Article Interview

สิ้นสุดการรอคอยกับการกลับมาในรอบ 7 ปีของวง CLASH

  • Writer: Gandit Panthong
  • Photographer: Chavit Mayot

“พวกเราไม่ได้ทะเลาะกัน พวกเราไม่ได้คุยกันไม่ได้นะ พวกเราแค่ขอพักเฉย ๆ” นี่คือประโยคแรกที่สมาชิกทั้ง 5 คนของวง Clash เอ่ยให้ผมฟังตั้งแต่ได้พบกันในครั้งนี้ ซึ่งนี่เป็นการสัมภาษณ์ครั้งแรกของผมและวง Clash อีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้วแฟนพันธุ์แท้อย่างผมจึงไม่พลาดอยู่แล้วที่จะถามสิ่งที่ผมอยากรู้ว่า 7 ปีที่ผ่านมาหายไปทำอะไรกันบ้าง แล้วอะไรดลใจให้ต้องกลับมารวมตัวกันในปี 2018 การกลับมาครั้งนี้เขาจะกลับมาทำเพลงกันจริงจังเลยรึเปล่าหรือแค่กลับมาเล่นคอนเสิร์ต แบงค์, พล, แฮ็ค, สุ่ม และยักษ์ จะเป็นคนให้คำตอบผมในบทสัมภาษณ์นี้ที่ทุกคนกำลังจะได้อ่านกันครับ

จุดเริ่มต้นการกลับมาของวง Clash 

แฮ็ค: จริง ๆ แล้วเราพูดคุยกันมาก่อนหน้านี้ประมาณ 2-3 ปีแล้ว ซึ่งมันก็ยังไม่ค่อยลงตัว แต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองกันอยู่ อย่างพลก็ดูแลค่าย Boxx Music ยักษ์ก็ทำงานกับพล สุ่มเองก็ดูแลกิจการเป็นผู้จัดการร้านจักรยาน ผมทำวง SDF แบงค์มีอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง จนตอนไปทัวร์กับแบงค์ที่ยุโรปครับ ได้มีโอกาสนั่งคุยกัน แบงค์ก็มาคุยกับผมว่า พวกเราน่าจะมีโอกาสกลับมารวมตัวทำวง Clash กันอีกนะ คุยกันจนถึงแบบโอเคงั้นสรุปประมาณว่า อยากจะกลับมารวมกัน พอกลับที่ไทยเลยคุยกับพล ยักษ์ สุ่ม เพื่อน ๆ ก็เห็นด้วยว่า โอเคมันคงถึงเวลาแล้วล่ะ เลยเกิดโปรเจกต์นี้ขึ้น

ช่วงที่รวมวงกลับมาซ้อมกันครั้งแรกในรอบ 7 ปีลืมเพลงตัวเองกันบ้างไหม

พล: มันก็ไม่เชิงลืมนะ แต่มันจำไม่ได้หมด (หัวเราะ) ถ้าเอาสกิลวันที่กลับมารวมตัวกันซ้อมนะเทียบกันกับวันที่เล่นคอนเสิร์ตสุดท้ายนี่ห่างกันหลายขุมเลยนะ ต้องบอกว่า รื้อกันใหม่หมดเลย ทุกวันนี้ทุกคนต้องกลับไปเรียน ไปฝึกมากขึ้น จริง ๆ แล้วมันมีเรื่องนึงที่ผมไปฝึกสักพักนึงแล้วค้นพบว่า พออายุมากแล้ว กายภาพมีผลกับการเล่นดนตรี เหมือนเราพยายามจะฝึกให้เร็วแบบเหมือนก่อน แต่สุดท้ายแล้วมันคือเส้นประสาท กล้ามเนื้อ วิธีคิด ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป มันมีคำนึงที่พี่นอ—นรเทพ มาแสง เขาพูดไว้ว่า เอ็งไม่ต้องฝึกให้เร็ว แต่เล่นให้เพราะเหมือนเดิมดีกว่าว่ะ อันนี้ก็เลยเป็นท่าฝึกของเพื่อน ๆ ในวงผมตอนนี้ (พลชี้ให้ดูท่าการฝึกต่าง ๆ ของสมาชิกภายในวง) ทุกคนก็จะไปหากันเองว่า จะทำยังไงให้กายภาพเรามันสามารถเล่นดนตรีได้เหมือนเดิมอะไรแบบนี้ครับ

กายภาพของตัวเองเปลี่ยนไปมากน้อยขนาดไหน

สุ่ม: ตอนนี้เอาตรง ๆ มันยังบอกยากนะครับ เพราะว่า เรายังไม่ได้ไปเล่นคอนเสิร์ตแบบจริงจังเลย ที่ผ่านมามันจะมีแค่งานแต่งงานของรุ่นพี่ที่สนิท พวกเราไปเล่นแจม ๆ กัน มันก็ไม่ได้มีการแสดงอะไรเท่าไร แต่มันก็จะมีกล้ามเนื้อบางอย่างที่ทุกคนจะมีกล้ามเนื้อจำอยู่แล้ว กล้ามเนื้อจำตรงนั้นถ้าเปรียบเหมือนจักรยาน มันก็เหมือนกับโซ่ที่ยังไม่ได้รับการหยอดน้ำมัน มันไม่ได้รับการล้างโซ่ก่อนอะไรแบบนี้ก็เลยต้องมาฝึกมาอะไรกัน จริง ๆ ไอ้การเล่นเนี่ย เราทุกคนจะรู้อยู่แล้วว่า การที่เราขึ้นไปบนเวทีมันต้องควรจะเล่นแบบไหน แอคติ้งหรืออารมณ์ที่มันควรจะสนุกสนานต้องทำอย่างไร เพียงแต่ว่า มันต้องมีช่วงที่เราเข้าห้องซ้อมแบบจริงจัง ตรงนั้นจะมีกระจกให้ดูมันจะเห็นว่า เราต้องเล่นแบบไหน ควรทำท่ายังไง แต่โดยพื้นฐานความรู้สึกแต่ละคนมันจะมีภาพจำอยู่แล้วว่า เราเคยเล่นท่าแบบไหนยังไง โยกหัวเท่านี้ มันจะค่อย ๆ กลับมาครับ ต้องใช้เวลาเหมือนกัน 

จุดที่ทำให้ต้องพักวง Clash ช่วงนั้นจริง ๆ มันเกิดขึ้นจากอะไร 

ยักษ์: เราต้องยอมรับโดยที่ไม่หลอกตัวเองเลยว่า มันเริ่มเบื่อกันเอง เบื่อหน้ากัน ไม่มีเป้าหมายว่าทำไปเพื่ออะไร เรารู้สึกว่า ทำไปวัน ๆ มันแย่ล่ะ เราไม่กระหายที่จะออกไปเล่นคอนเสิร์ต ทุกคนเลยมาตกลงกันว่า ต่างคนจะไปทำอะไรกันดี ถ้าเกิดเราพักกันบ้าง อย่างแบงค์ก็ชัดเจนเขาจะมีอัลบั้มเดี่ยว แฮ็คเขาได้มาเจอน้อง ๆ แล้วมาเริ่มทำวง SDF สุ่มก็เจอทางที่ตัวเองฝันเล่นจักรยาน พลมีหน้าที่บริหารเริ่มจากการเป็นโปรดิวเซอร์ ผมก็ไม่เจออะไรเลย​​ (หัวเราะ) ผมเองก็มาเริ่มพบว่า เราชอบเขียนเพลง เป็นนักเขียน ก็ได้มาทำงานกับพลที่แกรมมี่แล้วจากนั้นได้ไปสร้างค่ายเพลงใหม่กัน ทุกคนมีทางเดินที่ชัดเจน เรามาประชุมกันว่า ถึงเวลาที่เราจะต้องพักบ้างแล้ว แต่เราต้องบอกก่อนเลยว่า ที่หายไป เราไม่ได้ทะเลาะกันแล้วก็แบบคุยกันไม่ได้แล้วว่ะ มันไม่ใช่ เรารู้สึกว่า มันถึงเวลาที่จะต้องพักกันบ้าง ในอนาคตไม่รู้หรอกว่า เราจะได้รวมกันเมื่อไร แต่มันต้องพักแล้ว ไม่งั้นมันแย่กว่านี้แน่

มันเหมือนคนที่เล่นดนตรีมาจนช้ำแล้วด้วยรึเปล่า

ยักษ์: เราไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะบอกตัวเองว่าพอนะ หยุดได้แล้ว เราอัดงานเต็ม ๆ มาตลอด ไปทัวร์คอนเสิร์ตแล้วก็เริ่มเข้าห้องอัดมาทำเพลงใหม่ มันเป็นแบบนี้มาตลอด ที่ผ่านมาเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ล่ะ

พล: ผมว่า การที่เราตัดสินใจพักในตอนนั้นมันเป็นข้อดีนะ มันทำให้เราได้ออกไปรับความคิด ไปรับสิ่งที่เราไม่เคยเห็น ผมว่ามันมีเรื่องนึงที่หลายคนอาจจะรู้ว่า ถ้าเราเป็นคนผ่าฟืนใช้ขวานเดิมทุกวัน ฟันมันอยู่นั้นแหละ วันแรกก็ฟันได้เร็ว เราแม่นมาก แต่ถ้าเราฟันทุกวันสุดท้าย…

แฮ็ค: ขวานหาย (หัวเรา)

พล: ทุ้ย !! สุดท้ายเราก็ต้องไปหาขวานให้เจอ ไม่ใช่ล่ะ ๆ (หัวเราะ) เราก็ต้องหยุดไปลับขวานของเราให้คมก่อน มันเป็นการลับความคิด ลับไอเดียของเราจากนั้นจึงกลับมาใหม่ครับ 

ความแตกต่างในการทำงานที่เกิดขึ้นหลังจากการแยกย้ายกันไปเป็นอย่างไร 

แบงค์: แตกต่างนะ เราทำเดี่ยว พูดตรง ๆ ผมก็เอาแต่ใจเต็มที่ ไม่ได้หวังว่าจะต้องดังหรืออะไร เอาสนุกเข้าว่า ทำงานกัน 2 คน แรก ๆ สนุก มันตัดสินใจเองได้หมด หลัง ๆ เราจะรู้สึกว่า สิ่งที่ทำอยู่แม่นรึเปล่า คิดเองคนเดียวมันสนุกดี แต่พอเวลาผ่านไปก็คิดว่า เราคิดถึงการทำงานเก่า ๆ การแชร์กัน มันก็จะมีบ่อยครั้งที่ยักษ์บอกไว้ว่า ไปทำงานที่เรารักกันเถอะ ถ้ามีคำนี้ขึ้นมาแสดงว่า คุณเริ่มเบื่อละ คำนี้มันคือคำที่ให้กำลังใจตัวเองเพื่อไปทำงานซึ่งผมเองก็มีเหตุการณ์ที่รู้สึกว่าคำนี้มันลอยเข้ามาในหัวเหมือนกัน

แฮ็ค: ต้องไปเป็นเหมือนผู้นำในวงอย่างเต็มตัว เหนื่อยนะ แต่ว่าได้ทำในสิ่งที่มันมาจากความคิดเราเกินครึ่งแล้วก็ค่อย ๆ สร้างไปเรื่อย ๆ จนวันที่เรามีเพลงที่คนยอมรับก็ดีนะ เป็นประสบการณ์นึงที่เกิดขึ้น

สุ่ม: ผู้จัดการร้านจักรยานจริง ๆ มันก็เหนื่อยดีครับ มันไม่ได้เป็นงานนั่งโต๊ะ ผมทำหลายอย่างมาก งานแบบว่า เช็กสต็อกรับลูกค้า คุยกับลูกค้า ขายของคุยกันทางออนไลน์ มันต้องมาทำในเรื่องที่เราไม่เคยทำมาก่อน เหนื่อยแต่ก็ได้เจออีกมุมนึง มันเป็นอีกมุมที่ชอบเหมือนกัน เราได้ทำงานบริการ ซึ่งก็เคยมีอารมณ์เหวอ ๆ เหมือนกัน การที่เราอยู่วง Clash มันจะมีคนค่อยช่วยเหลือเราตลอด คนอวย คนอะไรมันจะเยอะ พอเราไปอยู่ตรงจุดนึง คนเขาจะจำเราไม่ได้ครับ อย่างผมเนี่ยผอมลงมาเยอะ บางทีคนมันเห็น เขาก็ไม่รู้ว่าเราทำอะไรในร้าน เหมือนเราในตอนนั้นที่ไปเจอคนในร้านให้เขาทำให้อะไรสักอย่าง มันเป็นแบบนี้นี่เอง ประสบการณ์ที่ดีอย่างนึง ตรงนี้ก็สอนให้เรารู้ว่า การที่ต้องทำงานบริการคนมันเหมือนเป็นทาส มันต้องอดทนและต้องทำงาน สื่อสารทุกอย่างให้ดีที่สุด ถ้าเราไปอารมณ์เสียหรือหงุดหงิดใส่เขามันก็เป็นผลเสียต่อร้านด้วย

ยักษ์: ได้ไปทำหลายอย่างครับ ทำทั้งวงใหม่ Troop Tower ได้เขียนเพลงด้วย ผมเคยคุยกับพี่กบ วง Big Ass เรื่องทำไมมือกลองชอบเสี้ยนเขียนเพลง เราก็เลยไปนั่งนึกว่า ที่ผ่านมาเรานั่งอยู่หลังกลองตลอดไม่ได้สื่อสารกับใครเลย มันเป็นความเก็บกดชนิดนึงที่เราอยากจะสื่อสารกับใครบ้างก็เลยฝึกเขียนเพลง เขียนให้วงตัวเอง มาทำงานกับ Muzik Move ด้วย อันนี้คือได้เขียนเต็ม ๆ เลย ส่วนฝันอีกอย่างนึงที่เราฝันไว้ตั้งแต่เด็ก ๆ เลยก็คือ เราอยากเป็นพนักงานประจำ อยากมีป้ายห้อยคอ เวลาดูละครเราจะเห็นทุกเรื่องมันจะเป็นพนักงานบริษัทเท่ดี นี่ได้เป็นของจริงมีป้ายเรียบร้อย รู้สึกว่า เราอยู่มาแต่เบื้องหน้า อาชีพแรกเลย พอได้ทำเบื้องหลัง เราได้เห็นชีวิตอีกมุมนึงของตัวเอง ชีวิตของการที่ต้องมีความอดทนหลาย ๆ อย่าง เราหันกลับมามองว่า ตอนเด็ก ๆ เราก็เฟี้ยวเหมือนกัน ผู้ใหญ่ใครจะพูดอะไรเราก็หัวแข็งมาก ทำให้เมื่อมาอยู่เบื้องหลังตรงนี้เรารู้แล้วว่า สิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมามันคืออะไร ได้ถูกมาปรับใช้กับวงเราด้วย เราไม่เคยมานั่งคุยกันตรง ๆ ตอนนั้นมีอะไรก็ช่างมัน ไปเรื่อยอย่างที่บอกว่า มาถึงวันนึงที่เราพักกลับมารอบนี้ทุกอย่างมันสมบูรณ์แบบมาก ๆ

พล: จริงๆ ผมเริ่มมาจากเป็นโปรดิวเซอร์ มันเป็นอีกความฝันนึงที่เราเริ่มทำตั้งแต่พักจาก Clash มา ก็ไล่ทำและได้เรียนรู้มาจากพี่โอ๊บเป็นหลักเลย จนไปถึงจุดนึงเราก็ไปทำวง Getsunova เห็นความสำเร็จที่เราได้ทำเพลงกับน้อง ๆ จนมีโอกาสได้ทำค่ายเพลงอันนั้นก็เป็นก้าวใหญ่เหมือนกัน ตอนแรกก็ไม่มั่นใจเลยว่า เราจะทำได้เหรอ เหมือนพี่ ๆ เขาถีบแล้วว่ามึงต้องทำ เรื่องเพลงผมไม่กลัวนะ ผมกลัวเรื่องตัวเลขมากกว่า เราไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต เราคิดแค่ทำเพลงยังไงให้มันดี ให้มันเพราะ เราคิดแค่นั้น ตอนนี้มันกลายเป็นเราต้องมาดูตัวเลข ดูหลาย ๆ อย่าง ต้องมานั่งตัดสินใจและไอ้การตัดสินใจผมว่า มันยากที่สุดนะ ตัดสินใจให้เขาไปหรือไม่ไป ถ้ามันไปดีก็โอเค แต่ถ้าไม่ดีทุกอย่างมันก็จะกลับมาที่เรา อันนี้ในมุมที่มาเริ่มบริหารนะครับ แต่โชคดีที่เรามีทีมงานที่เอื้อและค่อยชี้ค่อยประชุมค่อยแนะนำ มันก็ทำให้การเดินทางของ Boxx Music ทำให้ผมมาได้ไกล ผมเป็นแค่อีกคนนึงที่ค่อยมองและรับฟังไอเดียของน้อง ๆ ไอ้ 7 ปีที่ผ่านมามันได้เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบคนปกติ เราลงมากินข้าวกับพี่น้องพนักงานปกติ ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา อย่างที่สุ่มว่า การมาใช้ชีวิตแบบคนธรรมดามันเป็นยังไง ผมเข้าใจเขาเลย เขาเห็นเราเขาจำเราไม่ได้หรอก เราก็จะทำหน้าที่ในมุมของการทำงานไป เราก็เหมือนพนักงานออฟฟิศคนนึงที่เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน ผมคงเอาเรื่องการจัดการประสบการณ์ความรอบคอบมาแชร์กันมากกว่า เพื่อน ๆ เห็นว่ายังไง เห็นด้วยไม่เห็นด้วย มันเป็นเหตุและผลมากกว่าเรื่องอารมณ์ สมัยเด็กมันจะมีฟีลลิ่งแบบอารมณ์ล้วน ๆ ตอนนี้มันโตขึ้นแล้ว

การกลับมาครั้งนี้เราจะได้เห็นอะไรจาก Clash ในคอนเสิร์ตใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นบ้าง

แบงค์: ผมว่า 5 คนมายืนร่วมกันอีกครั้งนึงมันก็พิเศษของมันอยู่แล้วนะ ส่วนที่เหลือคงเป็นเรื่องของโปรดักชันเวทีต่าง ๆ เราไม่เคยเล่นเวทีแบบนี้มาก่อน ถ้าใครเดินเข้าฮอลไปเห็นเวทีก็ว้าวแล้ว ผมยังว้าวอยู่เลย ยังตื่นเต้นอยู่ เมื่อก่อนเราก็จะเล่นเวทีรูปแบบทั่วไปที่ทุกคนเห็นกัน แต่อันนี้มันมีการดีไซน์ขึ้น ส่วนแขกรับเชิญจะยังไงนั้นตอนนี้ก็อยู่ในที่ประชุมอยู่ เพราะเพื่อนเราเยอะมาก (ยิ้ม) รอติดตามกันให้ดี ๆ นะครับ 

จะมีเพลงใหม่ให้เราฟังไหม

พล: จริง ๆ เราแพลนเป็นอั้ลบั้มนะ แต่เรามองไว้เป็น EP album ก่อน แล้วก็การวางแผนอัลบั้มภาพรวมมันคงมีความเป็น Clash 100% สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับพวกเรา เรามองแฟชันโลกหลาย ๆ อย่างด้วย จริง ๆ การเดินทางของ Clash ที่มันเดินทางมาได้ก็มีหลายรูปแบบอยู่แล้ว เราไม่ใช่แบบแบบนี้ต้องเหมือนเดิมตลอด โลกจะไปยังไง ฉันก็จะทำแบบนี้ เราเดินตามแฟชันมาเรื่อย ๆ มากกว่า

ซาวด์เพลงที่จะได้ฟังจะเป็นยังไง

พล: สำหรับผมมันเป็นเพลงของวง Clash นะ เป็นเพลงที่วัยรุ่นขึ้นนะ เหมือนพวกเราซิ่งขึ้นกว่าเมื่อก่อน พวกเราใช้ศิลปะที่มันวิ่งอยู่รอบ ๆ ตัว เราทำได้ดีขึ้นนะ ผมรู้สึกอย่างนั้น มันอาจจะเกิดจากประสบการณ์ 7 ปีที่ทุกคนได้ไปทดลองมาด้วยทั้งถูกทั้งผิดทั้งดีและไม่ดี เราเอามาเขย่ารวมกันเลย จริง ๆ แล้วมันมีเพลงที่ออกไปทำแล้วประสบความสำเร็จนะทั้งโปรเจกต์แบงค์เอง, SDF, สุ่มกับการอัดเบสให้ Getsunova เขาก็จะรู้เลยว่าวิธีไหนที่จะทำเพลงออกมาได้ดี อย่างยักษ์เขาทำเพลง ขอโทษ ของ Troop Tower ขึ้นชาร์ตไวมาก ตรงนี้แหละมันเป็นประสบการณ์ที่เราเอามาใช้ ส่วนจะเป็นยังไงอยากให้รอฟังกัน 

จะกลับมาทัวร์คอนเสิร์ตแบบทั่วประเทศอีกรึเปล่า

พล: จริง ๆ เรามีแพลนทัวร์นะ แต่ปริมาณและรูปแบบการทัวร์ทั้งหมด เราคุยกันอยู่ว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน แต่คงไม่เยอะขนาดเมื่อก่อนแล้ว เราคงรับในปริมาณที่พอดีและเป็นพื้นที่ที่เหมาะสม

แฮ็ค: เดือนละโชว์พอ

เพลงของตัวเองที่ชอบที่สุดของ Clash

แฮ็ค: ใส่ร้ายป้ายสี เพราะว่า ชอบที่มันสนุก มันมันสะใจดี เวลามันเล่น มันเต็มข้อดี เหมือนคนเตะบอลที่เตะได้เต็มเหนี่ยวดี

แบงค์: ผมชอบ ลางสังหรณ์ มันเป็นเพลงที่อยู่ในภวังค์ของมันอะ เวลาร้องเพลงนี้มันจะไม่มีการกังวลอะไรเลย คนดูจะร้องตามรึเปล่า เขาจะอินกับเราไหม มันโดนบรรยากาศในเพลงดูดเข้าไป ตอนร้องมันรู้สึกซึมซับกับมันจริง ๆ ครับ

พล: ผมชอบเหมือนแบงค์นะ แต่จะมีอีกเพลงนึงที่เป็นเพลงไล่ ๆ กัน It’s Gonna Be Ok มันเป็นเพลงที่ยากที่สุดตั้งแต่ทำมาแล้ว เพลงนี้เป็นโมเดลใหม่ของ Clash ที่เป็นเพลงจังหวะปานกลางที่จะเรียกว่ายังไง ไม่ได้ดาร์กและก็ไม่ได้สนุกขนาดโรคประจำตัว หรือ ยิ้มเข้าไว้ อาจจะเป็นจังหวะกลาง ๆ และมีความเท่ มันสนุกด้วย ในคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งล่าสุดเราเอาเพลงนี้ไว้เป็นเพลงที่ 3 ให้คนโดดกันได้ อีกอย่างวิธีคิดเพลงนั้นมันแปลกประหลาดจากที่เราเคยทำด้วย

ยักษ์: เอาความประทับใจเลยดีกว่า ละครรักแท้ ครับ มันมีไม่กี่วงหรอกที่เป็นวงร็อกแล้วทำเพลงแบบนี้ได้ มันสามารถร้องเพลงที่ r&b และเนื้อเพลงแบบนี้ จริง ๆ มันเป็นเพลงง้อที่หวานมากและเป็นเพลงที่ไม่มีกลอง สบายได้นั่งฟัง มองไอ้แบงค์มันร้องเพราะ คือตอนนั้นอย่างที่บอกตอนทำเพลงนี้เราส่งดนตรีไปให้แบงค์นานมากแล้วมันหายไปเลย ลุ้นกันว่ามันจะมายังไงวะ เพลงนี้เนี่ยไม่ได้มีใครทวงใครด้วย พอถึงวันที่ส่งงาน พอส่งมาให้เราฟัง มันโครตเพราะเลยว่ะ ความรู้สึกมันดีจริง ๆ เลยประทับใจเพลงนี้

แบงค์: เพลงนี้เขียนเร็วสุดในชีวิตผมครับ เพราะทะเลาะกับแฟนจริง ๆ อินจริง เจ็บจริง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเสร็จเลยครับ

ยักษ์: ตอนนั้นเอามาส่งมันคุ้มค่าที่รอจริง ๆ

สุ่ม: เลือกยากเหมือนกัน Rebirth ละกันพอดีช่วงนี้กลับมาซ้อมเพลงนี้เยอะ มันไม่ได้เล่นนานมาก ตอนนั้นก็ซ้อมตอนคอนเสิร์ตครั้งสุดท้าย พอเสร็จก็ไม่ได้เล่นอีกเลย ตอนนี้เพิ่งเอาเพลงนี้กลับมาซ้อม มันเลยนึกขึ้นได้ว่า อ่อมันเป็นเพลงที่คิดว่า ถ้า Clash ทำอัลบั้มต่อจากนั้นเพลงก็น่าจะเป็นรูปแบบนี้ล่ะ พอเรามาซ้อมตอนนี้จริง ๆ แล้วเพลงนี้มันน่าจะอยู่ใน Clash ยุคนี้ได้ มันทำให้นึกได้ว่า ตอนนั้นเราก็คิดเพื่อจะทำต่อไปไว้แล้วนะ มันไม่ใช่เพื่อทำเพลงจากลาแล้ว เราก็คิดเรื่องความก้าวหน้าเหมือนกันเนอะ คือเอาจริง ๆ ผมก็ลืมไปนะว่ามันมีเพลงนี้อยู่ แต่พอพี่พลเอา data ทุกอย่างมาซ้อมกัน มันได้ยินเสียงทั้งหมดว่า มีรายละเอียดอะไรที่มันสามารถอยู่ในพ.ศ.นี้ได้จริง ๆ บ้าง

พล: วันนั้นมันข้ามช็อตนะ คนไม่เก็ตเลยตอนที่ออกมา ซาวด์กลองจะอิเล็กทรอนิกหน่อย ๆ

สุ่ม: ซึ่งเพื่อนนักดนตรีหลาย ๆ คนก็ชอบนะ โอเคล่ะด้วยความเป็นนักดนตรีมันก็จะมองในพาร์ตดนตรีเป็นหลักกันอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเป็นแฟนเพลงทั่วไปอาจจะงง ๆ เพลงนี้เราก็ไม่ได้โปรโมตเต็มที่ด้วย แต่ผมชอบมากเพลงนี้

ความคาดหวังในการกลับมาของ Clash

พล: ผมหวังแค่ได้เล่นดนตรีด้วยกัน เล่นโดยที่ไม่ได้คิดว่ามันจะทำให้เรารวยขึ้นหรือทำให้เราดังกว่าเมื่อก่อน ผมรู้สึกว่า ความสุขของเรานั้นคือการได้เล่นดนตรีพร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนที่เราได้คุยกัน เหมือนที่เราได้ฝันไว้ เมื่อก่อนเราเคยมีคอนเสิร์ตใหญ่ เด็ก ๆ เราก็ไม่คิดนะว่าเราจะมี จนเราเลิกทำวงไป วันนี้กลับมาแล้ว สิ่งเดียวที่ยึดพวกเราไว้มันคือความสุข มันคือครอบครัวที่ได้กลับมาเล่นดนตรีด้วยกันพอแล้ว เพลงมันจะไม่ดังเลย ผมก็พร้อมที่จะเจอมันเสมอ จริง ๆ แล้วเพลงที่ดังกับไม่ดัง เพลงไม่ดังเยอะกว่านะ

สุดท้ายนี้อยากบอกอะไรแฟนเพลงบ้าง

สุ่ม: จริง ๆ ผมว่าถ้าตามธรรมชาติ ทุกคนก็น่าจะอยากดูคอนเสิร์ตครั้งนี้กันนะ ที่เราหายไปแม้แต่พวกเราเอง ผมเองก็ยังอยากเจอแฟนเพลงเลย บางทีเจอเซอร์ไพร์สเหมือนกันเพื่อนในเฟสบุ๊กที่เราคิดว่าคนนี้มันไม่น่าฟังเพลงวง Clash แต่พอเรากลับมาเล่นคอนเสิร์ต เขารู้จักพวกเรามาตั้งนานแล้วนะ เหมือนเขาก็อยากดู รู้สึกเซอร์ไพรส์ว่า มีคนที่อยากดูเราเยอะเหมือนกันเนอะ ตอนแรกก็คิดว่าคนจะอยากดูรึเปล่า เราก็ไม่ใช่รุ่นใหม่มาแรง คนที่เขาเคยชอบก็อาจจะไม่ชอบแล้วก็ได้ มันก็ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ มันก็เออพอเราได้เห็นยิ่งผมมาเห็นกระแสโซเชียล ตอนที่ Clash หยุดไปเราไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้ไง พอเจอตรงนี้เราเห็นคอมเมนต์เห็นการแชร์ มันแชร์เยอะจังเลย รู้สึกดีใจมากครับ ตื่นเต้นมาก ๆ ที่จะได้เล่นคอนเสิร์ตครั้งนี้ด้วย อยากให้ทุกคนไปเจอกันที่งานวันนั้น

แบงค์: คิดไปคิดมาในฐานะที่เป็นนักดนตรีผมเฉย ๆ กับ 7 ปีนะ แต่พอมาคิดกลับด้านกัน เฮ้ย 7 ปีนี่มันนานชิบหายเลยนะ สำหรับแฟนเพลงอ่ะ บางคนเขาก็อาจจะไม่รอก็ได้นะแฟนเพลงอ่ะปีที่ 4 เขาอาจจะบอกว่า พี่ ๆ จะทำอะไรก็ทำเลยเรื่องของพี่เถอะ ขอบคุณคนที่ยังรออยู่นะครับแฟนเพลงพวกเรา ผมก็บอกเสมอว่า เรามีแฟนเพลงที่ดีที่สุดในโลกอยู่และผมเชื่อว่าในงานคอนเสิร์ต Clash Awake Concert เราจะได้พบกันอีกครั้ง 

Facebook Comments

Next:


Gandit Panthong

กันดิศ ป้านทอง อดีตนักศึกษาฝึกงานนิตยสาร Hamburger Magazine, ทำงานในกองบรรณาธิการ MiX Magazine และ บก.คนแรกของ Fungjaizine ที่มีความมุ่งมั่นว่าจะตั้งใจสร้างสรรค์วงการเพลงให้เกิดแต่สิ่งดี ๆ ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง