Uncategorized

New Face พิมพ์รัตน์ จาดศรี

  • Writer: Fungjai Staff

จากจุดเริ่มต้นด้วยการเล่นดนตรีแบบขำ ๆ กับเพื่อนทำให้สาวน้อย พิม – พิมพ์รัตน์ ได้ค้นพบเส้นทางเดินใหม่ที่พาเธอเข้าสู่วงการดนตรีและกลายเป็นศิลปินคนใหม่ของค่าย Parinam Music และกำลังจะมีผลงานออกมาให้เราได้ลองฟังกันในเร็ว ๆ นี้ เพราะฉะนั้นฟังใจซีนไม่รอช้ารีบจับเธอมาแนะนำตัวว่าเธอเป็นใครมาจากไหน ใครที่อยากรู้จักเธอเตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปอ่านบทสัมภาษณ์ข้างล่างนี้ได้เลย

เริ่มต้นเล่นดนตรีด้วยความไม่ตั้งใจ

พิม: ช่วงเวลาเริ่มต้นเล่นดนตรีของพิม เป็นช่วงก่อนจะเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นอยากลองหัดเล่นกีตาร์โปร่ง เลยขอให้พ่อซื้อให้ตัวนึง แต่ก็ไม่ได้เล่นอะไรจริงจัง เพราะมันเจ็บนิ้ว พอมีโอกาสได้ไปอยู่หอพักกับเพื่อน ซึ่งในหอพักจะมีห้องรวมเป็นห้องอ่านหนังสือคล้าย ๆ กับห้องศูนย์กลางของทุกคน เด็กส่วนใหญ่เขาก็จะไปอ่านหนังสือกัน แต่เรากับเพื่อนอีก 3 คนจะไปนั่งเล่นกีตาร์กันตอนที่คนเขาไม่อ่านหนังสือ ก็เล่นกันแบบสนุก ๆ ในช่วงเวลานั้น

อะไรคือแรงบันดาลใจให้เล่นดนตรี

พิม: แรงบันดาลใจของเรามันมาจากตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เราเห็นพ่อกับแม่เล่นดนตรีอยู่เป็นประจำก็เลยอยากเล่นเป็นบ้าง คุณพ่อเล่นกีต้าร์ คุณแม่เล่นคีย์บอร์ด แต่พ่อกับแม่เขาจะเล่นแต่เพลงเดิมซ้ำ ๆ ตลอด ก็เลยมีความรู้สึกว่า ทำไมไม่เล่นเพลงอื่นกันบ้าง อย่างพ่อชอบนี่เล่นแต่เพลง แฟนฉัน เลยค่ะ (หัวเราะ) ทำให้เราคิดว่าเราต้องหาเพลงใหม่ ๆ ไปเล่นให้พ่อกับแม่ฟังบ้าง

เพลงที่ฝึกเล่นเป็นเพลงแรกในชีวิต

พิม: เพลง Love ของ Paradox ค่ะ พอดีที่บ้านมีหนังสือหัดเล่นกีต้าร์ที่รวมเพลงเก่า ๆ ไว้ค่ะ แล้วเพลงมันจะมีไม่เยอะ แต่พอไปเห็นเพลงนี้ก็คิดว่า มันน่าจะเป็นพื้นฐานการเล่นกีต้าร์เราได้นะ แล้วเพลงมันก็น่ารักดี แต่ก็ไม่ได้อินกับเนื้อหามันมากนะ ฝึกเล่นไปในที่สุดก็เล่นได้

“ตอนนั้นอยู่ ป. 1 แต่เราร้องเพี้ยนมากไงจนทุกคนบอกว่า พอเถอะหยุดร้องเถอะนะ”

ศิลปินที่ชอบ

พิม: ตอนเด็ก ๆ ชอบพี่ปาล์มมี่มาก ร้องเพลงของเขาทุกวันเลย ไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อนนี่เซียนเลย ชุดแรกของเขานี่ชอบมาก ตอนนั้นอยู่ ป. 1 แต่เราร้องเพี้ยนมากไงจนทุกคนบอกว่า พอเถอะหยุดร้องเถอะนะ (หัวเราะ) พอช่วงวัยรุ่นนิดนึง ประมาณช่วง ม.ต้น ก็จะชอบพี่ป๊อด   Modern Dog เขาเท่ เพลงเจ๋งดี เปิดเพลงพี่เขาบ่อยจนแม่ต้องเดินมาปิด

เริ่มต้นเป็นที่รู้จักของผู้คนด้วย YouTube

พิม: เรื่องนี้จริง ๆ แล้วทุกอย่างมันเริ่มจากเราคนเดียวเลยจริง ๆ นะ ที่ช่วงนั้นเพื่อนสนิทเรากลับบ้านกันหมดเลย แล้วเราถูกเพื่อน ๆ ทิ้งให้อยู่หอคนเดียว ก็คิดว่าไม่มีอะไรทำก็เลยอัดคลิปร้องเพลงเล่น ๆ ลง Facebook ดีกว่า ปรากฏว่าวันต่อมาเพื่อนฮือฮาเริ่มมีคนมารู้จักแหละ แบบงง ๆ เลยช่วงนั้น (หัวเราะ) แล้วพอดีเรามี user ของตัวเองบน YouTube อยู่แล้ว ก็เลยอยากลองลงดู อยากรู้คุณภาพของตัววิดิโอว่าบน Facebook กับ YouTube มันจะต่างกันมั้ย พอลงไปแล้วยอดวิวมา ยอดคน Subscribe ก็เพิ่มขึ้นมาแบบที่เราเองก็ตั้งหลักไม่ทัน ซึ่งมันก็เขินนิดนึงนะที่ไม่รู้ว่าใครบ้างมาดูเรา ตอนนี้ก็ยังคงคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อน ๆ เราเองที่เข้ามาดูด้วยซ้ำ

เล่นคนเดียวมานานได้เวลาเล่นดนตรีเป็นวงแล้ว

พิม: พิมมีวงดนตรีอยู่ที่มหาลัยนะชื่อว่าวง ’เขย่า’ โดยวงนี้มันเริ่มมาจากตอนแรกที่เล่นกันในห้องอ่านหนังสือนั่นแหละค่ะ เราก็ต่อยอดไปหาเพื่อนที่เล่นดนตรีจากคณะอื่น ๆ มารวมกันแล้วก็มาซ้อม สมัยนั้นก็ยังไม่รู้หรอก ซ้อมดนตรีต้องทำไง ยังทำไม่เป็นเลย แต่ก็ลองไปเรื่อย มีงานประกวดงานนึงในคณะสิ่งแวดล้อมของมหาลัย เล่นเป็นแนวโฟล์คซอง โดยแบบต้องแต่งเพลงเองโดยเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เราก็ยังแต่งกันไม่เป็นหรอก แต่ลิสต์เพลงที่เราเลือกไปค่อนข้างจะตอบโจทย์เขา แล้วทีมเราเป็นปีหนึ่งด้วย ทีมอื่น ๆ เขาจะเป็นปีสามปีสี่แถมเป็นมืออาชีพเล่นกันตามร้าน ตามผับอยู่แล้ว วงเราก็เด็ก ๆ แถมเอาเพลงที่ไม่ได้แต่งเองมาเล่นตามที่กรรมการบอกเลย แต่สงสัยกรรมการเขาคงเอ็นดูพวกเราเลยได้ที่ 2 มาแบบงง ๆ  (หัวเราะ)

ความบังเอิญกับการเข้ามาเป็นศิลปินในค่าย Parinam Music

พิม: คือตอนนั้นพี่โอ๊ตวง Wave and So เขาบังเอิญเข้าไปฟังเพลงของเราบน SoundCloud ค่ะ แล้วก็เอาเพลงไปให้พี่โปรดิวเซอร์อย่างพี่ปูมเจ้าของค่ายปริณามฟัง แล้วพี่เขาก็เหมือนจะสนใจเรา เลยเรียกเราไปคุย ทั้งที่เราก็เล่นยังไม่เก่งมาก ไม่ได้รู้เรื่องดนตรีอะไรเลย แต่พี่ปูมก็บอกเราว่าทุกสิ่งมันหัดกันได้ ซึ่งเราก็โอเคค่ะ พอได้เข้ามาอยู่ในค่ายก็มีไปร้องคอรัสให้ Seal Pillow กับ Wave and So ด้วย

เข้าห้องอัดครั้งแรกในชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง

พิม: ก็ร้องเพี้ยนอยู่นะ (หัวเราะ) แบบมันตื่นเต้นไงไม่เคยร้องอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ต้องใส่เฮดโฟน พูดกับไมค์ก็แบบเสียงหลง ๆ พวกพี่ ๆ เขาก็แบบไม่เป็นไรนะไม่ต้องตื่นเต้น ไปนั่งผ่อนคลายก่อนก็ได้ เลยร้องอยู่หลายรอบแล้วก็ได้รอบที่เราไม่ได้ตั้งใจด้วยนะ ได้เป็นรอบแบบฟลุ๊ค ๆ ไปแทน แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้นะว่าเราไปร้องคอรัส เพราะเสียงเราในเพลงมันเบามาก

s05_041.jpg

แล้วเพลงที่จะออกกับปริณามจะเป็นแบบไหน

พิม: น่าทำจะเป็นวงใหม่ไปเลย วงที่มีพิมเป็นนักร้องนำ ไม่ได้มาสายแบ๊ว แต่ก็ไม่ได้ไปทางดาร์ค อยู่กลาง ๆ อยากให้ลองติดตามดูมีเซอร์                    ไพรส์แน่นอน สัญญาจะตั้งใจทำให้ดีที่สุดค่ะ

ในฐานะที่เป็นศิลปินหน้าใหม่ พิมมองวงการเพลงบ้านเราอย่างไรบ้าง 

พิม: ทุกวันนี้มันก็มีเพลงใหม่ออกมาเรื่อย ๆ นะ เหมือนกับมันออกมาเยอะจนเราก็ฟังไม่ทัน อย่างทุกวันนี้เรายังกลับไปฟังเพลงเก่า ๆ อยู่เลย เพลงใหม่ที่คนอื่นเขาพูดถึงกัน พิมก็ไม่รู้จักนะ จริง ๆ รู้สึกว่า ตลาดเพลงบ้านเราคนส่วนใหญ่เขาก็โหลดเพลง MP3 กันอยู่ดีอ่ะ อย่างพิมถ้าไม่มีตังค์ซื้อแผ่นก็หาฟังใน Youtube เอา แต่การจัดงานคอนเสิร์ต จัด Event อะไรแบบนี้ มันก็มีส่วนช่วยซัพพอร์ตศิลปินให้เขาอยู่ได้นะ พอเราเข้ามาอยู่ข้างในวงการนี้ ได้เจอพวกเขาก็จะรู้ว่านักดนตรีก็มีรายได้ส่วนใหญ่จากพวกงานคอนเสิร์ต งานอีเวนท์อะไรแบบนี้แหละ

“พลังของพิมมันมาจากความรู้สึกข้างในนะ โดยที่คนรอบข้างมีอิทธิพลต่อชีวิตเรามาก อย่างครอบครัวเราให้การสนับสนุนเรา มันก็จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นนะ ”

คำว่า พลังของผู้หญิง ในความคิดของพิมพ์รัตน์นิยามว่าเป็นอย่างไร

พิม: มันอยู่ที่ความคิดและการกระทำของเรานะ ถ้าเราคิดว่า เราเท่าเทียมกับผู้ชาย ถ้าเราคิดสิ่งที่ดีเราก็ทำให้สิ่งที่มีอยู่มันดีขึ้นได้ สร้างเรื่องราวเหล่านั้นให้มันเป็นพลังได้และทำให้คนอื่น ๆ เห็นศักยภาพของเราได้ ซึ่งมันสามารถสรุปง่าย ๆ เลยว่าพลังมันอยู่ที่ความคิดและการกระทำของตัวเราเองนี่แหละค่ะ

พลังของพิมรัตน์ คืออะไร

พิม: พลังของพิมมันมาจากความรู้สึกข้างใน โดยที่คนรอบข้างมีอิทธิพลต่อชีวิตเรา อย่างครอบครัวถ้าเกิดที่บ้านเขาให้การสนับสนุนเรา มันก็จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นนะ ดีขึ้นมาก ๆ เลยแหละ เราก็สร้างพลังของเราเองได้ส่วนนึงนะ แต่ก็ต้องการพลังสนับสนุนจากคนรอบข้างอย่าง เพื่อน ครอบครัว คนที่เรารัก อะไรแบบนี้ด้วย

เป้าหมายในชีวิตต่อไป

พิม: มันมีหลายเรื่องนะ เราเองเพิ่งเรียนจบ แล้วตอนนี้เราก็ทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่ร้าน One Ounce for Onion เป็นผู้ช่วยบาริสต้าอยู่ เราก็อยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากตรงนั้น เผื่อจะได้ไปใช้ในอนาคต แต่จริง ๆ เราก็อยากเรียนภาษาอังกฤษเพิ่ม อยากฝึกภาษาเพิ่ม มีสมัครงานไว้บ้าง แต่ถ้าไม่ได้งานก็ยังไม่เป็นไรนะ เพราะคิดไว้แล้วเราอาจจะไปเรียนต่อปีหน้า แต่ยังไม่ได้คิดเหมือนกันว่าจะเรียนสาขาอะไร สุดท้ายจริง ๆ  แล้วเราอยากกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด เพราะคิดว่าชีวิตในกรุงเทพมันไม่เหมาะกับตัวเราเท่าไหร่ แต่เราก็อยู่ได้นะ แต่ค่อนข้างรู้สึกว่ามันต้องดิ้นรนนิดนึง ส่วนเป้าหมายในวงการดนตรีมันเหมือนเป็นประสบการณ์ให้เรามากกว่า คือ เราก็ไม่ได้คาดหวังกับมันมาก แต่เพราะมันมีโอกาสเราก็คว้ามันเอาไว้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไว้แล้วทำให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง

ฝากถึงคนที่คนอ่านกันหน่อย

พิม: เราก็เป็นของเราอย่างนี้แหละ อยากให้เปิดใจรับฟังเพลงของเราด้วยนะ มือใหม่เลยฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ และก็อยากให้ติดตามค่ายปริณามมิวสิคกันด้วย มีอะไรเจ๋ง ๆ อีกเพียบเลยปีนี้ ส่วนใครว่าง ๆ ก็ไปทานขนมทานกาแฟที่ One Ounce for Onion ได้นะคะ แล้วเร็ว ๆ นี้คงได้ฟังเพลงแรกของหนูแน่นอนค่ะ

Facebook Comments

Next:


Gandit Panthong

กันดิศ ป้านทอง อดีตนักศึกษาฝึกงานนิตยสาร Hamburger Magazine, ทำงานในกองบรรณาธิการ MiX Magazine และ บก.คนแรกของ Fungjaizine ที่มีความมุ่งมั่นว่าจะตั้งใจสร้างสรรค์วงการเพลงให้เกิดแต่สิ่งดี ๆ ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง