตุการณ์ที่พับนกให้พี่บิ๊กเนี่ยพลิกสถานการณ์เหมือนกัน เพราะว่าพับนกไม่เป็น ครั้งนั้นทำให้พับนกเป็นจนทุกวันนี้ รู้สึกขอบคุณ

เล่นดนตรีเป็นไหม

(พยักหน้า) ดูไม่เข้ากับหน้าเลยนะ (หัวเราะ) เล่นเปียโนเป็นค่ะ เรียนตั้งแต่เด็ก ๆ เชื่อไหมว่านี่เคยเป็นครูสอนเปียโนด้วย สอนสักพักแล้วเริ่มเบื่อมาก ยิ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กด้วย เขาก็จะแบบว่า “ครู หนูหนาว” ปิดแอร์ กูร้อน “ครูหนูหิว” อ่ะ ขนม “ครูหนูไม่อยากเรียนแล้วอะไปเดินเล่นกัน” อ้าว แล้วกูจะออกบอกพ่อแม่เขายังไงล่ะ (หัวเราะ) คือมันเยอะมากเลยไม่เอาแล้ว แม่ชอบบอกว่าเอาสิรายได้ดีนะ บ่นกับตัวเองว่าคงไม่สอนเปียโนจนแก่ตายอ่ะ ไปทำอย่างอื่นดีกว่า คือถ้าเด็กดีจะชอบมากเลยนะ มันจะมีหลายพาร์ทมาก เจออายุ 30 – 40 ก็มี เขาตั้งใจมากเลยนะคนพาร์ทนั้น บางคนมาแบบปรัชญามาก “ผมเนี่ยไปอ่านมา เค้าบอกว่าถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์ตอนแก่ ให้เรียนดนตรี” แล้วก็พูดยาวมาก โอเค 15 นาทีผ่านไปกว่าจะอ่านโน้ตเสร็จ กว่าจะได้เล่นเสร็จ รอให้เขาเล่นว่าวันนี้ได้อะไรกลับไป หมดเวลาคือเล่าก็หมดไป 250 แล้วนึกออกปะ (หัวเราะ) หลัง ๆ ก็ยากคนเรียนน้อยแล้วส่วนใหญ่เป็นเด็ก

2

เริ่มเข้าวงการมาได้ยังไง

จริง ๆ ก่อนที่จะมาเล่นหนังหรือว่าซีรีส์ก็เรียนมหาลัย แล้วรุ่นพี่ที่คณะก็จะเรียกไปช่วย อย่างแคสงานโฆษณา แล้วก็ถ่ายแบบทั่วไป พอเรียกบ่อย ๆ ก็มีคอนเนคชันมากขึ้น เลยมีผลงานมากขึ้นด้วย เริ่มจาก mv ถ่ายโฆษณา ถ่ายแบบ แล้วก็เพิ่งมาเริ่มเล่นหนังหรือซีรีส์จริง ๆ จัง ๆ ปีสองปีที่ผ่านมานี้เอง

พอเริ่มมีโอกาสได้เข้ามาทำงานในวงการ ก็ทำไปเรื่อย ๆ ทำไปให้มันดี ให้สนุก โดยที่ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องไปถึงจุดนี้ แล้วพอได้ลองทำอะไรที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะได้ทำ มันก็เลยเป็นคำถามที่ย้อนกลับมาว่า “ทำไมเราไม่เคยคิดว่าเราจะทำวะ เราก็ทำได้นี่”

งานแจ้งเกิดคือ “อยู่ที่เรา”

ใช่ค่ะ อันนั้นเป็นการเข้ามาแคสโดยที่งง ๆ ทุกอย่างเลย แล้วก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าพี่ย้งเป็นผู้กำกับ ก็รู้สึกว่า เฮ้ย เออเราชอบ เราประทับใจพี่ย้ง ชื่นชอบผลงาน ก็ตื่นเต้น รู้สึกเป็นเกียรติมาก เขาอาจจะด่าเราแต่ตื่นเต้นไปก่อน แล้วก็มีนักแสดงหลายคน เช่น โอบ เราไม่ได้ฟอลโลวดาราอยู่แล้วก็ไม่ได้รู้จักว่าโอบคือใคร  พี่โตโน่ก็รู้ แต่ไม่ได้กรี๊ดดารา ไม่ได้ติ่งมาก จึงไม่ได้มีกำแพงเรื่องตื่นเต้นขนาดนั้น มันก็มีข้อดีที่สนิทกันได้ง่าย ด้วยความที่เป็นเรื่องแรกก็กดดันเหมือนกันนะ เจอของหินเลย ได้อะไรจากพี่ย้งมากจริง ๆ เรื่องมุมมองความคิด หรือว่าเรื่องการแสดงหลาย ๆ อย่าง โอเคมาก ๆ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมหลายคนเรียกพี่ย้งว่าพ่อ

Feedback ในเรื่องนั้นเป็นยังไง

ดีเลยค่ะโดนคนเกลียดเยอะมาก (หัวเราะ) ชอบมาก คนดูอินกับสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วว่าจะเป็นยังไง สะใจมากเวลาอ่านคนที่ด่าแล้วเรามาคิดย้อนกลับไปว่า “ถ้าเป็นเราก็คงด่าอีนี่เหมือนกัน”  ซึ่งมันจริงอะ ประทับใจมาก แล้วก็กลายเป็นว่าผู้หญิงกรี๊ดเยอะมาก ได้แฮชแท็กว่า #สามีคนใหม่ของประเทศไทย เสียใจมากเลยอ่ะ (มือกุมหัว) ทุกคนบอกว่าหล่อมากขี่มอเตอร์ไซค์แล้วแมนมาก “ฮัลโหลว นี่นางเอกนะ” (หัวเราะ)

เคยเล่นหนังจีนมาก่อนด้วย

หูย มันเป็นหนังที่ถ่ายจบไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ชื่อเรื่องภาษาจีนคือ “再见, 在也不见” (ไจ้เจี้ยน ไจ้เหย่ปู๋เจี้ยน) ภาษาอังกฤษชื่อ “Distance” จริง ๆ ไม่ได้แปลเหมือนกันเลยนะ ภาษาจีนแปลว่า “ลาก่อน” แล้วมันก็แปลได้อีกแบบนึงว่า “ไว้เจอกันใหม่” แต่ในหนังตั้งใจจะให้แปลว่า “แล้วเจอกันใหม่แต่สุดท้ายยังไงก็ไม่เจอ” ไม่แน่ใจว่า process ในการทำหนังออกมาของเมืองนอกมันเป็นยังไง เค้าเพิ่งมาเริ่มโปรโมทเมื่อสิ้นปีที่แล้ว

เราไปเล่นได้ยังไง

เกิดจากคำแนะนำของรุ่นพี่เหมือนเดิม เคยถ่าย mv ร่วมกับรุ่นพี่คนนึง แล้วเค้าก็รู้จักกับผู้กับกำที่ชื่อพี่ กานต์ ศิวโรจน์ คงสกุล ที่กำกับเรื่อง “ที่รัก” แล้วทีนี้พี่กานต์เขามีโอกาสได้ไปร่วมโปรเจคกับเมืองจีน เป็นการร่วมมือกันของผู้กำกับ 4 คน มีผู้กำกับจีน 2 คน สิงคโปร์ 1 คน แล้วก็มีไทยที่ได้ร่วม ทีนี้เขาก็หาเด็กไทยที่พอพูดภาษาจีนได้ มีคาแรคเตอร์ที่เขาสนใจ ตรงกับบทที่เขียน แล้วพี่กานต์ก็แนะนำให้ไปแคสดู ส่งเทปไปให้ที่เมืองจีน แล้วเขาก็สนใจเลยเรียกมา

ถือว่ามีกำแพงภาษา ยากไหม

ยาก เหมือนอยู่ในกองอาเซียนมาก ไทย อังกฤษ จีน พูดกันอยู่อย่างนี้ บางทีหันไปแปลภาษาจีนให้คนไทย บางทีหันไปแปลภาษาอังกฤษให้คนจีน บางทีแบบ โว้ะ (หัวเราะ) พูดจนเบลอ มันไม่รู้ว่าหน้ามองใครพูดภาษาอะไรดีวะ คือมันเยอะไปหมด แล้วมันยากตรงที่ภาษาจีนละเอียดอ่อน มันคล้ายภาษาไทยเช่น เราพูดภาษากลางมันจะต่างกับภาษาอิสาน หรือภาษาเหนือ แล้วคนจีนที่ถ่ายด้วยมี จีนไต้หวัน จีนแมนดาริน ซึ่งสำเนียงที่เค้าต้องการคือจีนแมนดาริน แล้วสิ่งที่แพตได้กับพระเอกได้คือจีนไต้หวัน คือเค้าเปรียบเปรยว่ามันเหมือนคนพูดเหน่ออะ พูดเหน่อกันอยู่สองคน หลายเทคมากที่จะพูดให้ชัดและเหมือนที่เขาต้องการ ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าอะไรคือการที่ต้องยกเสียงขึ้นแบบนั้น (หัวเราะ) ที่ถ่ายเทคนั้นคือจำอย่างเดียว มันไม่เข้าใจ มันฟังไม่ออกอะ แพตแค่รู้สึกว่ามันเป็นภาษาเดียวกันแต่เขาเป็นคนท้องถิ่นไง ยากมาก3

มีงานจากต่างประเทศมาอีกไหม

ก็มีคนเมลมา เกี่ยวกับงานโฆษณา งานถ่ายแบบ แต่ก็ด้วยเรื่องคิวเวลา สิ้นปีไปที่เมืองจีนเหมือนเดิม

ทำไมถึงมาเล่น “I See You”ได้

เป็นคำแนะนำจาก พี่ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์ เพราะเคยร่วมงานกับพี่ย้งมาก่อนในเรื่อง “อยู่ที่เรา” แล้วพี่เค้าก็แนะนำแพตให้กับโปรเจคนี้ คือมันเป็นโปรเจคที่ผู้ใหญ่เค้าก็คุยกันมานานแล้ว

คาแรกเตอร์ในเรื่องเป็นคนแบบไหน

แพตกับไพรินไม่เหมือนกันเลย ไพรินโตมาก ๆ เป็นพยาบาลที่จบแล้วกำลังฝึกเป็นพยาบาล ก็น่าจะช่วงอายุ 24-26 ประมาณนี้ นิ่ง บุคลิกน่าเชื่อถือ ดูเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็พูดชัด

แล้วตอนนี้แพตอายุเท่าไหร่

20 (หัวเราะ)

ต้องรู้ศัพท์เกี่ยวกับการแพทย์ด้วย ถือว่าทำการบ้านหนักไหม

จริง ๆ ทำการบ้านหนักมาก เปลี่ยนแม้กระทั่งลักษณะการพูด ตั้งแต่เล่นจบเรื่องนี้แพตพูดชัดขึ้นมาก ก่อนมาเล่นเรื่องนี้แพตเป็นคนพูดจาไม่รู้เรื่องเลย คือเป็นคนขี้เกียจขยับปาก แล้วก็จะมีปัญหามากเวลาเข้าฉากกับพี่เป้ เพราะพี่เป้ก็พูดไม่ชัด แพตก็พูดไม่ชัด แล้วสองคนมาอยู่ด้วยกันก็ ก็จะแบบ “คัท ! เอาใหม่ พูดไม่ชัด” “คัท !” พี่เป้ชอบโทษแพตเว่ย บอกว่า “พูดชัด ๆ ดิ๊” อะไรอย่างนี้ เราก็ “เฮ้ย ! เดี๋ยว ๆ” (หัวเราะ)

ชอบฉากไหนมากที่สุด ในเรื่อง “I See You”

(คิดนาน) เรื่องมันยาวนะ จริงๆชอบตอนนี่เลยนะที่พี่ แหม่ม วิชุดา กับพี่ เจี๊ยบ เชิญยิ้ม ที่เล่นเรื่อง “เป็นต่อ” ชื่อ เจ๊มิ้นกับพี่ยม เขาเป็นแขกรับเชิญมาเล่นเรื่องนี้ ตอนที่ 5 ก็ใกล้จะเข้าแล้ว รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องราวที่น่ารักมาก ๆ อะ ตอนเล่นก็อินร้องไห้ตามซึ่งไม่ใช่บทเราที่ต้องร้อง (หัวเราะ) ชอบมาก ๆ คือถ้ามันเกิดขึ้นกับชีวิตคนเราจริง ๆ หรือว่ามันเป็นเรื่องจริงคงอะเมซิ่ง มันเป็นความน่ารักที่อบอุ่นมาก ต้องคอยติดตามตอนต่อไปนะคะ ขายงานค่ะ (หัวเราะ)

สนิทกับใครมากที่สุดในกอง

จริง ๆ แล้วสนิทกับเบลล์ (เขมิศรา พลเดช) เหมือนคุยกับมันรู้เรื่องมากกว่า แต่ว่าเข้าฉากกับพี่เป้บ่อยก็สนิทกับพี่เป้เหมือนกัน

มีฟีลที่เราอินกับบทจนเผลอใช้ในชีวิตจริงไหม

เรื่องการพูดนะ แม่ชอบมาก แม่บอกว่า “เฮ้ยดีว่ะ พูดชัด พอกลับมาแล้วมันมีประโยชน์น่ะดี” (หัวเราะ)

กระแสตอบรับ

ตอนแรกไม่ได้คาดหวังเรื่องกระแสตอบรับ พอเราไม่ได้เทความคาดหวังไว้มันก็ออกมาดี ผิดคาดเหมือนกัน พอเหนื่อย ๆ มาฟัง feedback มันก็รู้สึกชื่นใจ สบายใจ มันก็ไม่ได้มีคนชมทั้งหมดนะ คนด่าก็มี คือจริง ๆ เราก็ไม่รู้สึกโกรธเว่ย ก็เป็นเรื่องดีที่เค้าด่า มันอาจเป็นจุดที่เรามองไม่เห็นด้วย แต่บางทีเขาก็ด่าเพราะเขาอินกับบทเกิน ตอนนี้ก็รู้สึกว่าเออดีว่ะ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในจุดนั้น ๆ

เชื่อเรื่องผีไหม

เชื่อ เชื่อว่าเรื่องพวกนี้มันมีจริง ๆ เราไม่เห็นแต่มันเป็นแค่ความรู้สึกที่ชัดมาก ๆ ผู้หญิง สูงเท่านี้ เสื้อแบบนี้ สีนี้ มายืนอยู่ตรงนี้ แต่หันไปแล้วจะไม่เห็น คือมันมีเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ทำให้รู้สึก เคยได้ยินว่าถ้าสมมติว่าคนเราเคยเห็นความตายต่อหน้าต่อตา ในวินาทีที่เค้าตาย แล้วหลังจากนั้นมาเราจะมีโอกาสเห็นหรือรู้สึก ก็ไม่รู้เหมือนกันอาจจะคิดไปเองก็ได้ มันเป็นเรื่องของความรู้สึกหลาย ๆ อย่าง

จากที่รับบทพยาบาล คิดว่าเจอคนไข้แบบไหนน่ากลัวที่สุดในชีวิตจริง

ตอนเด็ก ๆ แพตเข้าโรงพยาบาลบ่อยมาก มาย้อนคิดว่าถ้าเราเป็นพยาบาลแล้วเจอตัวเองแบบตอนนั้นคงไม่โอเค (หัวเราะ) เป็นคนป่วยบ่อยมาก ๆ ต้องได้รับการฉีดยาเป็นประจำ แล้วมันเป็นธรรมดาระหว่างเด็กกับเข็มฉีดยาเป็นสิ่งต้องห้าม คือเจอปุ๊บ “แอด !” (ทำมือกากบาท) พยาบาลวิ่งตามเป็นสิบเลยนะ มันน่ากลัวมาก คิดว่าถ้าเจอเด็กแบบนี้เองคงแบบ “เออมึงวิ่งไปเลยให้มึงเหนื่อย” (หัวเราะ) แต่ว่าพยาบาลกลุ่มนั้นเค้าก็วิ่งตามเรา จับกลางที่จอดรถแล้วฉีดตรงนั้น เลยกลัวพยาบาลตอนเด็ก ๆ กลัวมาก

แล้วตอนนี้ได้มาเล่นเป็นพยาบาลเอง

พอได้รับบทแล้วเข้าใจเลย เป็นพยาบาลแล้วเป็นได้ทุกอย่างในโลก เขามีอะไรให้ทำเยอะมาก เคยไปรีเสิร์ชที่โรงพยาบาล เขาทำทุกอย่างแม้กระทั่งอุ่นข้าว เตรียมข้าว เตรียมยา ตื่นนอน พับผ้าห่ม พาคนไข้ไปอาบน้ำ ทำทุกอย่าง ดูเหนื่อย พลีชีพเพื่อผู้ป่วย น่านับถือมาก

แวบนึงเคยคิดอยากเป็นพยาบาลไหม

เป็นเด็กที่เวลาใครถามว่าอยากเป็นอะไรจะตอบไม่ได้ แม่ก็บอกเหมือนกันว่า แกไม่เคยตอบว่าอยากเป็นอะไร เป็นเด็กอยู่ไปวัน ๆ มากเลย มองไปแล้วไม่รู้ว่าอนาคตมันเป็นยังไง (หัวเราะ) ไม่รู้ทำไมถึงโตมาเป็นแบบนั้น ซึ่งต่างกับน้องชายมาก ๆ ที่เลี้ยงมาเหมือนกัน แต่น้องมันมีเป้าหมายก้อนใหญ่ ซึ่งนี่แบลงค์มาก

ถ่ายละคร ชีวิตคือหนัก แต่พอเวลาคนเรามันได้ทำอะไรที่สนุกแฮปปี้ คือเรื่องเหนื่อยมันจะจิ๊บจ๊อยไปเลย

แล้วทำไมถึงเข้ามัณฑศิลป์

พอโตมาก็เริ่มรู้ว่าสิ่งที่อยู่แล้วมีความสุข ชอบมากที่สุด อยู่กับมันได้นานที่สุด ทำได้นานที่สุด แล้วก็ทำได้ดีที่สุด คืองานออกแบบ วาดรูป หรือเกี่ยวกับงานศิลปะประเภทที่ชอบ พออยู่กับมันแล้วโอเค จริง ๆ รู้ตัวตั้งแต่ม.ต้นแล้ว แต่ยังไม่คิดว่าเราจะต้องจริงจังมาก รู้สึกว่าเล่น ๆ ไปก่อน พอช่วงม.4 เพื่อนเริ่มเครียดว่าเรียนไรดีวะ เราก็ต้องเครียดบ้าง อนาคตเอาไงดีวะ ก็เริ่มหาว่าถ้าจะเรียนด้านนี้ต้องทำยังไง แล้วจะเข้ามหาลัยไหน พอเริ่มไปติวศิลปะ ติวตั้งแต่ช่วงขึ้น ม.4 แล้วพี่เค้าก็แนะนำมหาลัยต่าง ๆ มา

เราเล็งศิลปากรเป็นที่แรกที่เดียวเลยใช่ไหม

ใช่ค่ะ ไม่ได้มองที่อื่นไว้เลย

แล้วอย่างนี้ตอนม.ปลายเรียนสายอะไรมา

โห เปลี่ยนมาเยอะมาก ตอนแรกเรียนห้องคำนวณเพราะแม่ขอ จะมุ่งไปทางบัญชี เรียนปุ๊บสองอาทิตย์แรกสอบตกทุกอย่าง เรียนแล้วมันเหมือนภาษาต่างดาว (พูดภาษาต่างดาว) ไม่ใช่เรียนไม่ได้แต่ไม่ชอบ พอไม่ชอบปุ๊บสมองมันปิดกรอบทันที แล้วก็ย้ายไปเรียนห้องภาษาจีน ด้วยความที่ว่าพื้นฐานเคยเรียนมาอยู่แล้ว พอเรียนไปมันทนไม่ไหวอะ ต้องมานั่งเรียนนับหนึ่งถึงสิบในหนึ่งอาทิตย์ ถ้าสมมุติเราไปเรียนภาษาไทยกับคนต่างชาติที่จะต้องมานับหนึ่ง สอง สาม มันจะเกิดความหงุดหงิดทันที และเราก็ไม่ได้คิดอยู่แล้วว่าจะต้องไปสายอักษรหรือภาษา ทีนี้ก็ไปหาครูแนะแนวบอกให้ย้ายไปห้องศิลปะ สุดท้ายก็ไปเรียน อังกฤษ – ศิลปะ เป็นเอกที่เลือกสุดท้าย คุยกับพ่อแม่ว่า เรียนอันนี้แหละ เพื่อที่จะเข้าคณะนี้ สอบปีนี้ อย่างนี้ ข้อมูลแน่น แบบจะเอาแน่นอนมาก4

จบจากโรงเรียนอะไร ทำไมมีอังกฤษ – ศิลปะ

อยู่วัฒนาวิทยาลัยค่ะ คือมันจะมีโรงเรียนที่บังคับวิทย์ คณิต มีแค่ 2 อย่าง หรือ 3 อย่างให้เลือก คือโหดมาก เพราะเพื่อนที่ติวด้วยกัน โรงเรียนบังคับให้เลือกสองห้องคือ วิทย์ – คณิต คณิต – อังกฤษ ซึ่งมันหนีไม่ได้เลย แล้วเพื่อนมันเรียนหนักมาก ติวก็หนัก เลขต้องทำช่วงสอบ เรียนเลขเหมือนภาษาต่างดาวมาก

งานไหนที่คิดว่าสนุกที่สุดเท่าที่เคยรับมา

เท่าที่เคยรับมาเลยหรอ (คิด) คือมันสนุกกันคนละแบบนะถ้าเทียบกันสองเรื่อง “อยู่ที่เรา” สนุกมากตอนที่ไปซ้อมสนามซ้อมของยามาฮ่า เพราะว่าครูที่สอนเขาให้ลองหมดเลย “ครูหนูอยากลองเครื่องนี้ พันห้า สองพันห้าร้อย” เขาก็ถอยออกมาจากโรงให้แล้วก็ขับกันอยู่อย่างนั้น สนุกมากที่ได้ไปขี่มอเตอร์ไซค์ ชีวิตนี้แม่คงไม่อนุญาตให้มาทำไอะไรแบบนี้ รู้สึกว่า สักครั้งวะ แล้วอย่างเรื่อง “ I See You” โอ มันยากนะ ได้ปลอมตัวเป็นพยาบาลเพื่อให้คนเชื่อว่าเป็นพยาบาลจริง ๆ แล้ว feedback คือเชื่อว่าดูเป็นพยาบาลจริง ๆ มันสนุกนะตรงที่เราสะใจว่า จริง ๆ คนเราก็ปลอมตัวได้ไม่ยากเหมือนกันเนอะ (หัวเราะ) จริง ๆ การแสดงมันคือการปลอมตัวให้เราเป็นอีกคนนึงในระยะเวลานึง ถ้าคนเชื่อแปลว่าคุณ success แต่ถ้าคุณไม่เชื่อแปลว่าคุณ failed แล้ว มันคือความสะใจ มันคือความสนุกส่วนตัวของแพต สามารถพูดได้ไหมเรื่องสนุก พูดดูเป็นคนเลวเนอะ (หัวเราะ)

ระหว่างการแสดง กับงานออกแบบ ชอบแบบไหนมากกว่า

จริง ๆ ขอเกริ่นว่า ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตจะต้องมาทำงานในวงการ ขึ้นปี 1 มาก็ยังไม่ได้ทำอะไร มั่นใจมาก โอเคติดคณะนี้ปุ๊บ ไปเป็นนักออกแบบ แล้วพอขึ้นมา ก็มีสังคมใหม่ เจอคนใหม่เยอะขึ้น รุ่นพี่ก็แนะนำ พอเริ่มมีโอกาสได้เข้ามาทำงานในวงการ ก็ทำไปเรื่อย ๆ ทำไปให้มันดี ให้สนุก โดยที่ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องไปถึงจุดนี้ แล้วพอได้ลองทำอะไรที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะได้ทำ มันก็เลยเป็นคำถามที่ย้อนกลับมาว่า “ทำไมเราไม่เคยคิดว่าเราจะทำวะ เราก็ทำได้นี่” แล้วมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น มันเป็นเรื่องโอกาสด้วยมั้ง ที่เราได้มาทำอะไรตรงนี้ จริง ๆ มันสนุกกว่าที่เราคิดเยอะ เหมือนเราได้ทำอะไรอีกอย่างหนึ่งที่เราไม่เคยทำ มันสามารถเปรียบเทียบได้ไหม มีเพื่อนบางคนเรียนอันนี้เสร็จแล้วไปเรียนอีกมหาลัยหนึ่ง มหาลัยราม เพื่อจะได้หลาย ๆ อย่าง คือแพตก็รู้สึกว่า มันก็เป็นการเรียนรู้อีกอย่างนึง ถ้าถามว่าชอบอันไหนมากกกว่ากันหรอ มันเทียบไม่ได้อะ เพราะ process ต่าง ๆ กว่าจะเริ่มจนจบไม่เหมือนกันนะ มันคืองานศิลปะเหมือนกันแต่คนละเส้น

จัดเวลายังไงไม่ให้ชนกับเรื่องเรียน

รู้สึกว่า พี่ที่จัดคิวเวลาออกกอง ถ่ายละคร ค่อนข้างช่วยมากๆเลย ให้เราไม่เสียเรียนด้วย ก็คือเราเอาตารางสอนไปให้เขาเลย “พี่ หนูว่างอันนี้ ๆ วิชานี้โดดได้” คือวิชาหนึ่งมันจะโดดได้สามครั้ง เขาก็ติ๊กไว้เลย เราก็ต้องมีความรับผิดชอบ ถ้าไม่ได้ไปถ่ายงานห้ามโดดเด็ดขาดไม่งั้นโควต้าจะไม่ครบ เราก็จะรับผิดชอบไปเรียนทุกครั้ง ห้ามสาย ห้ามขาด เราก็เอาโควตานั้นไปถ่ายงานด้วย เพื่อไม่ให้เสียทั้งสองอย่าง ซึ่งโอเคมันก็ไม่ได้ดีหรอก แต่เราเต็มใจที่จะทำแบบนั้น แล้วอีกอย่างนึงมีเพื่อนดีด้วย ช่วยมาก ๆ วันที่เราไม่ได้ไปมันก็เก็บงานให้แล้วก็บอกว่ามีงานอะไรสอนอะไร ส่วนใหญ่แล้วของแพตไม่ต้องเลคเชอร์ รับแอดซายเม้นกลับบ้านทำ คือโดดได้ สมมติว่าวิชานึงโดดสามครั้งแล้ว สามครั้งนั้นเรารับ assignment แล้วเอามาทำ คือคุยได้ พี่เขาก็ช่วยมาก ๆ เลย รู้สึกว่าช่วยกันแล้วมันเกิดประโยชน์อย่างนี้ก็ดี

งานอดิเรก 

คือถ้าอย่างช่วงที่เปิดเทอมก็จะถ่ายซีรีส์ เวลาว่างทั้งหมดคือทำการบ้าน ไม่มีเวลาได้ทำอย่างอื่นเลย คือทำการบ้านเสร็จนอน บางทีไม่ได้นอนไปส่งงานเลย ถ่ายละคร ชีวิตคือหนัก แต่พอเวลาคนเรามันได้ทำอะไรที่สนุกอแฮปปี้ คือเรื่องเหนื่อยมันจะจิ๊บจ๊อยไปเลย โอเคมาก ๆ แต่ปิดเทอมแล้วก็โอเคนะ มีเวลาได้ทำอะไรเป็นส่วนตัวมากขึ้น เช่น นอนมากขึ้น นอนนี่สามารถนับเป็นงานอดิเรกได้ปะ (หัวเราะ)

คิดว่าคนอื่นที่ไม่รู้จักเค้ามองเราเป็นคนแบบไหน

ไม่ต้องคิดเลยนะ มีคนร่วมงานมาบอก ซึ่งตอนแรกที่ยังไม่ได้คุยกัน คาแรคเตอร์โดยรวมเวลาไม่สนิทจะเป็นอีกคนนึง จะนิ่ง ไม่พูด จริงๆที่ไม่พูดก็คือคิดเรื่องอื่น จินตนาการนู่นนี่ แล้วคนอื่นชอบมองว่า น่ากลัว หน้าจิก หน้าเจ๊ เดินเข้าไปทักแล้วจะหันมาด่า ขี้วีน ขี้เก๊ก คิดว่าหน้าหยิ่ง ซึ่งพอสนิทแล้วทุกคนจะพูดเหมือนกันว่า “กูไม่น่ารู้จักมึงเลย” (หัวเราะ)

แล้วคิดว่าตัวเองเป็นคนยังไง

ไม่สามารถจำกัดความได้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน (หัวเราะ) ชอบหัวเราะแค่นั้นแหละค่ะ รู้สึกแปลกนะเวลามีคนถามว่า “เป็นคนยังไงคะ ไหนแแนะนำตัวเอง” แล้วให้ตอบแบบนางงามคือมันแปลก ใครจะไปพูดว่า “เป็นคนสดใสค่ะ” (ยิ้ม) เป็นคนชอบตั้งคำถาม ชอบหัวเราะ ขี้บ่น มีแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้นเลย

ตอนนี้โสดไหม

(พยักหน้า) จะใช้คำว่าไรดี (คิด) เป็นคนคุยที่ไม่ได้มีสเตตัสนึกออกไหม คือไม่ได้ผูกมัดอะไรอย่างนี้ค่ะ

มีสเป็กตายตัวไหม

ไม่มีสเป็กตายตัว แต่อย่างหนึ่งที่ชอบเลยคือชอบคนที่ โตกว่า ไม่ใช่แก่แบบรุ่นพ่อนะ แต่ต้องมีวุฒิภาวะมากกว่า เอาเป็นว่าคุมเกมได้

หมายถึงคุมเกมแพต

ใช่ (หัวเราะ) ถ้าเป็นผู้นำได้ก็โอเค ชอบคนเก่งค่ะ

จริง ๆ การแสดงมันคือการปลอมตัวให้เราเป็นอีกคนนึงในระยะเวลานึง ถ้าคนเชื่อแปลว่าคุณ success แต่ถ้าคุณไม่เชื่อแปลว่าคุณ failed แล้ว

5

ถ้าเกิดว่าไม่ได้มีงานแสดง ไม่ได้เรียนทางนี้ อยากทำอะไรอีก

เคยคิดนะ มันก็อยู่ในงานออกแบบอยู่ดี จริงๆก่อนที่จะติวกราฟฟิกอยากเรียน interior design ตอนแรกก็ติวอันนี้แหละ พอเข้ามาในมหาลัยที่คณะ ก็ไปดูว่าเขาเรียนอะไร ยังไง ส่งงานอะไร ชีวิตจริงทำงานอย่างไร คือกลับบ้านไปเครียดเลย ทำอย่างนี้ไม่ได้แน่ ๆ มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเลย วาดสวย ๆ แล้วเขียนคอนเซป วาดแปลนโง่ ๆ คือไม่ใช่อย่างนั้น เลยคิดว่า “เฮ้ย ไม่ใช่ละ” คือด้วยความคิดตอนนั้นมันเด็ก ๆ แค่คิดว่าทำไม่ได้ก็เปลี่ยนแล้วอะ ไม่ค่อยสู้ เลยย้ายไปเรียนกราฟฟิก แล้วก็อยู่กราฟฟิกมาตั้งแต่นั้น เลยคิดว่ายังคงอยากไปทำอินทีเรียอยู่ดี เพราะชอบแต่งห้อง ชอบซื้อหนังสือที่เกี่ยวกับอินทีเรีย ชอบมาก ๆ มันมีเป้าหมายอีกก้อนในชีวิตเหมือนกัน อยากทำโฮสเทล โรงแรมเล็กๆ มี 7-8 ห้องแค่นี้ ทำเองทุกอย่าง อยากทำมาก ถ้าไม่ได้ทำคงไปเรียน Le Cordon Bleu อยากทำอาหารเป็น สกิลในการทำอาหารถ้าติดเกาะก็ตายอะ (หัวเราะ) จริง ๆ หัดแล้วนะ พยายามแล้ว ที่เก่งที่สุดคือฉีกน้ำมันเจียวในมาม่าแล้วไม่เลอะมือแค่นั้น ต้มมาม่ายังไม่อร่อยเลย คือคนที่มันไม่มีความสามารถหรือสกิลด้านทำอาหารก็คือไม่มีจริง ๆ ซึ่งคนที่ทำได้หรือพอทำได้มันจะไม่เข้าใจอะ เวลาที่คนมันพุดว่า “เฮ้ย แค่ตอกไข่ทำไมไม่ได้วะ” มันก็จะมีคำถามมันก็ย้อนกลับมาว่า “แล้วทำไมกูทำไม่ได้วะ” (หัวเราะ) คนที่ทำไม่ได้มันเครียดนะ มันเป็นเรื่องโง่ ๆ แต่มันยากจริง ๆ

ฝากผลงาน

ก็จริงๆโปรเจคที่ผ่านมาแล้วมี “อยู่ที่เรา” “ I See You พยาบาลพิเศษ..เคสพิศวง” ถ้าใครยังไม่ได้ดูก็กรุณาเลย ที่ Line tv แนะนำให้ดูค่ะ ค่อนข้างเป็นเรื่องราวดีๆที่ เป็นซีรีส์ที่บ้านเราไม่ค่อยทำ แล้วก็โปรเจ็ก H ของ GDH ซีรีส์เรื่องราวของ 4 เรื่องที่มีผู้กำกับ 4 คน อยากให้ติดตามทุกเรื่องเลย แล้วแพตเชื่อใจว่ามันจะออกมาดีแน่นอน คนจะชอบหรือไม่ชอบก็อย่าเพิ่งคิดไปไกลนะอยากให้ลองดูก่อน รู้สึกว่าบ้านเราไม่ค่อยมีคนเอาเรื่องเกี่ยวกับกีฬามาทำเนอะ แค่พูดมันก็น่าสนใจแล้วอะ ฝากติดตามด้วยค่ะ แล้วก็ (คิด) ไม่มีอะไรแล้วแหละ ผลงานหมดแล้วค่ะ ชีวิตมีแค่นี้แหละ (หัวเราะ)

ซีรีส์นี้แพตไปเล่นด้วยใช่ไหม

ไม่ค่ะ เค้าเรียกว่าของครอบครัวต้องช่วยกันโปรโมท นี่เหมือนฝากร้านไง ฝากร้าน GDH ด้วยค่ะ (หัวเราะ)

แต่ไอจีแพตไม่รับฝาก

รับฝากค่ะแต่ไม่ตอบ (หัวเราะ) ชอบมีคนมาฝากร้านทำจมูก ครีมลดขนต้นขา (หัวเราะ) ตลกอะแต่บางทีเราก็ไปตอบเขานะ “ขอบคุณค่ะ” รู้สึกเป็นคนนิสัยไม่ดี

ฝากถึงคนอ่านหน่อย

อ่านแล้วก็อย่าเพิ่งคิดว่าแพตเป็นคนบ้า จริง ๆ แล้ว..(คิดนาน) ไม่นะ หนูปกติอะ (หัวเราะ) เมื่อกี้ที่สัมภาษณ์ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะที่สละเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ มาอ่านอะไรก็ไม่รู้ที่เราพูดไป เราจะไม่ให้เวลาเหล่านั้นคืน คุณพลาดแล้ว (หัวเราะ)

Facebook Comments

Next:


Sarun Pinyarat

ท้อป ศรัณย์ ภิญญรัตน์ เคย: เรียนออกแบบที่ไทยและฟินแลนด์ / ทำงานที่ Startup ใน Sillicon Valley ชอบ: ฟังเพลง / ดูหนัง / อ่าน / การเล่าเรื่อง / บูมบูม เป็น: ผู้ก่อตั้งฟังใจ / นักออกแบบ / คนคิด / คนเจรจา / คนลงมือทำ / นักเขียนจำเป็น