Ben Frost ผู้อยู่เบื้องหลัง 'เสียง' ดนตรีประกอบ Dark ซีรีส์เยอรมันสุดลึกลับแห่งปี

Article ตาดูหูฟัง

Ben Frost ผู้อยู่เบื้องหลัง ‘เสียง’ ดนตรีประกอบ Dark ซีรีส์เยอรมันสุดลึกลับแห่งปี

เมื่อไม่นานมานี่ มีเพจเฟซบุ๊กเพจหนึ่งจัดอันดับซีรีส์ที่ทุกคนชอบที่สุดใน Netflix โดยใช้วิธีแข่งแบบทัวร์นาเมนต์ ให้ทุกคนโหวตซีรีส์ทีละคู่ไปเรื่อย ๆ ว่าเรื่องไหนจะเป็นเรื่องที่ทุกคนชอบที่สุดในบรรดาทั้งหมด เมื่อมาถึงคู่สุดท้าย ไม่แปลกใจเลยที่ ‘Stranger Things’ จะมาได้ถึงรอบสุดท้าย ทุกคนยังตื่นเต้นกับการปกป้องเมืองที่เด็ก ๆ รัก สู่การผจญภัยไปสู่โลกต่างมิติเพื่อต่อสู้กับสัตว์ประหลาด

แต่หลายคนอาจจะแปลกใจที่ผู้ท้าชิงซีรีส์ชื่อดัง กลับเป็นซีรีส์สัญชาติเยอรมันที่คนไทยอาจจะไม่ค่อยรู้จักอย่าง ‘Dark’ ที่มีเซ็ตติ้งในยุค 80 และกลิ่นอายของความเป็น thriller เขย่าขวัญเหมือนกัน แต่ด้วยคอนเซ็ปต์ที่เข้มข้นกับการหยิบเรื่องการเดินทางข้ามเวลา มาเล่าได้อย่างซับซ้อนน่าติดตาม แถมดิบเถื่อนจัดเต็มด้วยเรตติ้ง 18+ จนเราต้องเหวอกับทุกจุดพีคของเรื่อง ทำให้แฟน ‘Stranger Things’ ก็หันมาดูเรื่องนี้กันเยอะ จนมีฐานแฟนเหนียวแน่นมากมาย

แน่นอนว่า Dark ก็ชนะในทัวร์นาเมนต์นี้ไปแบบไม่มีข้อกังขาเลย

เมื่อเด็กคนหนึ่งหายตัวไป ทำให้เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว และยิ่งสืบหาต้นตอของมันเท่าไหร่ ก็ยิ่งพบว่าเมืองนี้ถูกผูกพันไว้กับเส้นเวลา และความสัมพันธ์อันซับซ้อนที่เชื่อมโยงหลายครอบครัวเข้าด้วยกัน ยิ่งคิดว่าตัวเราเข้าใกล้ความจริงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเบื้องหลังยังมีอะไรน่าสะพรึงอีกมากมาย สร้างบรรยากาศอันน่ากลัวได้อย่างน่าประหลาด

แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ยิ่งน่าพรั่นพรึง นำพาให้การเล่าเรื่องยิ่งหนักหน่วง หลอกหลอน ชวนหวาดระแวงขึ้นเป็นเท่าตัว ก็คือ ‘เสียง’ ที่เหมือนยกบรรยากาศอันเย็นชาอ้างว้างหนาวเหน็บมาไว้ในบ้านเรา Ben Frost เติมเต็มความสยองขวัญลงไปในช่องว่างนั้น เรียบเรียงความสะพรึงกลัวลงไปในบรรยากาศเหล่านั้นอย่างละเมียดละไม ซับซ้อนซ่อนเงี่อนเหมือนประเด็นของเรื่อง และหลีกเลี่ยงที่จะทำให้เข้าถึงง่ายไว้ก่อนเสมอ

ตัว Ben Frost ก็ไม่ใช่ไก่กา เขาเคยประพันธ์เพลงประกอบหนังและซีรีส์ยุโรปมาบางเหมือนกัน แต่โชว์ Sólaris ทำให้เขากลายเป็นที่จับตามองในฐานะนักประพันธ์เพลงน่าใหม่ที่ฝีมือหวือหวามาก กับการเขียนเพลงโดยหยิบยกแรงบันดาลใจจากนิยายและหนังในชื่อเดียวกันมาตีความใหม่ พร้อม composer ชื่อดังอีกสองคน ทำให้ฝีมือของเขาเป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้น แถมยังมีอัลบั้มเพลงของตัวเองอีกหลายอัลบั้ม ที่สร้างสรรค์ไว้หลากหลายแนวเพลงตั้งแต่ ออเคสตรา minimalism ไปจนถึงร็อก และเมทัล

เขาบอกว่า การได้มาร่วมงานในโปรเจกต์นี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วมาก วันหนึ่งที่ได้รับอีเมล์มีใจความสำคัญว่า ‘DARK ภาษาเยอรมัน การข้ามเวลา’ รู้ตัวอีกทีเขาก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว

การทำงานอันบ้าคลั่ง

ทันทีที่มาถึงเมืองเบอร์ลิน เขาก็ตามหาแรงบันดาลใจอันเย็นชาและแห้งแล้งในประเทศนี้ทันที ยิ่งได้พูดคุยถึงไอเดียเบื้องหลังของเรื่อง ตัวเขาเองก็มีเสียงในใจมากมายที่อยากหยิบมาใช้ โดยเฉพาะซาวด์บาดหูในคลัง midi ซึ่งแรงกระตุ้นชั้นดีในการเขียนเพลงให้กับซีรีส์นี้ มีส่วนผสมของ Pan Sonic อยู่ค่อนข้างมาก กับดนตรีสาย noise industrial ทดลองจัด ๆ แล้วค่อย ๆ ลดทอนมันลง ให้เหลือเพียงเมโลดี้พื้นฐานไม่กี่ตัว และเรียบเรียงให้มันเป็นลูปอันน่าเคร่งเครียดอึดอัดใจ

ซึ่งในเรื่องนี้ Frost เลือกที่จะใช้เครื่องสายสังเคราะห์มากกว่าจะใช้เครื่องสายจริง แถมยังเขียนโน้ตไว้แบบกว้าง ๆ ไม่ตีกรอบอะไรมันมาก เมื่อได้เมโลดี้มาชุดหนึ่ง เขาจะเขียนเมโลดี้ชุดนี้ขึ้นมาอีกเจ็ดแบบ โดยทำให้มันช้าลง เร็วขึ้น เบาลง ดังขึ้น หรือใส่เงื่อนไขให้มันซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าคนชอบ a จะเลือก b เริ่มด้วยเมโลดี้ชุดนี้ อีก 60 วิใช้อีกชุดหนึ่ง เลือกจะเชื่อทีมงานคนนี้ หรือเลือกที่จะไม่เชื่อแค่ทีมงานคนนี้ ทำตามหรือไม่ทำตามไปเลย

ลองหยิบโน้ตไวโอลินมาให้เชลโล่เล่น แล้วเอาเบสมาเล่นโน็ตของไวโอลิน ให้ทุกคนเล่นโน็ตแบบกลับหัวกระดาษ หรือย้อนกลับ สร้างเกมขึ้นมาเพื่อสร้างเงื่อนไขในการเล่นดนตรีในแต่ละท่อน เพื่อสร้างโลกที่เป็นไปไม่ได้ให้กับหนังเรื่องนี้

การทำเพลงให้กับซีรีส์มันสนุกกว่าการเขียนเพลงให้กับหนัง ตรงที่ว่าหนังอาจมีเวลาแค่ชั่วโมงครึ่งในการเล่าเรื่องผ่านเพลงประกอบ แต่ซีรีส์ ‘Dark’ มีเวลาให้เขามากถึง 7 ชั่วโมง ยิ่งมีเวลามากเท่าไหร่ ดนตรีก็ยิ่งวิวัฒนาการตัวเองไปได้ไกลตามประเด็นในเรื่องด้วย

เมื่อเขากางโปรแกรมทำเพลงขึ้นมามันก็เต็มไปด้วยความโกลาหล หลังจากที่ทดลองดึงความแหลมของเสียงแต่ละเสียงขึ้นมา และปรับแต่งมันด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนหน้านี่เวลาอัดเสียงก็จะมีนักดนตรีมืออาชีพหลายคนพร้อมเล่นในสิ่งที่เราต้องการ แต่การตีตบกับคีย์บอร์ดด้วยตัวเองมันทำให้เขาสร้างสิ่งแปลกใหม่ได้น่าสนใจกว่า

แต่ในเรื่องจะเห็นว่ามันถูกแทรกด้วยเพลงป๊อปยุค 80 หรืออินดี้ป๊อปยุคนี้ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผู้กำกับจะเป็นคนเลือกซะมากกว่า Frost ก็ช่วยเลือกบ้างบางเพลง ยิ่งเพลงที่เลือกมันแตกต่างหรือตรงข้ามกับซาวด์แทร็กของเรื่องมากแค่ไหน มันยิ่งทำให้ดนตรีที่เขียนมันน่ากลัวขึ้นเท่านั้น

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับการทำเพลงประกอบของซีรีส์ ก็คือเวลา ซึ่งในเรื่องมีการข้ามยุคไปมาทั้งจากอดีตไปจนถึงอนาคต Frost มองว่าสกอร์ควรจะทำหน้าที่เป็นเส้นด้ายที่เชื่อมทุกมิติให้เป็นเนื้อเดียว ในเรื่องเราจะได้เห็นตัวละครตัวหนึ่งทั้งตอนเด็ก ตอนหนุ่ม และตอนแก่ ทั้งสามคนจะถูกตัดสลับไปมาตลอดเวลา ดนตรีประกอบเนี่ยแหละที่จะเชื่อมพวกเขา ผูกปมชีวิตทุกวัยของพวกเขาเข้าด้วยกัน เค้นอารมณ์ที่อยู่เหนือกาลเวลาออกมาให้ชัดเจนที่สุด

เช่น เมื่อตัวเอกตื่นขึ้นมาในอนาคต เขาอยากให้ดนตรีประกอบมันสื่อถึงความไม่คุ้นเคย สื่อถึงสถานที่แปลกใหม่ที่ห่างไกลจากบ้านของเขามาก ๆ จึงหยิบสกอร์ประจำตัวของตัวเอกมาเขียนใหม่ด้วยเครื่องดนตรีที่ต่างออกไปจากเดิม

ทุกคนที่ได้ดูเรื่อง ‘Dark’ แล้ว ก็น่าจะเป็นประจักษ์พยานให้กับ Ben Frost ได้ว่า สกอร์หรือดนตรีประกอบซีรีส์นี้มันเฮี้ยนแค่ไหน ซึ่งสกอร์เพลงของซีรีส์ก็ถูกทำออกมาสองอัลบั้มแล้วในชื่อ Cycle 1 และ Cycle 2 ตามจำนวนซีซันของเรื่อง อย่าลืมว่า ซีซันสามจะมาในวันที่ 27 มิถุนายน ถ้าใครยังไม่เคยดู ก็บอกเลยว่ากำลังพลาดอะไรไปแล้วล่ะ

อ้างอิง
thequietus.com

Facebook Comments

Next:


Peerapong Kaewthae

แม็ค เป็นคนชอบฟังเพลงเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และก็ชอบแนะนำวงดนตรีหรือเพลงใหม่ ๆ ให้คนอื่นรู้จักผ่านตัวอักษรตลอดเวลา