Interview

Brassac บันทึกช่วงเวลาชวนฝันที่เกิดขึ้นในหน้าร้อนของ Violette Wautier

Violette Wautier ปล่อยซิงเกิ้ลที่สาม Brassac ในแนวทางดนตรีป๊อปที่น่าสนใจ เธอได้แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้จากการไปท่องเที่ยวที่เมืองทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มาดูกันว่าความน่าอัศจรรย์ของช่วงฤดูร้อนนั้นสวยงามขนาดไหน

เนื้อหาในเพลง Brassac มาจากการไปเที่ยวที่เมืองนั้น

ปกติวีไปฝรั่งเศสเกือบทุกซัมเมอร์อยู่แล้ว คือไปหาที่บ้านแล้วทีนี้ช่วงซัมเมอร์เขาจะมีปาร์ตี้เยอะมากในแต่ละเมือง แต่ละสัปดาห์ แต่โซนนั้นเมืองมันจิ๋วมาก จะเรียกเป็นหมู่บ้านก็ได้ และคนมันก็น้อยมาก ถ้าเราอยู่ปาร์ตี้แค่เมืองนั้นก็จะเจอแต่คนรู้จัก ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เบบี๋มาก ๆ เลยมีความพยายามจะไปปาร์ตี้ที่เมืองใกล้ ๆ ทุกเมือง ทุกคนที่เป็นญาติ แก๊ง ๆ อายุเท่า ๆ กัน หรือเพื่อนญาติเราจะไปเที่ยวกัน คนในละแวกนั้นก็จะทำแบบเดียวกัน ก็คือฉันไม่อยากเจอคนเดิม ๆ แล้ว ฉันอยากไปเที่ยวที่อื่น

แล้ววีคนั้นวีก็ไปปาร์ตี้ที่ Brassac พอดี รู้สึกว่าช่วงวีคนั้นมันมีความไม่จริงอยู่ เหมือนชีวิตอยู่ในหนัง coming of age อะไรสักอย่าง ฉันช่าง young, wild and free เดี๋ยวก็ไปแม่น้ำ ไปเดินป่า ชีวิตนี้เหมือน ‘Call Me By Your Name’ แบบไม่มีเรื่องโรแมนซ์ เราได้ไปรู้จักเพื่อน ๆ ของญาติเราก็ที่ Brassac ได้เจอคนใหม่ ๆ ก็ที่ Brassac คือมันเป็นจุดเริ่มต้นก่อนที่เราจะได้ไปเที่ยวที่อื่น ๆ ต่อ คือถึงจะไม่มีเรื่องแบบนั้นแต่บรรยากาศมันโรแมนติกมากเลย เลยรู้สึกว่าถ้ามันเป็นเรื่องโรแมนซ์ด้วยคงจะโรแมนติกมาก ๆ พอกลับมาไทยก็รู้สึกว่า ไม่อยากให้ซัมเมอร์นี้จบ เลยมีไอเดียใส่ความโรแมนติกเข้าไป จนออกมาเป็นแบบในเพลง

แต่เอาจริง ถ้าไม่มีงานก็คงไม่ไปเหมือนกันเพราะไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง พอไปถึงก็ตอนเย็น ๆ กลางคืน ๆ แล้ว เมือง Brassac ไม่มีอะไรเลย น่าเที่ยวไหม… ก็อาจจะ คือไม่ใช่ Brassac เมืองเดียว แต่เขตแถวนั้นมันน่าเที่ยว มีแม่น้ำ Tarn มีป่าให้เดิน มันมีกิจกรรมให้ทำเยอะในความเป็น open air ของซัมเมอร์

อะไรที่ทำให้รู้สึกว่าช่วงเวลาฤดูร้อนมีความพิเศษ

บรรยากาศทุกอย่าง ด้วยความที่ต่างประเทศมันไม่เหมือนบ้านเรา เขาไม่ได้ร้อนสม่ำเสมอ อากาศไม่ได้ดีตลอดเวลาด้วย พอถึงซัมเมอร์ เขาก็จะใช้มันเต็มที่ที่สุด จะไป outdoor ไปนู่นไปนี่ ทำนู่นทำนี่ เพราะสุดท้ายพอเข้าหน้าหนาวแล้ว เขาจะทำสิ่งนี้ไม่ได้แล้ว มันเลยมีความพร้อมจะออกไปข้างนอก พร้อมจะออกไป explore อะไรหลาย ๆ อย่างในช่วงเวลานั้น ด้วยความที่ระยะเวลามันสั้นมาก สำหรับเขามันเลยพิเศษ แล้วพอเราไปอยู่ตรงนั้นเราเลยรู้สึกว่ามันพิเศษไปด้วย

นึกถึงหน้าร้อน นึกถึงอะไร

แดดที่ไม่ร้อนเกินไป มันตลกตรงที่ประเทศเราเนี่ย ถ้าแดดตอน 4 โมงมันยาวได้ถึงประมาณ 3 ทุ่ม มันจะ magic มาก ที่นู่นเขาเป็นแบบนั้น มันคือ magic hour อยู่แล้ว มันเลยดีมากมั้งสำหรับเขา เราอยากได้แดดแบบนั้น

เคยปิดตาจิ้มไปเที่ยวบทแผนที่ไหม

เคยทำแบบนั้นที่สถานีรถไฟตอนอยู่แคนาดา ขึ้นมาไม่เห็นมีอะไรเลย มองซ้ายมองขวามีแต่ถนนที่ไม่มีตึกด้วย มาโผล่ตรงนี้ได้ยังไง เหมือนจิ้มไปผิดอะ รู้สึกว่ามาทำไมก็เลยกลับลงไปใหม่

เสน่ห์ของการมีความสุขจากการเจอสิ่งที่ไม่ได้คาดหวังไว้

อย่างการเข้าผิดร้าน หรือเดินแรนด้อม ๆ ไปเจอ hidden gems แล้วรู้สึกว่าโหมันดีจังเลยก็มีเต็มเลย

Hidden gems ในเพลงที่เขียน

มีสองจุด ตอนใส่ภาษาฝรั่งเศส กับท่อนฮุก ตอนที่วีเขียน เอาจริงเพลงนี้เขียนตอนขับรถ ระหว่างนั้นเปิดเพลงของ Ariana Grande ชื่อเพลงว่า Better Off ซึ่งถ้ากลับไปฟังจะไม่เข้าใจว่า Brassac มาจากตรงนี้ได้ยังไง คือ วีเปิดเพลงนี้ขึ้นมา แล้วตอนอินโทรมันขึ้น มันเป็นคอร์ดแบบ ตึง ตึง ตึ๊ง ตึ๊ง แค่นั้นเอง น้อยมาก แล้วรู้สึกว่า เท่ว่ะ แล้วเราก็ลองฮัมอะไรของเราตรงนั้น แล้วกดไม่ยอมให้ Ariana เข้าท่อนร้องซักที กรอกลับไปอินโทรเรื่อย ๆ จนเราได้เวิร์สมาเพราะคอร์ดนั้น แล้วกลับมานั่งเขียนให้จบเวิร์ส

พอเอาไปร้องให้น้องชายฟัง น้องมันก็บอกว่าก็ดี แล้วมันก็ถามว่าฮุกจะเป็นไง เราก็ฮัมมั่ว ๆ ให้ฟัง แล้วมันก็บอก เฮ้ย ดี แล้วกลายเป็นว่าเมโลดี้ติดอยู่ในหัวเรามาก เนี่ย คือ magic เราไม่ได้เขียนเพลงด้วยซ้ำ เราแค่เอาไปให้น้องเราลองฟัง แล้วมั่วโน้ตขึ้นมา จนกลายเป็นคอรัสที่อยู่ในเพลงนี้

แล้วพอเราได้ท่อนต่าง ๆ มา ก่อนจะได้เนื้อฝรั่งเศส เราเอาเนื้อ คอรัส ดนตรี ไปหาพี่โหน่ง ทำเพลงกัน แล้วคิดว่าจะไปพีคตอนหลังยังไงดี จะมีบริดจ์ไหม ก็คิดว่าใส่ภาษาฝรั่งเศสดีไหม จะได้ดูส่วนตัว intimate เหมือนพูดไปที่คนคนนึงให้คนคนนั้นแล้วกลายเป็นว่าใส่ภาษาฝรั่งเศสเข้าไปทั้งที่เข้าสตูแล้วคือเพลงมันอาจจะควรมีแค่นั้นไม่ต้องมีบริดจ์ด้วยซ้ำแล้วไปคอรัสอีกอันทีแรกว่าจะวางเป็นดนตรีเฉย ๆ ด้วย ไป ๆ มา ๆ เราว่าใส่ท่อนบริดจ์เป็นภาษาฝรั่งเศสดีกว่า ก็เลยเกิดขึ้นมาในโมเมนต์นั้นอย่างนั้นเฉย ๆ เลย

ท่อนที่ร้องภาษาฝรั่งเศส แปลว่าอะไรบ้าง

Tu sais très bien
Ça ne marchera jamais

เธอรู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่มีทางเวิร์ก

Je reviendrai
Mais ça ne sera pas assez

ฉันจะกลับมานะ แต่มันคงจะไม่เพียงพอ

C’est mieux comme ça
Que ça reste l’amour d’été
Tu sais tu sais

ดีแล้วแหละที่ให้มันเป็น summer love ไป

เคยเจออะไรแบบนี้ในชีวิตจริงไหม

พูดได้ไม่เต็มปาก (ยิ้ม)

เพลงนี้ก็ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Before Sunrise เหมือนกันนะ

ชอบ มันเป็นเรื่อง magic moment ความแรนด้อมบางอย่าง อยู่ ๆ มันก็เกิดขึ้นนอกเหนือความคาดหมายมาก ๆ การไม่เป็นไปถามแผน มันก็คืออะไรในชีวิตที่มันเป็นความพิเศษ แต่สิ่งนึงที่ขัดใจในหนังเรื่องนี้คือพระเอกหน้าเหมือนน้องชายวีมาก แล้ววิธี express คือเหมือนน้องชายวีตอนที่มันยังผอม พอมันเป็นโมเมนต์ของการจีบหญิง วีก็รู้สึกว่า ทำไมชั้นต้องดูน้องชายชั้นจีบหญิงต่อหน้าต่อตาชั้นด้วย มันเลยมีความขัดใจตรงนั้นอยู่ จริง ๆ มันไม่ได้ผิดที่ใครเลย ผิดที่วีเอง (หัวเราะ)

ชอบไปปาร์ตี้ แล้วเคยคิดจะมีเพลงแดนซ์ของตัวเองบ้างไหม

อยากมีนะ แต่รู้ตัวว่าเป็นคนช้านิดนึง ไม่ใช่คนเร็ว หรือดีดขนาดนั้น นาน ๆ ดีดที ก็เลยรู้สึกว่าทำอะไรช้า คิดอะไรช้าอยู่

คิดจะกลับไปทำเพลงโฟล์กไหม

หลังจากอัลบั้มนี้จะทำเป็น EP เบา ๆ หรือไม่ก็จะทำให้มันเป็นอะคุสติกได้ เรายังอยากกลับไปที่จุดเริ่มต้นของเราเหมือนกัน กับความน้อย ๆ ที่เคยมี รอดูละกัน ตอนนี้กำลังเรียนรู้กับสิ่งที่ทำอยู่

เพลงส่วนใหญ่ของวีเป็นเพลงที่เหมาะจะฟังตอนขับรถ

อัลบั้มของตัวเองเต็ม ๆ ที่กำลังจะปล่อย มีเพลง Drive, Smoke, Brassac และอื่น ๆ ที่ยังไม่บอกนะคะว่าเพลงอะไร นั่งฟังแล้วรู้เลยว่าเป็นอัลบั้มที่ไว้ฟังตอนขับรถ มันมีความพุ่ง กว้าง แบบบอกไม่ถูก เหมือนกัน Brassac ยังมีท่อน ‘take me away, yeah, just drive’ ยังมีการ recall ถึง Drive หลาย ๆ ครั้งการขับรถมันเป็นโมเมนต์ที่เราได้ไอเดียเยอะสุด ก็เลยทำเพลงไว้ให้ฟังตอนขับรถเนี่ยแหละ

road trip ที่ชอบที่สุด

เอาจริง ไม่ค่อยได้ road trip บ่อย เวลาไปส่วนใหญ่ก็บิน แต่อันที่ชอบที่สุดคือตุรกีกับแก๊งเพื่อนสาว ทำหลายอย่างมาก และภูมิใจมากที่ราคาไม่แพงเลย ไปกัน 7 คน รถธรรมดาขับไม่ได้ ต้องนั่งรถตู้ใหญ่ ๆ รถมันใหญ่มาก มี luggage อีก 7 ใบ พอไปกับเพื่อนได้ลุยได้ซอกแซกตรงนั้น ตรงนี้ ระหว่างทางเดี๋ยวหลับ เดี๋ยวร้องเพลง ขับวนรอบตุรกี ไปนั่นนี่ Pamukkale, Cappadocia, Istanbul แค่นี้ก็รู้สึกสนุกแล้ว

มีเรื่องพีค ๆ กับเพื่อนตอนไปเที่ยวบ้างไหม

ตอนนั้นวีไปเกาะพะงันกับเพื่อนสองคน แล้วไปเจอกับเพื่อนอีกสองคนที่นู่น นั่งรถทัวร์ไป แล้ววีจอง แต่จองผิด ไปสมุย ก็โอเค ลงท่าเรือเดียวกัน ไม่เป็นไร นั่งเรือไปพะงัน แต่พอขากลับ จองจากสมุยกลับกรุงเทพ ฯ แปลว่าต้องขึ้นรถที่สมุย แต่ตอนนี้เราอยู่พะงัน ก็คิดว่า ทำไงดี ต้องไปให้ทันขึ้นเรือนี้ให้ได้ ก็เลยโทรไปบอกเขาว่า เราจะไปถึงท่าเรือนี้ช้ากว่าเรือสมุย 10 นาที ให้รอหน่อย

พอไปถึงปุ๊บ เขาไม่รอ เขาไปเลย เรากับเพื่อนแบบ ทำไงดีวะ เราต้องกลับกรุงเทพ ฯ นะ อยู่ต่อไม่ไหว ตอนนั้นไม่มีตังเลยต้องนั่งรถทัวร์กัน ไม่ได้นั่งเครื่องบิน ก็เลยเจอรถทัวร์บริษัทเดียวกัน ไปไหว้คนขับว่า ‘พี่คะ จะขึ้นกรุงเทพ ฯ ขอติดรถไปได้ไหม หนูตกรถ โทรไปบอกแล้วเขาไม่รอ’ เขาก็คงสงสารเด็กผู้หญิงสองคนแบกกระเป๋าจิ๋ว ๆ มากัน เขาก็บอกรถเต็มนะ แต่ไม่เป็นไร นั่งข้าง ๆ เขาก่อนตรงบันไดข้าง ๆ คนขับ เพื่อนก็นั่งบนขอบอะไรไม่รู้ แล้วเขาก็โทรไปบอกบริษัทรถทัวร์เขาว่า เนี่ยมีรถทิ้งผู้โดยสารสองคน มันจะมีจุดพักรถ ให้ไปรอหน่อย รถอีกคันก็โดน headquater บังคับให้รอ แล้วพอเราถึงเราก็วิ่งขึ้นรถกลับกรุงเทพ ฯ ได้ แต่ตอนขึ้นรถคือโดนมองทั้งคันว่าอีพวกนี้แกทำให้ฉันต้องสาย

มีที่ไหนอยากไปเที่ยวที่สุดตอนนี้

อยากไปไอซ์แลนด์ ออสเตรเลีย อยากไปโร้ดทริป

มิวสิกวิดิโอโดยผู้กำกับคนโปรด

วีเป็นคนที่มีความเป็นผู้หญิงมาก ชอบความละมุน และเชื่อใน girl power มาก ๆ เคยทำงานกับพี่ แม้ว—ปภาวี จิณสิทธิ์ และชอบงานพี่แม้วอยู่แล้ว จังหวะมันได้ด้วย พอกลับมาเจอกันก็รู้สึกเข้ามือมาก mv อีกตัวเลยบอกให้เขาทำด้วยเลย ความที่เป็นเพื่อนเป็นทีมงาน รู้จักกันอยู่แล้ว เวลาคุยกันมันก็ง่าย โปรดิวเซอร์ก็คือรุ่นพี่กลุ่มวี ตากล้องเบื้องหลังอีก ก็เลยรู้สึกทำงานแล้วสบายใจ ออกกองแล้วสนุก

วีโยนโจทย์ให้พี่แม้วว่า ขอเป็นตัวเอง ไม่ต้องยัดเยียด หรือ twist อะไรใด ๆ ทั้งสิ้น เล่ามันในแบบที่เพลงมันเป็น และอยากได้ความเป็น coming of age มาก ๆ คือโทนสีสบายตา แบบนี้เลย พี่แม้วก็ไปแตกมาว่าฉันจะเล่าแบบนี้ ๆๆๆ ช็อตแบบนี้ นั่นนี่ ลงดีเทล กับ storyline มาให้อีกทีนึง

อะไรคือเสน่ห์ในงานของแม้วที่ทำให้เราอยากร่วมงานอีก

วีว่ามันคือเทสต์เขาด้วยแหละ เป็นมู้ดบางอย่าง ซึ่งถ้าเคยเห็นหนังธีสิสของเขาที่วีกับ ก้อย—อรัชพร โภคินภากร เล่นอะ (Glowstick) มันเป็นเรื่องมู้ดมาก ๆ แล้วเพลงนี้มันต้องการมู้ด ความนึกถึงโมเมนต์ที่มันไม่จริง นึงถึงความโรแมนติก ความฝัน ความเบา และ pure แล้วพี่แม้วมีสิ่งนั้นมาก ๆ มันเข้าทางพี่แม้วในความเป็นผู้หญิงละมุน แล้ววีมีความรู้สึกว่าผู้หญิงมองผู้หญิงด้วยกันออกมากกว่าผู้ชายมอง คือความสวยนะ เช่น ผู้ชายถ่ายรูปเรา เขาจะรู้สึกว่าดูองค์ประกอบตรงนี้แค่นี้สวยและ แต่พอเรามาดูแล้วจะรู้สึกว่า จริงหรอ ฉันขัดใจหน้าฉันจังเลย แต่ถ้าผู้หญิงจะมีความละเอียดบางอย่าง แบบ ฉันรู้มุมว่าจะทำให้เธอดูสวยยังไง คือมันมีความเก็ตกันตรงนี้อยู่ของความเป็นผู้หญิงด้วยกัน

สิ่งที่คนอื่นคิดว่าวีโอเล็ตเป็น กับสิ่งที่เป็นจริง ๆ เหมือนหรือต่างกันยังไง

ก็คงใกล้เคียงกันนะ เราไม่รู้ว่าคนอื่นคิดว่าเราเป็นยังไง แต่ถ้านิสัย รู้สึกว่าเราเป็นคนใจเย็น เป็นคนจริงใจ แล้วก็เป็นคนที่มีความเปิดประมาณนึง

มีความเห็นยังไงกับผู้หญิงในสังคมยุคใหม่

รู้สึกว่าชื่นชมและภูมิใจ ผู้หญิงปัจจุบันไม่กลัวที่จะแสดงความคิดเห็น หรือเป็นตัวของตัวเอง และด้วยแคมเปญนั่นนี่ก็ช่วยเรียกร้องความแฟร์ให้กับผู้หญิง และสังคมก็ยอมรับได้กับความเสมอภาคของเพศมากขึ้น ยอมรับได้ว่านี่ไม่ใช่สังคมชายเป็นใหญ่ และมันโอเคที่ผู้หญิงจะอยู่เหนือกว่าบ้าง วัดตามความสามารถไป มันคือความเท่าเทียมกัน

ความเท่าเทียมของผู้หญิงในวงการ

มันดีกว่าสมัยก่อนเยอะแหละ ซึ่งเราเองก็อาจจะไม่ได้ทันยุคนั้นขนาดนั้นนะ เพราะโลกเปิดกว้างมากขึ้น แต่ก็ยอมรับว่ามันมีเรื่องที่ผู้หญิงต้องพยายามมากกว่าอยู่เยอะ แค่จะไปออกงานใด ๆ ก็ต้องมาแต่งหน้า หาชุดไม่ให้ซ้ำ ขณะที่ผู้ชายใส่สูทชุดเดียวทุกงาน จบ มันต้องมีความพยายามมากกว่าที่จะสร้างความประทับใจ standard ที่จะ impress อันนี้แค่ยกตัวอย่างเรื่องนึง มันยังมีเรื่องอื่นอีกเยอะ ในเรื่องบางเรื่องของผู้ชายมันง่ายกว่าผู้หญิง แต่มันก็มีบางเรื่องที่ยากกว่าสำหรับผู้ชายเหมือนกัน ซึ่งก็คือมันไม่แฟร์อยู่ในหลาย ๆ เรื่องแหละ แต่รวม ๆ แล้ว เราเจอฝั่งที่เป็นผู้หญิงอยู่หลายอย่าง เลยรู้สึกว่าต้องพยายามที่จะพิสูจน์เยอะ

สิ่งล่าสุดที่วีสนใจ

Netflix นับปะ ชีวิตนี่ จะบอกว่าไม่มี Netflix ก็ไม่ได้ จะโทษเขาก็ไม่ได้ มันอยู่ที่ตัวเรา แต่มันทำให้เราอยู่หน้าทีวีเยอะมาก (หัวเราะ) เรารู้สึกติดมาก ดูทุกอย่างที่อยู่ในนั้น ถ้าเขาจะจ้าง presenter จ้างวีได้เลยค่ะ (หัวเราะ)

ตอนเพลง ก็แค่ไม่มีฉัน เห็นว่าสนใจ handpan

วีว่าไม่ใช่อัลบั้มนี้ อาจจะอัลบั้มหน้าถ้าวีเริ่มมีคอนเซ็ปต์ หรือไอเดียอื่น เพราะวีรู้ว่าอัลบั้มนี้มีความทดลองเยอะ แล้วพอมานั่งคิดดี ๆ ก็รู้สึกว่าคอนเซ็ปต์ชั้นไม่ได้แข็งแรงพอ แต่ชั้นกลั้นหายใจตรงนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ฉันต้องปล่อยออกมาแล้ว งั้นชั้นหายใจไปก่อน คนจะมองว่ายังไงก็ไม่โกรธกัน เพราะเรารู้สึกว่าทำดีที่สุดในโมเมนต์นึง เริ่มจากการทำทีละเพลง ไม่ได้เริ่มจากคอนเซ็ปต์ คือทำไปเรื่อย ๆ แล้วเข้าใจสโคปว่าอยู่แถว ๆ นี้ แล้วก็ทำ แล้วคอนเซ็ปต์เรามาทีหลังว่าทำไมมันถึงอยู่รวมกันได้ แต่สำหรับอัลบั้มหน้าเราจะทำจากคอนเซ็ปต์แล้วแตกมาเป็นเพลง

Brassac

ทำไมถึงกลับมาอยู่ค่าย Universal Music Thailand

จริง ๆ พูดไม่ได้เต็มปากนะว่ากลับมาอยู่ค่าย วีไม่ได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินค่าย แต่เซ็นเป็นอัลบั้ม เหมือนเป็น license contract คือปล่อยอัลบั้มนี้กับเขา แล้วเราเป็น partner กัน ตัววีเป็นอิสระอยู่ ยังคุมโปรดักชันทุกอย่าง ลิขสิทธิ์ทุกอย่างเป็นของวี แต่ฝั่งนี้จะทำ marketing ให้วี แล้วทำงานไปด้วยกัน แบ่ง profit กัน

มีคนฟังเพลงของวีในสตรีมมิงที่ต่างประเทศเยอะมาก

จากเพลงที่ผ่านมาในอัลกอริธึมมันก็ขึ้นว่ามีต่างประเทศฟัง แต่มันอาจจะไม่ได้จริงขนาดนั้นไม่งั้นเพลงมันก็ต้องไปไกลแล้วสิ คือตัวเลขมันน่าจะเป็นคนไทยที่อยู่ที่นู่น ฝรั่งอาจจะฟังน้อยมาก ๆ

แต่กับเพลง Brassac อัลกอริธึมเปลี่ยน ดูเป็น top cities เอาใน Spotify มันขึ้นที่หนึ่งคือ Bangkok ไม่แปลกใจ ทีนี้ปกติมันจะตามด้วยเชียงใหม่ นครปฐม แต่อันนี้มันขึ้นเป็น Taipei ละ ชื่อ top 5 มันกระจายไม่ใช่ต่างจังหวัดในไทย แต่เป็นต่างประเทศด้วย

เป้าหมายจะทำให้งานไประดับโลกมากขึ้น

อยากให้ไปได้นะ แต่อยากให้ step by step ไป เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็ได้แค่หวัง

ตอนนี้ยังได้โหน่ง The Photo Sticker Machine มาโปรดิวซ์อยู่เหมือนเดิม

เป็นเพลงที่ 3 แล้ว ก็แฮปปี้ดีค่ะ เป็นด้านใหม่ให้คนได้เห็นบ้าง อย่าง Drive กับ Smoke ยังเป็นดนตรีซีเรียส มีความดาร์ก เครียดอะไรบางอย่างอยู่ แต่เราก็รู้สึกว่าจริง ๆ ตัวเราไม่ได้เป็นคนดาร์ก 100% ขนาดนั้น เรามีความเดี๋ยวก็บ้าบอ มีความหลายอารมณ์ในคนคนเดียวอยู่แล้ว เราจะไปทางนั้นทางเดียวไม่ได้ ก็ต้องมีการทำให้ฟังสบายขึ้น เลยมีเพลงโทนแบบนี้ออกมาให้ได้ฟังกัน

กับอีกอย่างเคยคุยกับพี่โหน่งว่า วีต้องแต่งเพลงที่มันเร็วขึ้นบ้าง จะมาเนิบอย่างเดียวไม่ได้ เพราะถ้าคนไปดูโชว์เธอจริง ๆ แล้วคนจะหลับนะ มันก็จริง เราไม่มีเพลงที่ขยับได้ เต้นได้ ทำให้เรียนรู้ว่าเพลงเร็วมันทำยากมาก แล้วพอ Brassac ออกมาก็ไม่ใช่เพลงเร็ว ยังเป็นจังหวะกลาง ๆ อยู่ แต่มันมูฟได้ แค่ยังต้องเรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ด้วย เหมือนเวลาเราเริ่มเขียนก็ต้องคิดให้จังหวะมันเร็วขึ้นด้วย

คิดว่าจังหวะชีวิตของตัวเองเหมือนเพลงเร็วหรือเพลงช้า

ผสมกัน เดี๋ยวก็เร็วเดี๋ยวก็ช้าแหละ อย่างตอนนี้มันก็ medium นะ อยู่ในจังหวะที่ไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ อยู่ ไม่ได้รู้สึกว่ามันวิ่งเร็ว แต่ก็ไม่ได้หนืดช้าขนาดนั้น

แผนระยะสั้นตอนนี้มีอะไรบ้าง

ว่าจะปล่อยอัลบั้มตอนพฤษภาคม แต่ก่อนนั้นจะปล่อยอีกซิงเกิ้ล จะมาพร้อม pre-order อัลบั้ม แล้วระหว่างนี้ก็จะทำมิวสิกวิดิโอใหม่ ทำโชว์ใหม่ เพราะตอนนี้ก็งด covid-19 ด้วยก็พักกันไปพอดีถือว่าได้คิดโชว์ใหม่ทั้งหมดให้มันรองรับอัลบั้มเราด้วย

หนังที่กำลังจะเล่น

ไปถ่ายที่นิวยอร์กมา ชื่อ ‘One For the Road’ ตัวแสดงมี ไอซ์สึ ต่อ ธนภพ ออกแบบ นุ่น ศิรพันธ์ พลอย หอวัง มีภาพโปรโมตออกมาแล้ว หนังน่าจะออกปีนี้แหละ ก็ถ่ายทำกันหฤโหดสุด ๆ ด้วยอากาศเดือนธันวา ปีใหม่ คริสต์มาสของนิวยอร์กขึ้นชื่อว่าหนาวชิบหาย

ก่อนหน้านี้ให้ บาส นัฐวุฒิ ทำ mv แต่นี่เป็นหนังเรื่องแรกที่ร่วมงานกัน

มีความรู้สึกเป็นทีมเวิร์กอยู่ เราเชื่อใจพี่บาสมาก พี่บาสว่าไงเราก็ว่างั้น แต่มีเถียงนะ ไม่ใช่ไม่เถียง เราก็กล้าพูดความเห็นของเราว่าทำไมเราถึงคิดอย่างนั้น พี่บาสก็จะมีความคิดเห็นของเขา สุดท้ายเราก็เชื่อพี่บาส เขาจะรับฟังไหมไม่รู้ แต่เราก็อยากบอกความคิดของเรา ถ้าเขาเลือกจะไปอย่างนั้นก็ได้

นักแสดงก็มีสิทธิ์แสดงความเห็นของตัวเอง ไม่ใช่แค่ตามผู้กำกับ

ใช่ อย่างช่วงเวิร์กช็อปก็คือคุยกันเลยว่า คาแร็กเตอร์ตัวนี้เป็นยังไง เห็นต่าง เห็นตรงกันยังไง

การเป็นศิลปิน กับนักแสดง มีความกดดันเหมือนหรือต่างกันยังไง

กดดันทั้งสองแบบ เรามีความเป็นคน perfectionist นิดนึง อยากให้คนยอมรับ ตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เป็นเด็กลูกครึ่งที่ สมมติพูดอะไรไป เพื่อนก็จะแบบ ‘เธอจะเข้าใจอะไร เธอแม่งเด็กฝรั่ง’ แล้วพอไปเมืองนอก เขาก็บอกว่าเราเป็นเด็กไทย เอ้า แล้วจริง ๆ กูเป็นเด็กอะไรวะ ทั้งที่กูก็เป็นทั้งสองเด็กนั้นอะ มันเลยเป็นความรู้สึกอยาก belong อยากได้รับการยอมรับมั้ง เป็นคนที่เวลาทำอะไรอยากจะทำให้ดีมาก ๆ

มันเลยทำให้มาตรฐานเราเองสูงและใจร้ายกับตัวเองเหมือนกันนะ เหมือนลืมไปเหมือนกันว่าตั้งแต่แรกเราเริ่มทำทุกอย่างเพราะอะไร หรือพอเล่น ‘ฟรีแลนซ์’ แล้วได้รางวัล ก็แบบ ‘ฉันต้องเล่นให้ดี จะฟอร์มตกไม่ได้’ ซึ่งมันโฟกัสผิดจุดมาก มันควรเป็น ‘ฉันทำให้ดีที่สุด และโฟกัสกับตัวละคร’ ไปสิ เคยมีโมเมนต์ว่ากลัวคนจะมองฉันว่าเล่นไม่ดี มันผิดจุดไปมาก

หรือว่าเพลงตัวเอง กลัวคนจะไม่ชอบ มันก็มีบางเพลงที่แต่งเพื่อ please คน ทำไปแล้วไม่มีความสุขเลย ก็กลับมาถามตัวเองว่า ฉันชอบเพลงนี้แล้วรึยัง และมา realize ว่าเราลืมจุดเริ่มต้นของเราไปแล้ว ว่าเราทำเพื่อตัวเอง เราเป็นคนร้อง เราต้องชอบสิ เลยวนกลับมาเอาแค่เราชอบ เอาตัวเองเป็นหลัก คิดถึงแค่ process ก่อนเพราะผลลัพธ์มันคาดเดาไม่ได้ แต่สุดท้ายเดี๋ยวนี้ก็มีความเชื่อว่า ถ้าฉันแฮปปี้ ฉันโอเคแล้ว พอ

Brassac นี่ชอบรึยัง

ชอบแล้ว เปิดฟังแล้วรู้สึก วู้วววว ชอบมาก

ฝากผลงาน

ฝากเพลง Brassac ด้วยนะคะ เพลงนี้หลายคนน่าจะรู้สึกว่า อยากมาลองมีประสบการณ์แบบนี้ผ่านเพลงของวี หวังว่าทุกคนจะชอบเพลงนี้แบบที่วีชอบค่ะ ฟังได้แล้วทุกแอพลิเคชัน แล้วก็ facebook instagram ค่ะ

Brassac

อ่านต่อ

ฉีกทุกความคุ้นเคย Violette Wautier เตรียมปล่อยอิเล็กทรอนิกป๊อปเพลงแรก ก็แค่ไม่มีฉัน
A New Lease On Life : Violette Wautier

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้