Feature เห็ดหูหนู

Toktak Suthee Playlist

  • Writer Gandit Panthong
  • Photographer Nattanich Chanaritichai

Togtag’s Playlist

“10 เพลงนี้ต๊อกแต๊กแบ่งเป็นเพลงพาร์ตกะเทยกับเพลงที่ฟังทั่วไป ซึ่งเพลงพาร์ตกะเทยก็เป็นเพลงเต้น ๆ เริ่มที่…”

Destiny’s ChildLose My Breath

“เป็นเพลงแรกที่เราดูตอนเด็ก ๆ ประมาณม.หนึ่งมั้ง แบบ อุ๊ย Beyoncé ก็เริ่มฟังต่อ ๆ มาจากอันนี้ การฟังเพลงของเรามันไม่ใช่แค่ฟัง แต่จะทำให้เรานึกถึงช่วงเวลานั้นด้วยว่าเราฟังอันนี้ครั้งแรกเมื่อไหร่ ซึ่งลิสต์เพลงวันนี้ที่เราเลือกมาคือเราจำได้ว่ามันเกิดขึ้นในช่วงไหนของเรา แล้วเพลงส่วนใหญ่ที่ฟังเราก็ชอบดู mv ไปด้วย”

Britney SpearsToxic

“เป็นเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกว่าทำไมมันแรดได้ขนาดนี้ ดูแล้วอยากเต้นตาม”

Beyoncé – Listen

“เพลงประกอบหนัง Dream Girls เราชอบดูหนังที่มันร้องเพลง นี่ก็เป็นเพลงที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นตัวตนของ Beyoncé ดูแล้วอินกับหนังด้วย มันเชื่อมโยงกัน ชอบเวลาเขาร้องในคอนเสิร์ตที่เขาเล่น เราดูก็อินทุกครั้ง ฟังแล้วน้ำตาไหลได้”

แคทรียา อิงลิชO.K.นะคะ

“ถ้าเปิดเพลงนี้คือเพื่อนเราต้องลุกขึ้นเต้นทุกคน เป็นเพลงที่ฟังตั้งแต่เด็ก ถ้าเป็นตุ๊ดจะเข้าใจเพลงนี้มาก ๆ เหมือนฟังกันจนฝังในซีรีบรัมไปแล้ว ฟังจนแกะท่าเต้นได้ ถ้าอยู่กับเพื่อนในกลุ่มกะเทยก็จะมีเพลงนี้ขึ้นมาบ่อย ๆ ในเพลย์ลิสต์ชีวิตของเรา เราโตมากับอะไรอย่างนี้ แล้วเพลงนี้มันพีกสุดในกลุ่มเรา”

GENE KASIDIT – เก็บคำว่ารัก (ONS)

“เราฟังพี่จีนครั้งแรกตอนเราอยู่ปีหนึ่ง เขามาร้องในหอประชุมคณะอะ ตอนแรกเป็นเพลงภาษาอังกฤษแรก ๆ ของเขา ซึ่งเราก็ไม่รู้เรื่อง แต่รู้สึกว่าทำไมเขาแรงดีอะ แปลกดีจัง ตอนนั้นเขาเริ่มแต่งหญิงแล้ว แต่ยังไม่ได้แรงจัดเท่าตอนนี้ แล้วก็ตามเขามาเรื่อย ๆ จนหลัง ๆ เขาออกเพลงเป็นอิเล็กทรอนิกป๊อปที่เราฟังง่ายขึ้น เข้าถึงง่ายขึ้น เนื้อหากับ mv เราก็ชอบ ครั้งนึงเราเคยไปข้าวสารแล้วใส่วิกแบบในนั้น แต่งตัวอย่างนั้นไปงานวันเกิดเพื่อน มโนว่าเป็นแบบใน mv”

Petite Meller Backpack

“เพลงนี้เราฟังช่วงปีนี้ ที่หัวทอง แต่งหน้า แต่งตัวจัดจ้าน mv สวย ๆ เราชอบมาก แต่ที่มันติดหูและหยิบเข้ามาในเพลย์ลิสต์นี้เพราะมันเป็นเพลงที่เราไปใช้ทำงานแฟชั่นโชว์เล็ก ๆ งานนึง แล้วมันต้องออกต่างจังหวัดหลาย ๆ ที่ แล้วใช้เพลงนี้ตลอด ก็กลายเป็นเพลงที่ติดหูไปเลย ฟังกันจนเกลียดอะ แบบ โอ๊ย (หัวเราะ)”

Greasy Cafeสิ่งเหล่านี้

“เราฟังตอนเข้าปีหนึ่งแรก ๆ แล้วเราก็มาอยู่หอคนเดียว ด้วยความที่เบื่อ ไม่มีอะไรฟัง ก็คุยกับเพื่อนผู้ชายคนนึงว่ามีเพลงให้ฟังไหม เขาก็เอาธัมบ์ไดรฟ์อันนึง มีลิสต์เพลงของเขามาให้เราฟัง เราเปิดแล้วมาสะดุดกับเพลงนี้ ฟังแล้วชอบ ทั้งเนื้อหา แล้วเขาก็เป็นคนเสียงเท่ ก็ตามฟังเพลงของเขามาเรื่อย ๆ”

ป๊อป ปองกูลระหว่างที่รอเขา feat. ธีร์ ไชยเดช

“ทั้งพี่ป๊อปและพี่ธีร์เขาก็เสียงมีเอกลักษณ์อยู่แล้ว แล้วเนื้อหาเพลงก็ใช่ mv นี้เราก็อินมาก เพราะช่วงนั้นเราเล่นละครเวทีตอนปี 4 เป็นธีมโรงพยาบาลบ้า ซึ่งใน mv ก็เป็นคนที่มีอาการทางจิต อินกับพี่ที่เขาเล่นด้วย ซึ่งจริง ๆ พี่เขาจะมีส่วนร่วมใน mv เพื่อนรัก ที่เราเล่นด้วยแหละ แต่ว่าที่ถ่ายไปมันไม่ได้เอามาใช้เพราะตอนแรกเขาคุยกันว่าเขาจะเอาช่วงนี้ไปเป็นทีเซอร์ของเพลง เป็นช่วงที่เราต้องพบจิตแพทย์ก่อนว่าคุณพร้อมแล้วหรือยังที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง พี่เขาจะเล่นเป็นหมอ แล้วมันอาจจะเวิ่นเว้อหรืออะไรสักอย่างก็เลยไม่ได้ใช้ แต่เป็นซีนที่ให้ความรู้สึก real เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีในนั้น”

ภูมิจิตด้วยความเคารพ

“เราได้เพลงของภูมิจิตมาตอนฝึกงานที่ Hamburger ตอนปี 3 แล้วมีวันนึงที่เขาเคลียร์ห้องทำความสะอาดกัน มันเป็นออฟฟิศเก่าที่เอกมัย 10 อะ ของมันรกมาก มันมีทุกอย่างเยอะมากที่สำนักพิมพ์ได้ของมาจากลูกค้า ศิลปิน มีรูปสมัยเขาถ่ายใช้กล้องฟิล์มกันก็ยังมีเก็บไว้ ก็มีภูมิจิตติดมาพร้อมลายเซ็น แผ่นชาวนาใหญ่ ๆ เราก็อยากได้ เพราะเคยเห็นเขามาเล่นที่คณะ ตอนแรกเราก็ไม่สนใจเพราะเข้าไม่ถึงเพลงผู้ชาย ๆ แล้วเราก็ไล่ฟังเพลงของเขาเรื่อย ๆ แล้วมันตรงกับชีวิตตอนนี้ด้วยนิดนึง”

Room 39อย่าให้ฉันคิด

“เป็นเพลงที่เพิ่งได้ฟังในช่วงนี้แล้วชอบ ชอบ mv ยังไงดีล่ะ ความเป็น Hello Filmmaker มันเป็นลาดกระบังหมดเลยอะ ทุกคนในเรื่องนั้นคือเด็กลาดกระบัง มันเลยเข้าใกล้เราได้ง่ายมั้ง คนที่อินกับคณะก็จะอินกับการเห็นคณะตัวเอง เป็นอะไรที่ตลกดีเหมือนกันเพราะมันไม่ใช่แค่ mv นี้ มันมีหลาย mv แล้วอะ เพลง ขอ ก็ใช่ คนพวกนี้ที่มันอยู่อย่างนี้ก็น่าจะได้มาเจอกันในสักเพลงเหมือนกันนะ คือทำไมเรื่องมันเกิดอยู่แค่ตรงนี้หมดเลย (หัวเราะ)”

*extra*

พลพลอุ่นใจ

เป็นเพลงเดียวที่เราเคยได้ยินแม่เราร้อง เพราะแม่เราเป็นคนไม่ร้องเพลง แล้วเขาชอบฟังพลพล กับพี่เบิร์ด ซีดีคอนเสิร์ตพี่เบิร์ดเป็นกิจกรรมวันหยุดของครอบครัวเราที่นั่งดูกัน เซอร์ไพรส์ที่แม่ร้องเพลงนี้

พงษ์สิทธิ์ คำภีร์คิดถึง

เป็นช่วงเวลานึงที่เราอยู่ปี 4 แล้วเราก็ทำธีสิส ช่วงที่คิดมาก ๆ ทำอะไรเยอะ ๆ งานรุมเร้าก็คิดถึงบ้าน แล้วแถวลาดกระบังมันก็มีร้านเหล้าชื่อร้านลัง จะเปิดเพลงเพื่อชีวิต แล้วอากาศหนาว ๆ ที่ลาดกระบังจะหนาวกว่าที่กรุงเทพ ฯ ประมาณนึง พอเราไปก็ฟังเพลง นั่งกินกับเพื่อน เป็นบรรยากาศที่เศร้าและอบอุ่นไปพร้อม ๆ กัน เพราะช่วงนั้นเราใกล้จะจบด้วย ทุก ๆ อย่างมันเลยอิน เป็นร้านบ้าน ๆ เลยนะ มียาดอง แต่มันดีมาก ตรงนั้นมันแฮปปี้ แต่เราชอบเวอร์ชันที่ร้องกับปาล์มมี่นะ

Exclusive Talk

static1-squarespace

“ต๊อกแต๊กค่ะ จบจากถาปัตย์ ลาดกระบัง ภาควิชานิเทศศิลป์ค่ะ ตอนนี้เป็นผู้ช่วยสไตลิสต์ แล้วก็ทำงานประจำเป็น content marketing ทำกราฟิกแล้วก็ดูแลเพจด้วย เกี่ยวกับศัลยกรรมนะ”

ศิลปินในดวงใจ

เราไม่มีอะ รู้สึกว่าชอบทุกคนเท่า ๆ กัน ไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษ

ชีวิตคลุกคลีกับดนตรีมากประมาณไหน

ก็คลุกคลีนะ เราตื่นมาเราก็เจอกับเพลงสารพัดแล้วอะ โฆษณายังมีเพลงเลย ข่าวเช้ามาก็มีเพลง ระหว่างทำงานเราก็ฟังเพลง มันก็แทรกซึมอยู่ในตัวเราตลอดเวลาอยู่แล้ว

งานแรกที่รับในวงการคืออะไร

จริง ๆ เราเริ่มจากเล่น mv ของเพื่อนในคณะ Two Million Thanks อะค่ะ เพลง 1.9 มิติ ตอนนั้นเราเรียนอยู่ปี 4 พี่พงษ์ Hello Filmmaker เนี่ยแหละเป็นคนกำกับ เขาก็อยากทำ mv ให้วงนี้ แล้วอยากให้เราไปเล่น ก็ลองไปเล่นดูไม่ซีเรียส ตลก ๆ งง ๆ แต่ตอนนั้นก็มีคนมาทักบ้าง เป็นคนที่ฟังเพลงวงนี้แหละ มันค่อนข้างเป็นดนตรีเฉพาะกลุ่ม คนทั่วไปก็ไม่ค่อยรู้จักเราหรอก

แล้วไปเล่น mv เพื่อนรัก ได้ยังไง

โปรดิวเซอร์เขาก็โทรมาว่าเนี่ย มี mv ตัวนึงอยากเล่นไหม เราก็ถามว่าเรื่องราวมันประมาณไหน ทำไมถึงเป็นเรา ในใจตอนแรกนึกว่าคงเป็น mv ตลกโปกฮาที่เอากะเทยไปเล่น แต่พอเขาเล่ารายละเอียด เป็นเพลงเศร้าของวง The Parkinson เราก็คุ้นกับเพลง จะบอกเธอว่ารัก ก็ไม่ได้คิดว่าจะเศร้ามาก ดราม่าเว่อร์ขนาดนั้น เราก็ เออ ลองดูก็ได้ค่ะ หลังจากวันนั้นอีกวันก็ไปคุยกับผู้กำกับ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะได้ เราไปฟังดูว่าเขามีแนวคิดยังไงที่จะทำเพลงนี้ ว่า เป็นกะเทยที่ชอบผู้หญิง เขาก็เปิดให้ดูว่าเคยหาคนนี้มา แล้วในสังคมคนที่เป็นแบบเรามันก็จะมีคนที่แต่งเป็นผู้ชาย แล้วเวลามีงานประกวดเขาจะแต่งเป็นผู้หญิงกัน ทีแรกพี่เขาคิดว่าจะเอาคนอย่างนี้มาเล่น คือในชีวิตจริงเป็นผู้ชาย แต่เวลาไปประกวดหรือทำกิจกรรมก็แต่งเป็นผู้หญิง ไม่ใช่คอสเพลย์นะ แล้วเขาก็ถามว่าเรามีความเห็นยังไง ถ้าในมุมมองของเรา เรายังมีความรู้สึกว่ารูปลักษณ์เขาก็เป็นผู้ชายอยู่ดี เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะให้มันดูแปลกก็คงต้องเป็นอย่างเราไปเลย หรือตอนแรกที่เขาบอกเรา เขาต้องการคาแรกเตอร์ที่มันดูเป็นผู้หญิงหรือเปล่า แต่เราไม่ได้ดูเป็นผู้หญิงขนาดนั้นนะจริง ๆ แล้ว เขาก็บอกว่าอยากได้แบบเราที่ก็ดูออกว่าเป็นกะเทย พี่เขาก็บอกว่าจะต้องมีฉากที่ค่อนข้างโป๊นิดนึงนะ โอเคไหม ก็นั่งคุยถก ๆ กันตรง ๆ ไปเลย ว่า ถ้าเป็นแบบนี้มันจะแปลกไหม อย่างฉากที่มีพันหน้าอกแล้วเอาวิกมาใส่ คนเรามันไม่น่าจะพกวิกเก็บไว้ เรากลัวว่าภาพลักษณ์ของกะเทยจะโดนมองไม่ดีด้วย แต่ว่ามันก็มีโอกาสเข้ามา เราก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจดี คือตลอดการทำงานก็จะมี screenplay ที่เขาคิดมาประมาณนึง แต่บางอันมันก็งอกออกมาหลังจากที่ถ่ายไปแล้ว

ความยากที่เจอในตอนถ่าย

อย่างแรกเลยคือมันเป็นช่วงที่ตอนเขาโทรมา อีกหนึ่งหรือสองอาทิตย์เนี่ยเราจะทำหน้าอกแล้ว เราก็ หือ จะรับงานได้ไหมวะ แต่ก็อยากเล่นนะ ก็คุยกับหมอหมอบอก 3 – 4 วันก็เดินเหินได้แล้ว ก็ลองดู เพราะมีเวลาเตรียมตัว 7 วันตอนจะถ่าย ก็ถามว่าต้องวิ่งหรือทำอะไรรุนแรงไหม เขาก็บอกไม่มี แต่ก็โอเคนะ ความยากอย่างนึงคือระยะเวลาเนี่ยแหละ แต่สิ่งที่ได้มาคือ ฉากที่ผ่าตัด เป็นฉากจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันก็กลายเป็น memory นึงในชีวิตเราไปเลยนะ mv ตัวนี้

ตอนเข้าบทรู้สึกขัดกับตัวเองไหม

ต้องบอกว่าเรามีพื้นฐานของการเล่นละครเวทีมาประมาณนึง การทำอารมณ์หรือสร้างความคิดได้ว่า โอเค เรารักคนคนนึงโดยที่เราไม่ได้มองว่าเขาคือเพศอะไร ความยากก็คือวันที่เรามาเจอ ไอ้พวกฉากที่เกิดขึ้นในหอพัก ฉากรัดหน้าอก ฉากจูบ มันเกิดขึ้นในวันแรก จูบคือไม่บอกมาก่อนว่าต้องมี แต่ก็คิดไว้แล้วแหละว่าอาจจะมี แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมี (หัวเราะ) ไม่รู้ว่ามันจะเป็น final ของ mv ส่วนวันที่ถ่ายที่คณะมันก็ชิลล์ไปแล้ว ทำลายกำแพงทุกอย่าง เพราะจูบไปแล้ว ฉากเล่นกันในคณะหรือไปนู่นไปนี่กันก็รู้สึกธรรมดาไปเลย เฉย ๆ

เคยเจอเหตุการณ์แบบใน mv ไหม

เราเคยเจอเพื่อนเราที่เป็นกะเทย แต่มีกะเทยทักมาจีบ เราก็รู้สึกว่ามันแปลกดี คิดว่ามันตลก ๆ แต่เขาชอบจริง ๆ ตอนนั้นเราก็เด็ก แล้วเราไม่เปิดรับ เราว่ามันบ้า ไม่ใช่ กะเทยกับกะเทยมันจะมาคบกันได้ไง เพ้อเจ้อหรือเปล่า แต่ทุกวันนี้มันมีให้เราเห็นเยอะมากว่า กะเทยคบทอม หรืออะไรแบบนี้ ซึ่งเขาก็แฮปปี้กันดี คือถ้าเขามีความสุข เราก็ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเรื่องของเขานี่ เขาก็ไม่ได้มาสนใจด้วยว่าเราจะไปมองเขายังไง อาจจะมีเกิดขึ้นได้จริงบ้างอยู่แล้วแหละ คนเราทางโลกอะไรจะเกิดขึ้นมันก็เป็นไปได้ แต่ถ้าส่วนตัวเราไปชอบเขา เรายังไม่ถึงจุดนั้น เรายังใฝ่หาผู้ชายอยู่ แต่ถ้ามีคนมาชอบเรา เราก็คงต้องมองแล้วว่าตัวเรามีอะไรให้เขามาสนใจ ทำไมต้องเป็นเรา แล้วถ้าเราได้คุยกันเราก็อาจจะเปิดใจให้เขาก็ได้ เรารู้สึกว่า เราแคร์ในการที่คนมาใส่ใจ ดูแล หรือทำอะไรให้เรามากกว่าที่เขาจะเป็นแบบไหน

static1-squarespace-1

มองเรื่องความหลากหลายทางเพศกับความสัมพันธ์ยังไง

มันก็เปิดกว้างจริง ๆ นะ แต่สุดท้ายก็เป็นเรื่องของคนสองคน คือถ้าเขาคุยกันแล้วตกลงกัน ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นรุกรับ ไม่สนใจหรอก ถ้าแฮปปี้ก็แฮปปี้ มันอยู่ที่การคุยกันแต่แรก ความหลากหลายนี้คนอาจจะมองว่ามันฉาบฉวย แต่ตัวเราก็คิดว่าถ้าต่างคนต่างพึงพอใจมันก็ไม่มีปัญหาอะไร

กระแสตอบรับจาก mv นี้

มีคนเข้ามาทัก มาถาม โน่นนี่นั่น ทั้งมาดีและมาไม่ดี เราก็เริ่มเข้าใจแหละ เราไม่อยากเอาเราไปเทียบกับดารา แต่คนที่กำลังเป็นกระแสอยู่ช่วงนึงก็คงต้องโดนอะไรแบบนี้ เช่นการโดนแอบถ่าย ที่กูก็เห็นนะ (หัวเราะ) บางทีมึงก็เข้ามาคุยกันเลยก็ได้ เคยเจอรอบนึงเหมือนโดนแอบถ่ายตอนนั่งรถกลับบ้าน แต่แชะใกล้หน้ามาก เราก็ เฮ้ย อะไรวะ ไม่ได้รู้สึกดีที่มีคนรู้จัก แต่รู้สึกว่าเราโดนคุกคามไปมั้ย แล้วเหมือนเอาไปหัวเราะกับเพื่อน มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรนะ คือเขาอาจจะยังเด็กหรือแยกแยะไม่ได้ เห็นอะไรเราถ่ายไว้ก่อน แต่บางทีเขาไม่ได้คิด ถ้าเป็นของหรืออะไรที่มันไม่มีความรู้สึกมันก็โอเค แต่นี่กูเป็นคนนะเว้ย มาทำอะไรก็ต้องให้เกียรติกันบ้างถ้าเราไม่รู้จักกัน ทักทายกันดี ๆ ได้

อนาคตจะมีผลงานอื่น ๆ อีกไหม

จะมีผลงานแสดงศิลปะของนักศึกษา แล้วเขาจะทำหนังสั้นที่เราลองไปแคสต์มา คาแรกเตอร์ใกล้เคียงกับเรา รอชมเร็ว ๆ นี้ค่ะ

ทำไมถึงชอบแสดง

การแสดงมันเป็นความใฝ่ฝัน เป็นความชอบตั้งแต่เด็กแล้ว ก็ชอบเต้น ชอบแสดงละครเวที ก็ซึมซับมาตั้งแต่มัธยม จะเรียกว่าเป็นงานอดิเรกก็ได้ เราทำอย่างนี้จนจบ ม.6 อยากทำมาตั้งแต่ ม.ต้นแต่พ่อแม่เราขอไว้ ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้รู้มากหรอกว่าเราเป็น โรงเรียนก็เป็นโรงเรียนชายล้วนนะ แต่เขาก็มีจัดการแสดง เราก็ไปทำ แล้วเราก็ไปเข้าวงโย ฯ ตอน ม.3 ซ้อมตอนปิดเทอม แล้วพอเปิดเทอมพ่อแม่ก็ถามว่าออกมั้ยล่ะ ตั้งใจเรียนหาที่เรียนใหม่ที่ดีกว่านี้ เราก็ออกให้เขา แต่ความชอบที่อยากทำอะไรพวกนี้ก็ยังมีอยู่ ตอนม.4 เรียนต่อที่อื่นก็เข้าไปอยู่วงโย ฯ อีก 3 ปี ก็ไปเล่นคัลเลอร์การ์ด ก็เต้น แสดง อะไรเข้ามา มีงานโรงเรียนอะไรก็ทำหมด พอเข้ามหา’ลัยเราจะไม่ทิ้งตรงนี้ เพราะมันก็ได้สกิลของเรามานิดนึงแล้ว ถ้าเราทำได้ก็อยากทำต่อ เลยมาออดิชันละครเวทีคณะ เราก็แค่ขอให้ตัวเองได้มีผลงานอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับตรงนี้สักหนึ่งปี ให้เป็นอะไรที่ผ่อนคลายชีวิตเราจากการที่เราเรียน หรือไปทำอะไรมา หลังจากจบปีแรกเรา feel good มากกับการได้เจอโลกใหม่ของมหา’ลัยที่มีละครเวทีคณะ แฮปปี้ จากนั้นก็เพิ่มมาทุก ๆ ปี ทำมาโดยตลอด หลังจากจบมาแล้วก็มีโอกาสไปเล่นธีสิสให้เพื่อนมหา’ลัยอื่น มีคนบอกว่าถ้าเราทำงานที่เรามีความสุข แล้วมันประกอบไปเป็นงานของเราได้จริง ๆ เราก็คงแฮปปี้ในทุก ๆ วัน ถ้าโอกาสมันจะมาให้เราแล้ว เราก็อยากจะคว้ามันไว้ทุก ๆ อย่าง ถึงแม้ว่ามันจะดี หรือมันจะแป้ก เราก็ได้ลองทำ

static1-squarespace-2

ชอบดูหนังเพลงแล้วได้เล่น musical บ้างหรือยัง

มันไม่เป็น musical เพราะเราร้องไม่ได้ (หัวเราะ) แต่เราชอบศาสตร์ของละครเวที คือเราก็ไปดูถ้ามันมีตามนู่นนี่นั่น อันไหนไปได้ก็ไป ก็เสพ

สังคมไทยทุกวันนี้ที่เรียกว่าเริ่มเปิดรับ LGBT แล้ว เรายังเจอหรือรู้สึกว่าถูกกดขี่จากตรงนี้อยู่ไหม

มันมีตลอด คือมัน open ก็จริง แต่มันไม่ได้ยอมรับถึงขนาดนั้น คนที่เป็นแบบเราต้องเข้าใจ ว่าถ้าไม่ได้ตลกแบบทุกคนอยากเสพความตลกจากเธอ ก็ต้องสวยมาก แบบ Miss Tiffany ที่คนจะเชิดชู เราคาดหวังกับการตลกอย่างเดียวหรือสวยอย่างเดียวมันก็ไม่ได้ แล้วอย่างคนอื่นที่เขาไม่สวย เขาเป็นอย่างเรา เขาไม่มีสิทธิที่จะใช้ชีวิตได้อย่างปกติเลยหรอ ก็ยังโดนล้ออะไรแบบนี้อยู่หรอ เราว่ามันเปิดก็จริง แต่ไม่ได้เปิดสำหรับทุกคน

กระทบกับการทำงานไหม

เพราะสายงานเรามองไปทางไหนก็เจอแต่กะเทย มันก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไร แต่ว่าในเพื่อนที่มีมันก็มีนะ คือถ้าไม่เลือกอยู่ในสภาพที่เป็นผู้ชายก็อาจจะมีปัญหากับการทำงานมากกว่าจริง ๆ แม้กระทั่งการเข้าโรงพยาบาล เราก็ต้องไปนอนห้องผู้ป่วยชาย คือเราก็คิดว่า ถ้าเขามีเงิน เขาเลือกที่จะอยู่ห้องเดียวไปเลย แต่คนที่ไม่ได้มีกำลังจ่ายมากพอเขาต้องไปอยู่กับผู้ชาย คนอื่นอาจจะไม่ได้อายที่มีกะเทยมาร่วมห้อง แต่ความรู้สึกของเราอาจจะไม่ได้อยากอยู่กับเขานะ เพราะเราก็เขินอายบ้าง เราเคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน สุดท้ายเราก็เลือกจะอยู่คนเดียว สบายใจกว่า

มีวิธีสร้างความมั่นใจและกล้าเป็นตัวเองยังไง

ประสบการณทั้งหมดที่มันหล่อหลอมหล่อรวมกันมาแหละ เราโดนด่ามาเยอะ จนวันนึงมันมีภูมิต้านทานของตัวเอง การพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นด้วยมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเสริมสร้างความมั่นใจ อะไรตอนเด็ก ๆ ที่เราโดนล้อ เราก็รู้สึกว่า ถ้าเราไม่แคร์เลย มันทำไม่ได้ แต่อันไหนที่เราเปลี่ยนได้บ้าง หน้าตาเราอาจจะไม่ได้ดี แต่เราดูแลตัวเองมากขึ้น ทำให้ตัวเองดีขึ้นในสิ่งที่เราทำได้แล้วมันไม่ได้ลำบากหรือเป็นผลกระทบกับชีวิตใครเราก็ทำเถอะ ไม่ต้องไปแคร์ แล้วสิ่งเหล่านั้นทำให้เรามั่นใจมากขึ้น สิ่งสำคัญเลยคือเราต้องรักตัวเอง ถ้าไม่รักตัวเองแล้วจะหวังให้คนอื่นมารักเรามันก็ไม่ได้

static1-squarespace-4

ความงามในอุดมคติของต๊อกแต๊ก

การพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ปีนี้เราอาจจะมองว่ามันสวยแล้ว แต่อีกสามปี สิ่งที่เรามองกลับไปมันอาจจะไม่ได้สวยเหมือนเดิม ทุก ๆ อย่างมันต้องอัพเดตของมันเรื่อย ๆ ก็ดูแลตัวเอง ทำตัวเองให้ดีขึ้น ๆ ไปในทุก ๆ ด้าน

ในฐานะที่เป็น transgender อยากฝากอะไรถึงคนที่ไม่เข้าใจ

จริง ๆ คนที่เป็น trans เหมือนเราเกิดมาพร้อมกับการต้องทำให้ทุกคนยอมรับอยู่แล้ว ซึ่ง ไม่ต้องขอให้เข้าใจทั้งหมดก็ได้ ทุกวันนี้พ่อแม่เราก็ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เราเป็นอยู่ทั้งหมด แต่เขาก็เปิดใจให้เรามากแล้ว คือ อย่างน้อยไม่ว่าเราจะเป็นอะไรแต่เขารู้ว่าเราอยู่ ณ จุดนี้ เรากำลังคิดอะไรอยู่ เราต้องสื่อสารออกไปให้ชัดเจนว่าเราจะเป็นอย่างนี้นะ เราจะขอทำแบบนี้ บอกพ่อบอกแม่ก่อนเลยเบื้องต้น เพราะว่าเขาเป็นรากฐานแรกในบ้านเลย ถ้าในบ้านเราโอเค เข้าใจ เราไม่แคร์นะว่าใครจะมองว่าเราจะเป็นยังไง จะเกลียดเราเราไม่สนใจ โอเคว่าบ้านเรา เพื่อนเรา คนที่เรารัก คนที่เราทำงานด้วยเขาเข้าใจเรา เราก็แฮปปี้ มันมีโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีจนคนนึงเข้าใจ ถ้าคนไม่เข้าใจเขาก็จะไม่เข้าใจหรอก เอาแค่ที่เราพอจะทำได้ก็พอแล้ว

เป็นกำลังใจให้สาว ๆ ที่เป็นแบบเราคนอื่น ๆ

รักตัวเองให้มาก ๆ ใครจะเท หรือใครจะไม่สนใจก็ช่างมัน จะเจ็บ จะเฮิร์ต ก็กลับมาฟื้นเร็ว ๆ คนอย่างเราคงมีเพื่อนที่เข้าใจมากที่สุด คนที่เป็น trans บางทีเพื่อนรู้เรื่องเรามากกว่าพ่อแม่อีก ฉะนั้นเราต้องมีกัลยาณมิตรที่ดีรอบ ๆ ตัว ชีวิตก็จะดี

หลายสื่อชอบใช้คำที่ sensitive คิดว่าคำไหนที่เราโอเคที่เขาจะใช้เรียกเรา

สำหรับเรานะ เราไม่ได้ต้องการให้คนอื่นมามองเราว่าเราเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง โอเค กะเทยบางคนอยากเป็นผู้หญิงแหละ ก็เราเป็นอย่างนี้ แค่เคารพในตัวตนเรา ให้เกียรติเรา จะเรียกเราอะไรก็เรียกไปเถอะ เราไม่สนใจ แต่อย่ามาแซว บางทีก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ยุคที่จะต้องมาแซวกันแล้ว โตกันแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกที่จะโดนแซว แต่เราก็พยายามจะคิดขำ ๆ ไป จะคิดว่าเขาพบเจออะไรมาน้อยกว่าเราอย่างนั้นก็ได้ ก็ปล่อยเขา ความสุขของเขา เอาเถอะ

static1-squarespace-5

อนาคตอยากทำอะไร

สักวันเราคงอยากบริจาคเลือดมั้ง เพราะเป็นแบบนี้แล้วเขาไม่ให้บริจาคเลือด เพราะคนที่เป็นเกย์จะมีโอกาสเสี่ยงสูง แต่เราตรวจตลอดก็ไม่มีอะไร อีกทีเขาก็บอกว่าคนที่เป็นแบบเราจะทานฮอร์โมนเยอะ จะทานวิตามินเยอะ บางทีเลือดเราก็ไม่ได้บริสุทธิ์หรือเปล่า ก็ไม่รับไปเลย แต่ก็คิดนะเวลาที่เพื่อนไปบริจาคเลือดกัน ก็อยากทำบ้าง ถ้ามีโอกาสเราก็อยากช่วยคนตรงนี้ แต่เราไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้ไหม แล้วเราก็อยากรณรงค์ให้ภาพลักษณ์ของคนที่เป็นแบบนี้ดีขึ้น ดีขึ้นในที่นี้คือ คนไม่ได้มองแค่เราต้องสวยมาก หรือเราต้องตลกมาก เราถึงจะมีตัวตนในสังคม การที่เราได้รับเล่นใน mv แล้วมันจับพลักจับผลูมาดังได้ จากที่เราวิตกกังวลว่าคนจะไม่เข้าใจ กลายว่าคนมาคอมเมนต์ใน YouTube ว่า ‘ก็ความรักนี่’ ‘ก็คนคนนึงที่มีความรัก เพศอะไรก็ได้’ ก็ถือว่าเป็นอะไรเล็ก ๆ ที่เราประทับใจว่าเราเปลี่ยนแปลงความคิดของคนให้เขาเข้าใจพวกเราได้ดีขึ้น โดยที่เราไม่ต้องไปตะโกนประท้วงอะไรทั้งสิ้น มันเป็นกระแสที่ดี ก็อยากให้มีต่อ ๆ ไป อย่างหนังสั้นที่เราได้รับมา บทมันก็จะมีอะไรประมาณนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะเปรี้ยงหรือเปล่า อย่างน้อยเราก็ทำตรงนี้ไปเรื่อย ๆ ดีกว่า มันก็น่าจะสอดแทรกอะไรไปได้บ้าง ให้คนเก็ตกับคนที่เป็นแบบเรามากขึ้น

 

Facebook Comments

Next:


Gandit Panthong

กันดิศ ป้านทอง อดีตนักศึกษาฝึกงานนิตยสาร Hamburger Magazine, ทำงานในกองบรรณาธิการ MiX Magazine และ บก.คนแรกของ Fungjaizine ที่มีความมุ่งมั่นว่าจะตั้งใจสร้างสรรค์วงการเพลงให้เกิดแต่สิ่งดี ๆ ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง