Article Contributor of the Month

David Bowie and I (Part 5)

  • Writer: Wee Viraporn
  • Photographer: Wee Viraporn

เมื่อทราบข่าวว่า Victoria & Albert Museum จะจัดนิทรรศการเกี่ยวกับ David Bowie ในช่วงที่เขาหายไปจากพื้นที่สื่อเกือบสิบปีในช่วงปี 2012 ใจผมเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เป็นส่วนผสมของ ความคิดถึง ความสงสัย ความหวัง และความโหยหา แถมด้วยก้อนเล็ก ๆ ของความชื่นใจว่าไอดอลของเรากำลังจะมีอีกสิ่งหนึ่งที่ยืนยันความสำคัญในทางวัฒนธรรมของเขา ทั้งที่จริง ๆ ต่อให้ไม่มีนิทรรศการนี้ เขาก็มีความสำคัญมากพออยู่แล้วสำหรับผมและใครหลายคน จนเมื่อมีการเปิดเผยชื่อนิทรรศการว่า ‘David Bowie is’ ความตื่นเต้นก้อนใหญ่ก็ถูกเทเติมลงไปข้างบนอีกที

1064614_10151470882651854_1398578779_o

“Verb to be มี 3 ตัว คือ is am are แปลว่า เป็น อยู่ คือ” นี่น่าจะเป็นบทเรียนภาษาอังกฤษแรก ๆ ถัดจากการท่อง A-Z ของทุกคน การตั้งชื่อนิทรรศการเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ เปิดช่องว่างให้ผู้ชมสามารถเติมประสบการณ์ของตนเองเข้าไป กลายเป็นเรื่องสนุกสำหรับทุกคนที่ต้องกลับมาทบทวน หรือตั้งคำถามอีกครั้งว่า David Bowie สำหรับคุณเป็นใคร? David Bowie สำหรับคุณ อยู่ที่ไหน? David Bowie สำหรับคุณ คืออะไร? ยิ่งประกอบกับ key visual ที่เป็นอีกช็อตหนึ่งที่ไม่คุ้นตาของปกอัลบัม Aladdin Sane จากที่เราเคยเห็นภาพ Bowie มีสายฟ้าฟาดกลางหน้าแบบหลับอย่างสงบตามาตลอดเกือบ 40 ปี มาคราวนี้เขาลืมตา จ้องมาที่เรา ด้วยสีหน้าที่ให้ความรู้สึกประหลาดใจ ก็ทำให้คาดหวังไปอีกว่า นิยาม หรือการตีความทั้งหมดที่เราเคยมีอาจจะถูกเปลี่ยนแปลงไปหลังจากการชมนิทรรศการนี้

David Bowie is เปิดแสดงนิทรรศการครั้งแรกเมื่อปี 2013 แต่ตอนนี้ก็ยังตระเวนทัวร์ไปหลายประเทศอยู่ ซึ่งงานนี้พาเราไปรู้จักกับตัวตนของ David Bowie ตั้งแต่กำเนิดของเด็กชาย David Jones ปูพื้นด้วยการทำความเข้าใจภูมิทัศน์ของดนตรี ศิลปะ และวรรณกรรมที่มีอิทธิพลต่อเขาตั้งแต่ยังเล็ก จากการได้รู้จักเครื่องดนตรีชิ้นแรกคือแซ็กโซโฟน และเส้นทางการเป็นศิลปินที่เริ่มต้นจากแจ๊สและโฟล์ก ความพยายามในการค้นหาและก่อสร้างตัวตนของเด็กหนุ่มคนนั้นมาถึงจุดระเบิดเมื่อเพลง Space Oddity เล่าเรื่องราวของนักบินอวกาศที่ต้องทิ้งโลกและครอบครัวออกไปสำรวจพื้นที่อันเวิ้งว้าง สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่มนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จ

6a00d8341c76e453ef017d4225c355970c
Credit Tamara Cincik

ความเจ๋งของนิทรรศการนี้อยู่ที่บรรดาวัตถุจัดแสดงที่ไม่อยากจะเชื่อว่าเก็บมาได้ยังไง หรือหามาได้จากไหน แม้ว่าเราจะรู้ว่า Bowie เป็นคนช่างเก็บ ในมุมที่ว่าเขาดึงเอาแรงบันดาลใจและอิทธิพลจากทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างสรรค์งานได้อย่างไม่จำกัด แต่การได้เห็น archive ของสารพันสิ่งเหล่านั้นเป็นวัตถุก็ยังคงน่าทึ่งอยู่ดี จากที่เราเคยเห็นมิวสิกวิดิโอ หรือคลิปบันทึกการแสดงสดเก่า ๆ มาหลายรอบ ทั้งหมดนั้นเทียบไม่ได้กับการเห็นหลักฐานของเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นวัตถุที่จับต้องได้อยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะชุดที่ Bowie ใส่ ในเหตุการณ์สำคัญเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชุดสีสดใสที่โชว์เพลง Starman ออกรายการ Top of The Pops ชุดรัดรูปเปิดไหล่ ขาข้างเดียว จากคอนเสิร์ท Ziggy Stardust หรือสูทสีฟ้าเขียวของเพลง Life On Mars เมื่อหุ่นโชว์ถูกจัดท่าทางที่เตือนให้เรานึกถึงภาพเคลื่อนไหว ทั้งยังมีวีดีโอประกอบเป็นฉากหลังหรือจอภาพอยู่ใกล้ ๆ

1040546_10151470891516854_868983801_o

ตลอดการเดินผ่านช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ pop culture ไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงตัวตนและภาพลักษณ์ของ David Bowie เราจะถูกเตือน สะกิด หรือตบหน้า ด้วยป้ายที่คอยบอกนิยามของ David Bowie ในแต่ละบริบทเป็นตัวเบรกหรือตัวจบ ของแต่ละช่วง สอดคล้องกับการได้เห็นผลงานของ Bowie ในรูปแบบอื่นที่นอกเหนือจากเสียงเพลง ไม่ว่าจะเป็นภาพจากละครเวที ภาพยนตร์ ภาพเขียน แบบร่างของฉากเวที เศษกระดาษจากการใช้วิธีตัดแปะยำเนื้อเพลง ตอกย้ำถึงความสามารถอันหลากหลายจนคำว่า “ศิลปิน” อาจจะเป็นนิยามที่หลวมเกินไปมากมาก ที่ประทับใจผมมากเป็นการส่วนตัวคือแบบที่ไม่ถูกใช้งานของปก The Next Day โดย Jonathan Barnbrook ที่แสดงให้เห็นว่ามีการทำลายภาพปกและภาพจำเก่า ๆ อีกหลายภาพอย่างไม่แคร์ถึงความสำคัญของมัน

1053010_10151470884341854_828460748_o

นิทรรศการนี้มีการใช้เทคนิค interactive และแสงเสียงอย่างคุ้มค่า ณ จุดหนึ่ง เมื่อเราเหยียบลงในตำแหน่งหนึ่ง จอภาพก็จะฉาย mv ของ Bowie เพลงหนึ่ง ซึ่งผู้ชมสามารถจะหยุดยืนอยู่ตรงนั้น หรือขยับมุมมองของตัวเองเพื่อเปลี่ยนเพลงไปเรื่อย ๆ เหมือนจะบอกว่า Bowie จะเป็นอะไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมองเขาจากมุมไหน และคุณสามารถรู้สึกเชื่อมโยงกับตัวตนและเสียงเพลงของ Bowie ได้จากทุกมุมมอง ในช่วงท้าย เราจะได้พบกับห้องใหญ่ที่พาเราไปพบกับประสบการณ์ในคอนเสิร์ตของ Bowie ผนังรอบด้านของเพดานสูงทะลุข้ามชั้นกลายเป็นตู้โชว์ชุดที่เขาใส่ในโชว์จากยุคต่าง ๆ สลับกับจอภาพใหญ่ยักษ์ ในผนังแต่ละด้านจะได้เห็น Bowie ในแต่ละยุค เล่นเพลงเดียวกันในแต่ละโชว์ ส่วนบนพื้นก็จะมีตู้จัดแสดงโมเดลของเวทีคอนเสิร์ตจากทัวร์ต่าง ๆ ในอดีต แน่นอนว่าผมจะดีใจเป็นพิเศษถ้าได้เห็นภาพจากโชว์ของ A REALITY TOUR และ Isle of Wight 2004 แต่ผู้ชมคนอื่นก็อาจจะชื่นใจกับเพลงเดียวกันในโชว์ของ Serious Moonlight Tour หรือถ้าผู้ชายที่ยืนข้างผมในโชว์ที่ Wembley อยู่ในนิทรรศการนั้นด้วย เขาอาจจะนึกถึง Sound and Vision Tour มากที่สุด

David Bowie exhibition
Credit City Gallery Wellington

ผมเห็นผู้คนหลากหลาย และอดจินตนาการไม่ได้ว่าพวกเขารู้จัก Bowie จากมุมไหนกัน คู่รักหนุ่มสาวตรงนั้นจะเริ่มฟัง Bowie จากยุคไหนนะ ครอบครัวนั้นพ่อแต่งตัวจัดขนาดนั้นคงเป็นแฟนเดนตาย แต่ลูกน่าจะยังไม่รู้จักหรอก ส่วนจะกลายเป็นสาวกหลังจากโชว์นี้ไหมก็น่าติดตาม แก๊งคุณป้าตรงนั้นคงเคยโยกย้ายไปกับเพลง Let’s Dance นิยามของ David Bowie ของเขาจะเป็นแบบไหนกัน น่าเสียดายที่นิทรรศการนี้ห้ามถ่ายรูป ไม่งั้นการเก็บภาพผู้คนน่าจะมีความหมายไม่น้อยกว่าภาพของการจัดแสดง

สำหรับผม ที่มาชมนิทรรศการนี้กับแม่ นิยามของ David Bowie ไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เป็นการตอกย้ำสิ่งเดิมที่ผมเชื่อให้หนักแน่นขึ้นอีก

David Bowie เป็นเสมือนพ่อของผมในทางจิตวิญญาณ

David Bowie อยู่ในดนตรี แฟชั่น ศิลปะ การแสดง และทุกแขนงของวัฒนธรรมป็อป

David Bowie คือมนุษย์ที่เท่ที่สุดในโลก

ส่วนสำหรับคุณแม่ บุคคลที่ทำให้ผมได้รู้จักกับ David Bowie และเคยแอบกลัวว่าความที่ผมปลื้ม Bowie จะทำให้เป็น bisexual มั้ย หรือไปเรียนอังกฤษจะได้แฟนผิวดำกลับมาหรือเปล่า ท่านดูจบก่อนแล้วออกไปนั่งรอผมอยู่เป็นชั่วโมง ระหว่างเดินออก แม่บอกผมว่า “เพิ่งรู้ว่าเพลง Major Tom เป็นของ Bowie นี่จำว่าเป็นของ Beatles มาตลอด” 😛

1048366_10151470882056854_1596253700_o

Facebook Comments

Next:


Wee Viraporn

A graphic designer who always wear floral shirt, riding a red bicycle, doing post-it art while listening to David Bowie