Quick Read Snacks

ชวนฟัง 10 เพลง จาก 10 ตอนของ The Umbrella Academy Season 1

  • Writer: Malaivee Swangpol

สิ่งที่ชอบมาก ๆ หลังจากดู​ The Umbrella Academy จบ ก็คือเพลงประกอบในซีรีส์แทบทุกเพลงที่ฟังเพลินมาก ยิ่งฉากต่อสู้คือเพลงประกอบเท่สุด ๆ วันนี้เราเลยขอมารวบรวม 10 เพลงจาก 10 ตอน ที่อาจจะทำให้กลับไปย้อนดูหลายอีกครั้ง ตามเรามาเลยจ้า

*มีการเปิดเผยเนื้อหาในเรื่อง*

ตอน 1 We Only See Each Other at Weddings and Funerals

Tiffany – I Think We’re Alone Now

เมื่อเหล่าพี่น้องกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แต่ความยุ่งเหยิงก็เหมือนจะยังอยู่เหมือนเดิม ลูเธอร์ก็ได้หยิบไวนิลขึ้นมาเปิด แล้วทุกคนก็พร้อมใจกันเต้นในพื้นที่ส่วนตัวที่ทุกคน ‘are alone now’ ตามเพลงจริง ๆ ซึ่งเพลงนี้ก็เหมือนจะย้อนรำลึกถึงคุณพ่ออย่างเซอร์เรจินัลด์ ฮาร์กรีฟส์ ผู้เข้มงวดกับเด็ก ๆ ดั่งเนื้อเพลงท่อนแรก ‘Children behave’ โดยเวอร์ชั่นออริจินัลของเพลงนี้ออกจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี 1967 โดย Tommy James and the Shondells ซึ่งเวอร์ชั่นคัฟเวอร์ของ Tiffany ที่ออกจำหน่ายในปี 1987 ได้รับความนิยมจนติดชาร์ต Billboard Hottest 100 ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นศิลปินโนเนม

Children behave, that’s what they say when we’re together
And watch how you play
They don’t understand

ตอน 2 Run Boy Run

Paloma Faith – Never Tear Us Apart 

ไฟว์นึกภาพตอนที่เขาข้ามเวลาไปในอนาคต แล้วพบว่าทุกอย่างสูญสิ้นไปกับอะพอคคาลิปส์ เหล่าพี่น้องก็ล้มตายอยู่เคียงข้างกัน เพลงนี้ก็ดังขึ้นมาคู่ไปกับความเดียวดายของเขา ซึ่งคำว่า they could never tear us apart ในเพลงจริง ๆ ก็อาจจะหมายถึงความสัมพันธ์แบบ love-hate relationship ของสมาชิก The Umbrella Academy ที่สุดท้ายก็ขาดกันไม่ได้ เพลงนี้เป็นของ INXS วงร็อกจากออสเตรเลีย โดยเริ่มเพลงด้วยเสียงแซมป์ออเครสตร้า และเทมโป้ของเพลงวอลทซ์ คั่นด้วยท่อนหยุดแบบดึงอารมณ์ ซึ่งสำหรับเวอร์ชั่นคัฟเวอร์ของ Paloma Faith นี้ เดิมเธอคัฟเวอร์เพลงนี้เพื่อประกอบโฆษณา และโด่งดังจนขายไปได้กว่าสองแสนแผ่นในสหราชอาณาจักร

I, I was standing
You were there
Two worlds collided
And they could never tear us apart

ตอน 3 Extra Ordinary

Nina Simone – Sinnerman

เพลงนี้เปิดประกอบฉากการต่อสู้สุดดุเดือดภายในบ้านระหว่างเฮเซล-ชาช่า กับเหล่า The Umbrella Academy ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในเพลงที่ดังที่สุดของ Nina Simone เดิมเป็นเพลงพื้นเมืองของชนแอฟริกัน-อเมริกันที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการหลบหนีจากพระเจ้าของคนบาป ในวัน Judgement Day ผู้ที่บันทึกเสียงเพลงนี้เป็นรายแรกคือ the Les Baxter Orchestra ในปี 1956 ซึ่งด้วยท่อนรัวไฮแฮทที่ฟังดูสนุก ๆ ในเวอร์ชั่นของ Simone ก็ทำให้มีการเอาเพลงนี้ไปใช้ในภายนตร์และโฆษณามากมาย รวมถึงยังเป็นเพลงที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับ Nina Cried Power ของ Hozier อีกด้วย

Oh, sinnerman, where you gonna run to?
Sinnerman where you gonna run to?
Where you gonna run to?
All on that day

ตอน 4 Man on the Moon

David Gray – This Year’s Love

ตอนที่ดิเอโกรีบเร่งไปหายูโดร่า นักสืบสาวอดีตแฟนของเขาแต่ก็มาพบว่าไม่ทันเสียแล้ว เพลงนี้ค่อย ๆ ขึ้นมากับบรรยากาศเศร้า ๆ แถมเสียงรถหวอของตำรวจก็ใกล้เข้ามาทุกที This Year’s Love มาจากอัลบั้มที่สี่ของ David Gray ศิลปินโฟล์ก-ร็อกชาวอังกฤษ ซึ่งวางจำหน่ายในปี 1999 โดยติดอันดับที่ 20 ใน UK Singles Chart

This year’s love had better last
Heaven knows it’s high time
I’ve been waiting on my own too long
And when ya hold me like you do
It feels so right oh now

ตอน 5 Number Five

 Noel Gallagher’s High Flying Birds – In The Heat Of The Moment

ฉากเปิดที่ไฟว์ตอนเด็กกำลังเดินลากรถเข็น แล้วเขาก็ค่อย ๆ แก่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเคราหงอก แต่ถึงแม้จะผ่านไปนานเท่าไหร่ โดโลเรสก็ไปกับเขาทุกที่ ด้วยไลน์เบสดิสโก้พุ่ง ๆ และจังหวะร็อกที่มั่นคงก็เข้ากับฉากนี้ที่มีเพียงไฟว์เดินในโลกที่ไม่มีใคร เพลงนี้เป็นซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มที่สองของวง Chasing Yesterday เพลงนี้เขียนขึ้นโดยใช้แรงบันดาลใจจากนักบินอวกาศที่บอกว่า ‘การเดินทางไปอวกาศเป็นครั้งแรกเปรียบได้กับการสัมผัสใบหน้าของพระเจ้า’ เพลงนี้เลยมีการใช้ซาวด์แปลก ๆ เพื่อให้รู้สึกถึงการเดินทางไปนอกโลก

I know you’ll be by my side
In the heat of the moment
When the thunder and lightning come
I know that you’ll be by my side

ตอน 6 The Day That Wasn’t

Gin Wigmore – Kill Of The Night 

สุดท้ายไฟว์ก็เผยแผนการของเขาออกมาว่าอยากจะช่วยหยุดอะพอคคาลิปส์ เลยจัดการกลอเรียและส่งข่าวปลอมไปเอง แถมในขณะเดียวกัน เฮเซลก็ได้ซ้อนแผนจัดการชาช่า ซึ่งเพลงสนุก ๆ กับเสียงแสบ ๆ จากสาว Gin Wigmore ก็เข้ากับซีนต่อสู้ได้เป็นอย่างดี เพลงนี้เกี่ยวกับหญิงสาวผู้อันตรายพอ ๆ กับสถานที่ที่เธออาศัยอยู่ และเธอฆ่าคนเพื่อความสนุกส่วนตัว

I’m gonna catch ya
I’m gonna get ya, get ya
Oh, ah, oh
I wanna taste the way that you bleed, oh
You’re my kill of the night

ตอน 7  The Day That Was

Radiohead – Exit Music (For A Film)  

ไฟว์ย้อนเวลามาเพื่อเปลี่ยนทุกอย่างอีกครั้ง แต่ในตอนจบของตอนก็เหมือนทุกอย่างจะแย่ลงอีก เพลงนี้ร้อยเรียงเรื่องของตัวละครเฮเซลกับชาช่า ในโมเตล,​ อัลลิสันที่กำลังเดินทางไปช่วยน้องสาวตามลำพัง,​ เคลาส์ที่ผิดหวัง และรู้สึกสมเพชในตัวเอง, ลูเธอร์กับครั้งแรกในชีวิตที่ไปผับ,​ ดิเอโกที่โดนจับ, ไฟว์ที่กำลังนอนหลับ จิตใจก็กังวลถึงอะพอคคาลิปส์, แวนญาและคนรักของเธอที่ไม่ได้สติ กับพลังที่เธอได้ปลดปล่อยออกไป ก่อนจะกลับมาปิดท้ายอีกครั้งด้วยอัลลิสันที่กำลังเดินทางต่อไปอย่างมุ่งมั่น โดยเพลงนี้ เดิม Radiohead แต่งให้กับหนังเรื่อง Romeo + Juliet ในปี 1996 ที่ Thom Yorke นักร้องนำของวงเคยพูดถึงที่มาที่ไปของเพลงนี้ว่า เขาดูเวอร์ชั่นเก่าตอนเด็ก ๆ แล้วก็ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรในฉากที่จูเลียตตาย ซึ่งด้วยความฝังใจก็น่าจะทำให้เพลงออกมาลึกซึ้งขนาดนี้ โดย Baz Luhrmann ผู้กำกับเคยให้สัมภาษณ์ว่านี่น่าจะเป็น exit music ที่ดีที่สุดที่เคยมีมา ซึ่งรีเวิร์บที่ได้ยินในเพลงมาจากการอัดเสียงร้องที่ที่บันไดหินในแมนชั่นที่พวกเขาใช้อัดเพลง

Breathe
Keep breathing
Don’t loose
Your nerve
Breathe
Keep breathing
I can’t do this
Alone

ตอน 8 I Heard a Rumor

Hooverphonic – Mad About You 

ฉากที่เชื่อมต่อระหว่างการที่แวนญาทะเลาะกับอัลลิสันจนเกิดเรื่องเศร้าขึ้น กับการที่เหล่าพี่น้องเดินทางมาเห็นเธอกำลังนอนลมหายใจรวยรินอยู่ เพลง Mad About You พูดถึงการหลงรักใครซักคนนึงมาก ๆ ทั้งที่เป็นความรักต้องห้าม คล้ายกับเรื่องราวของแวนญาที่อัลลิสันคอยมาห้ามเธอเสมอ ๆ  เพลงนี้แต่งโดยวง Hooverphonic จากเบลเยียม และเป็นหนึ่งในเพลงที่ดังที่สุดของวง นอกจากนี้ก็มีการนำมาใช้ในภาพยนตร์หลายเรื่อง และในเอ็มวีเพลงนี้ก็ยังพูดถึงความรักต้องห้ามระหว่างคนกับสัตว์ประหลาดด้วย

Trouble is my middle name.
But in the end I’m not too bad
Can someone tell me if it’s wrong to be so mad about you

ตอน 9 Changes

Smith Westerns – All Die Young  

อีกครั้งที่เหล่าพี่น้องแยกย้ายกันไปพักผ่อนเงียบ ๆ ในมุมของตัวเอง อัลลิสันโกรธลูเธอร์ที่ขังน้องสาวของเธอไว้,​ ดิเอโกนั่งบนโต๊ะกินข้าวที่ว่างเปล่า ก่อนที่แม่จะทำแพนเค้กมาเยียวยาจิตใจให้,​ เคลาส์พยายามฝึกใช้พลังเรียกวิญญาณกับเบน,​ แวนญาที่สิ้นหวังอยู่ในห้องขัง และไฟว์ กับการเห็นหน้าโดโลเรสครั้งสุดท้าย All Die Young คือเพลงเพาเวอร์บัลลาดจาก Smith Westerns วงอินดี้แกลมร็อกจากสหรัฐอเมริกา เพลงนี้พูดถึงการคงหัวใจของความเป็ะฟนเด็กไว้เสมอจนถึงวันตาย

I wanna grow old before I grow up
I wanna die with my chin up
And definitely maybe I will live to love
Definitely maybe I will live to love

ตอน 10 The White Violin

Bay City Rollers – Saturday Night  

หลังจากแวนญาถล่ม The Umbrella Academy พวกเขาก็ไปรวมตัวที่ลานโบว์ลิ่ง แต่ก็กลายเป็นว่าทุกอย่างผิดแผนไปหมดแถมก็มีทหารรับจ้างมาถล่มพวกเขาอีก โดยความตลกก็คือ ท่ามกลางการกราดยิงกระหน่ำ ไฟก็ดับลงและกลายเป็น dancefloor ท่ามกลางเสียงปืน พร้อมกับเพลงนี้ที่ดังขึ้น จังหวะร็อกแอนด์โรลล์ที่คู่กับฉากวิ่งหนีแบบสโลว์โมชั่นก็ตลกไปอีกแบบ Saturday Night เพลงโดย Nobby Clark ในปี 1973 และถูกนำมาคัฟเวอร์โดย Bay City Rollers ในปี 1975 ในท่อนฮุคที่ร้องคำว่า S.A.T.U.R.D.A.Y N.I.G.H.T ก็ทำให้เพลงนี้เป็นที่จดจำ และติดชาร์ตอันดับ 1 ใน Billboard Hot 100 ในปีต่อมา ซึ่งการตะโกนแบบนี้ ก็ยังไปเป็นแรงบันดาลใจให้กับ The Ramones ให้คิดท่อนตะโกนที่เป็นตำนานอย่าง Hey! Ho! Let’s go ในเพลง Blitzkreig Bop อีกด้วย

Gonna dance with my baby till the
Night is through
On Saturday night, Saturday night
Tell her all the little things I’m
Gonna do


โดยผู้ที่คัดสรรเพลงของเรื่องนี้ไม่ใช่ Gerard Way ที่หลาย ๆ คนคิดไว้ แต่เป็น Steve Blackman โปรดิวเซอร์ของเรื่อง ซึ่งเขียนชื่อเพลงลงไปในสคริปต์เลย แต่อย่างไรก็ดี หนุ่ม Gerard ก็ได้ร่วมกับ Ray Toro มือกีตาร์คู่ใจจาก My Chemical Romance คัฟเวอร์เพลง Hazy Shade Of Winter ของ Simon and Garfunkel และ เพลง Happy Together ของ The Turtles ประกอบซีรีส์ ส่วนชาช่า ที่แสดงโดย Mary J. Blige นักร้อง R&B ชื่อดัง ก็ได้คัฟเวอร์เพลง Stay With Me ของ Rod Stewart ไว้ในตอน 8 ขณะกำลังเผาร้านโดนัทด้วย ครบเครื่องสุด ๆ เลยทีมงานเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี Blackman ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ศิลปินหลาย ๆ คนไม่อนุญาตให้ทางซีรีส์เอาเพลงไปใช้ ทั้งที่ได้เสนอค่าตอบแทนสูงลิ่ว ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่บางเพลงในเรื่องเป็นเวอร์ชั่นคัฟเวอร์แทนเวอร์ชั่นออริจินัล

อ้างอิง

‘Umbrella Academy’: 2019’s Best TV Soundtrack Owes Less Than You’d Think to Gerard Way I Think We’re Alone Now

The Umbrella Academy Soundtrack Never Tear Us Apart Gin Wigmore Radiohead Exit Music (for a Film) (4:24) Mad About You (Hooverphonic song) All Die Young Saturday Night (Bay City Rollers song)

Facebook Comments

Next:


Malaivee Swangpol

มิว (เรียกลัยก็ได้)​ โตมาข้าง ๆ วงมอชแต่ตอนนี้ฟังทุกแนว ชอบอ่านหนังสือ ตามหาของกินอร่อย ๆ และตอนนี้ก็คงกำลังวางแผนเที่ยวรอบโลกอยู่