Article Interview

FLUFFYPAK โปรเจกต์เดี่ยวของ ภัค Jelly Rocket ที่เธอบอกว่า “จะต้องโตขึ้นแล้ว”

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Chavit Mayot

แฟน ๆ Jelly Rocket คงคิดถึงการปรากฏตัวของพวกเธอตามอีเวนต์ต่าง ๆ หรืออยากจะฟังเพลงใหม่ของวงดนตรีวงนี้จนเต็มแก่ แต่ระหว่างนั้นสมาชิกแต่ละคนก็ได้ปล่อยโปรเจกต์ส่วนตัวออกมาให้พวกเราได้ฟังกันไปพลาง ๆ ก่อน อย่าง ภัค—ณภัค นิธิพัสกร มือซินธ์เองก็ปล่อยเพลงจากโปรเจกต์เดี่ยว FLUFFYPAK มาแล้วถึงสองเพลงกับสไตล์ที่สดใสและแตกต่างไปจากเดิม ซึ่งแฟน ๆ ที่ได้ฟังและดูสดก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเพราะไม่แพ้งานก่อนหน้าเลย

ทำไมถึงทำโปรเจกต์เดี่ยว

เพราะว่าเรามีเพลงที่เราแต่งไว้แล้วมันยังไม่ได้ถูกใช้งาน ก็เลยอยากจะทำมันออกมาให้หลาย คนได้ฟังด้วย คือมันเป็นเหมือนไดอารี่ของเราที่เรารู้สึกว่า บางทีเวลาทำเพลงแล้วย้อนกลับมาฟังอีกทีก็นึกถึงเวลาช่วงนั้น มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจสำหรับเรา

ทำไมต้อง FLUFFYPAK

เราเคยมีวงตอนม.ปลายชื่อ Fluffy Fox แล้วเราก็ชอบคำว่า ‘fluffy’ เลยเอามาตั้งชื่ออินสตาแกรมตอนเด็ก ว่า fluffypak แล้วเราก็รู้สึกผูกพันกับชื่อนั้น ถึงแม้ว่าตอนนี้ชื่ออินสตาแกรมเปลี่ยนไปเป็น ‘napakni’ เพราะมีช่วงนึงเราไปเรียน IELTS แล้วรู้สึกว่าเวลาบอกชื่ออินสตาแกรมกับคนที่เรียนด้วยกันแล้วเราเขินมาก ก็เลยเปลี่ยน

แต่ Fluffy Fox เป็นวงดนตรีวงแรกที่เราได้เล่น ตอนนั้น .4 เริ่มสนใจอิเล็กทรอนิกละ ฟัง MGMT แล้วเพลงที่เล่นประกวด Coke Music Awards คือ Grace Kelly ของ MIKA รุ่นเดียวกับพี่ วง Somkiat ที่เขาชนะ แล้ววงเรามี พี่บิ๊ก ที่เล่นเบสให้พี่ เป้ อารักษ์ กับพี่หมิว Boom Boom Cash เป็นนักร้องอะ (หัวเราะ)

เมื่อก่อนภัคเป็นสายเปียโนคลาสสิกมาก่อนนี่

ใช่ เราเรียนเปียโนจริงจังเลย แบบ pre college ตอนม.ปลายเหมือนใน ‘Season Change’ เลย ก็เรียนเป็นดนตรีคลาสสิก

แนวดนตรีค่อนข้างเป็นซินธ์ป๊อปที่ต่างจากตอนทำ Jelly Rocket นะ มีความกรูฟมากขึ้น แจ๊ส ชิลฮอป

ความจริงตอนปริญญาตรีเราเรียนแจ๊สมา แล้วก็ชอบมันนะ แต่ตอนทำ Jelly Rocket จะมีความร็อกมากกว่าเพราะมีพี่โมอยู่ด้วย พี่โมจะสายร็อก ก็เลยบวก กัน แต่พอทำคนเดียว เพื่อน นักดนตรีที่ช่วยกันก็เรียนแจ๊สมาด้วยกัน ก็อาจจะมีกลิ่นอายในสิ่งที่เราเรียนมา เรื่องแต่งเพลงเริ่มที่เราอยู่แล้วแหละ แต่การอะเรนจ์เราก็จะคิดมาประมาณนึง แล้วไปลองดูกันในห้องซ้อม ใส่อะไรเพิ่มท่อนนู้นท่อนนี้ อย่างเราไม่สามารถคิดลูกส่งกลองสุดเท่ได้ หรือว่าไลน์กีตาร์สกิลจัด เราก็คิดไม่ออก ก็เลยได้เพื่อน ในวงเนี่ยแหละมาช่วยคิด

ตอนแรกที่จะทำเลยเราอิน lo-fi hiphop อยู่ แล้วก็พยายามจะหาทางบิดเพลงเก่า ที่เราแต่งไว้ให้กลายเป็นอย่างนั้น สุดท้ายแล้วทำไปทำมาเราก็หนีตัวเองไม่พ้นอะ เหมือนเราก็ยังมีความเป็นซินธ์ป๊อป มีความร็อก ความกรูฟอยู่ ไม่ได้งื้บ ไปเรื่อย เหมือนสาย lo-fi แล้วเราชอบความสนุกเวลาเล่นสดด้วย คือ lo-fi มันไม่มีทางสนุกแบบนั้น เราไปดู The Killers มาก็คิดว่าเนี่ยแหละคือสิ่งที่เราชอบตอนเล่นคอนเสิร์ต แล้วเราอยากให้ FLUFFYPAK สว่างขึ้น ใสขึ้นมากว่า Jelly Rocket ด้วย คืออันนั้นเพลงมันให้ความรู้สึกหม่น กว่านี้หน่อย

ทำไมถึงมีแต่เพลงเศร้า

เราว่าส่วนใหญ่ที่มีแต่เพลงเศร้าเพราะตอนมีความสุขเรามีความสุข เราออกไปกินข้าว ออกไปหาเพื่อน ไม่ค่อยอยู่คนเดียวแล้วแต่งเพลงตอนที่เรามีความสุขอะ คือฟังก์ชันในการแต่งเพลงของเรามันเป็นการระบายอารมณ์ของเราอย่างนึง เหมือนเรารู้สึกอะไรมาก แล้วเราก็เขียนมันออกมา เราเล่นกับดนตรี ก็ได้รู้สึกปลดปล่อย เนื้อหาเลยเศร้านิดนึง

เพลง บ้าบอที่สุด จากชื่อเพลงดูมีความชอบซีรีส์เกาหลีหรือการ์ตูนญี่ปุ่นอยู่นะ แบบที่ตัวเองชอบโวยวายออกมา

หนักเลย การ์ตูนญี่ปุ่น ตอนเด็ก ทุกเรื่องที่ยอดฮิตอ่านหมด One Piece, Naruto, Hunter x Hunter, Attack on Titan โคนันนี่ดู 15-16 ปีของมันครบ ชอบดูตอนกินข้าว ตั้งแต่ตอนม.ปลายเลย ซื้อข้าวมากินที่หอแล้วเปิดโคนันดู ตอนละ 20 นาที ข้าวหมดพอดี ไปทำอย่างอื่นต่อ (หัวเราะ) เคยเจอมีมนึงในเฟซบุ๊กเขาเขียนว่า ‘เลือกการ์ตูนนานกว่าเวลากินข้าว’ คือจริง (หัวเราะ) เกิดขึ้นบ่อยมาก

เพลงที่สามจะปล่อยเมื่อไหร่

เพิ่งอัดเดโม่ไปเอง ความจริงอัดเมื่อคืนตอนตี 4 แล้วไปดูหนัง Coldplay มาก็มีไฟ (หัวเราะ) ก็เราพยายามจะทำเพลงต่อ มาอยู่ กำลังวางแผนนู่นนี่นั่นกับมันอยู่ หวังว่าทุกคนจะชอบ

มีเพลงทั้งหมดกี่เพลงแล้ว

ประมาณ 6-7 เพลง แต่ปล่อยไม่ทันงาน Cat Expo นะ (หัวเราะ) แต่ก็อยากทำอัลบั้มนะ เพราะดนตรีเป็นสิ่งที่เรารักอะ เราก็มีช่วงเวลาที่เรา lost พอ Jelly Rocket non-active ไป ที่บ้านก็อยากให้ทำอย่างอื่น พูดอยู่ทุกวันว่าเล่นดนตรีแล้วสุขภาพจะเสีย แต่เราชอบมันอะ ที่ตัดสินใจกลับมาทำคนเดียวเพราะรู้สึกว่า เรารักสิ่งนี้ เราอยากทำจริง ถ้าไม่ทำสิ่งนี้แล้วเราล่องลอย เหมือนมีช่องว่างในใจ (หัวเราะ)

ตั้งใจใส่คอนเซปต์หรือวางอิมเมจอะไรให้กับโปรเจกต์นี้หรือเปล่า เห็นใส่เบลเซอร์มาให้สัมภาษณ์ รู้สึกไม่ชิน

ไม่ได้วางอิมเมจอะไรนะ เราอาจจะแค่แต่งตัวเปลี่ยนไปนิดหน่อย ซึ่งความจริงแล้วปีนี้เราเปลี่ยนหลายอย่างในชีวิตเหมือนกัน เช่น จัดห้อง ดูไม่ค่อยเกี่ยว แต่ว่าก็มีผลทางใจอยู่เหมือนกัน พออะไรไม่อยู่ที่เดิมเราก็รู้สึกเปลี่ยนไป หรือไปตัดผม อย่างตอนนี้ก็สัญญากับตัวเองว่า โอเค เราจะหยุดซื้อเสื้อยืดอะไรแบบนี้ละ เราอยากโตขึ้น แล้วก็ถึงเวลาที่เราจะต้องโตขึ้นแล้วด้วย อย่างยุคที่ทำ Jelly Rocket คือช่วงที่เรายังเรียนมหาลับ ชีวิตเราไม่ได้มีห่วงอะไร เราก็แค่เล่นดนตรีให้สนุกที่สุด ใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้นไปเล่น Cat Expo ด้วยซ้ำ ป๊ายังบ่นเลยว่าแต่งตัวแบบนี้หรอ เราก็รู้สึกวัยรุ่นอะ แต่ตอนนี้เราคิดว่าเราอยากเป็นคนที่โตขึ้น

การโตขึ้นของภัคต้องเป็นยังไง

ก็ ความจริงเราโดนสิ่งรอบตัวทำให้โตขึ้นด้วยแหละ รับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบงาน มาทำเพลงคนเดียวเราก็ต้องควบคุมทุกอย่างเอง นัดห้องอัด นัดคิววง จะเล่นสด เราต้องเขียนลิสต์เพลงให้ทุกคน อันนี้เราก็แค่ทำสิ่งที่มองเห็นให้มันโตขึ้นมาด้วย

ตัดผมแล้วมีคนทักว่าเหมือน โอ๋ Futon หรือเปล่า

เคยมีคนทักเมื่อนานมาแล้วว่าเหมือนพี่โอ๋เลยไม่ค่อยแปลกใจ

ไปเล่นสดมาแล้วครั้งแรกที่งาน ลงขัน 2 เป็นยังไงบ้าง

ต้องขอบคุณงานลงขันก่อนที่ไว้ใจเรามาก คือวันที่เขาโทรมาชวนเรา เรายังไม่เคยปล่อยสักเพลงเลย บ้าบอที่สุด เรายังไม่ได้ทำด้วยซ้ำ คือเราเคยส่งเพลงให้พี่ แพท บุญสินสุข ฟังว่ามันคล้ายเพลงอะไรหรือเปล่า เรารู้สึกว่าคุ้น แต่เรานึกไม่ออก แล้วพี่แพทบอกว่าเพราะดี ก็เลยเอาไปบอกกิ๊กกี้ วง Yaan ก็เลยมาชวน ที่เราไปเล่นมาก็แฮปปี้มาก ได้พลังบวกจากคนดู เหมือนตอนแรกเราไม่มั่นใจอะไรเลย เราเครียดด้วยซ้ำ แล้วเราทำคนเดียว เราไม่ใช่นักร้องอะ คนดูเขาจะชอบเราหรือเปล่า แต่เพื่อน ในวงก็น่ารัก ไม่ใช่แค่เป็นคนในวงแต่เป็นเพื่อนที่คอยบอกว่า เฮ้ย สู้ มันโอเค สุดท้ายเราก็แค่ต้องทำสิ่งที่เราชอบนั่นแหละ

แล้วคนที่ได้มาฟังแฮปปี้ไหม

ฟี้ดแบ็กก็โอเคนะ (FJZ: หน้าคุ้น หลายคนเลยหรือเปล่า) ใช่ (หัวเราะ) ก็ดีใจมาก รู้สึกขอบคุณมากที่เขาก็ยังรักเราอยู่ ก่อนหน้านี้ก็มีงานจัดที่ Good Space เล่นแบบ private ให้คนดูกันเล็ก แต่ที่คนดูเยอะ เลยคืองาน 10 ปี BACC ก็เกร็งนะ เพราะไม่มีใครรู้จักเรา แล้วก็เหมือนมันก็ค่อนข้างเป็นใจกลางเมือง เป็นผู้คนที่เขาแค่เดินผ่านมาแวะดู ไม่ใช่แฟน แบบที่ลงขันที่เขาตั้งใจมาดูจริง แต่ว่าก็เป็นอีกหนึ่ง stage ที่เราต้องผ่านไป ความจริงเราไม่ชินการเป็นฟรอนต์แมนเลย ตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับ Jelly Rocket พี่เอิ๊ต ภัทรวี หรือกับใครก็ตาม เราไม่เคยเป็นฟรอนต์แมน แล้วเราไม่ชอบสบตาคนด้วย ถ้าเกิดว่าไม่อยากสบตาเราแค่ก้มเล่นคีย์บอร์ดต่อไป แต่อันนี้ไม่ได้อะ ทุกคนต้องการ response จากเรา หรือเราต้องเป็นคนที่ส่งพลังให้คนดูด้วยซ้ำ ก็เป็นประสบการณ์ที่แปลก แล้วเราก็พยายามพัฒนาเพื่อที่จะสื่อสารกับคนดูได้ดีกว่านี้

ได้ข่าวว่า B2S ปิดแผนกซีดี แต่ Cat Expo ยังมีศิลปินทำซีดีออกมาขายอยู่

สังเกตสิช่วงก่อน Cat Expo ทุกคนปล่อยเพลงกันเยอะมาก ตอนนี้คือฟังไม่ไหว แล้วทุกคนก็เห็นตรงกันนี่เป็น big event ของศิลปินทุกคนนะ ของวงการดนตรีของเรา ซึ่งเราว่าเราชอบนะ มันคึกคักดีที่จะมีอะไรให้ฟังเยอะ ทุกคนก็รีบทำเพลง ตั้งใจทำเพลงเพื่อที่จะไปขายงานนี้ แล้วเราเชื่อว่าคนฟังเองก็อยากจะไปงานนี้เพื่ออุดหนุนศิลปิน เราว่าคนดูกลุ่มของเราเขาก็รู้ว่าถ้าเขาไม่อุดหนุน ศิลปินก็จะอยู่ไม่ได้นะ เขาก็เลยตั้งใจจะไปซัพพอร์ตตามที่เขาทำได้

แต่ความจริงแล้วศิลปินก็ไม่ได้ทำเพลงอย่างเดียว

อือ มันอยู่ไม่ได้ แต่อาจจะไม่ใช่เป็นศิลปินอย่างเดียว ก็มีทำเพลงประกอบโฆษณา เล่นโรงแรม เล่นแบ็กอัพ แล้วก็พยายามที่จะทำวงตัวเอง ก็คือเล่นดนตรีอย่างเดียวเลย เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเลยช่วงอายุนี้ไปแล้วจะยังไงต่อ เทียบกับเพื่อน ที่เรียน BBA career path เขาจะเป็นกราฟก็จะไต่เรื่อย ตำแหน่งสูงขึ้น เงินเดือนสูงขึ้น ของเราเนี่ย พี่ ที่เขาแก่กว่าเราสิบปีก็ได้เงินเท่าเนี้ย ไปเล่นโรงแรม เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพออายุมากขึ้นไปแล้ว มันจะเปลี่ยนชีวิตไปทางไหน แต่เราว่าเราคงทำเพลงไปเรื่อย เพราะเราค้นพบแล้วว่าเราชอบมันจริง เรามีช่วงที่ลังเลถึงขั้นหรือว่าจะไปเรียนธุรกิจดีวะ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าไม่ว่ายังไงก็คงจะทำงานสายนี้

มีความสนใจอื่นนอกจากเพลงอีกหรือเปล่า

เอาจริงชอบธุรกิจแต่ถามว่าตอนนี้ให้ไปเรียนต่อจะเรียนอะไร คงเรียนดนตรี ก็อยากเรียนสิ่งที่ชอบอะ ตอนแรกเราคิดว่าเราจะไปเรียน film scoring (ทำเพลงประกอบภาพยนตร์) สอบ IELTS มาละ พอจะเขียน SOP ว่าทำไมเราถึงอยากไปเรียน ก็เขียนไม่ออก คือเรารู้ว่าปกติคนอื่นคงโม้ กันไปได้ แต่เราเป็นคนที่ถ้าจะเขียนอะไร ส่วนใหญ่มันเป็นสิ่งที่เรารู้สึกจริง ก็เลยรู้ว่าเราไม่ได้อยากไปเรียน เราอยากทำเพลงด้วยซ้ำ ความจริงตอนนี้ก็ดู ไว้ แต่ก็เป็นไปเรียนต่อ popular music ไรงี้เลย แต่ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเพราะยังไม่ถึงจุดที่ต้องไปเรียน ถ้าคิดว่ามันถึงเวลาแล้วก็คงไปเอง แต่ตอนนี้อยากทำอัลบั้มมากกว่า

สำหรับภัคแล้ว คิดว่าใครจะเป็นศิลปินไทยคนต่อไปที่ก้าวไกลสู่เมืองนอกได้

ยากจัง ปั้น ได้ปะ (หัวเราะ) เชียร์เพื่อน ๆ อืมมันก็ต้องเป็นเพลงภาษาอังกฤษปะ คิดไม่ออกตอนนี้อะ แต่ก่อนที่ ภูมิ วิภูริศ จะมาถึงตรงนี้เรามีโอกาสได้ดูภูมิในคอนเสิร์ต Lucy Rose แล้วเราชอบเขามากตั้งแต่วันนั้น แล้วเราก็ติดตามมาโดยตลอด เห็นน้องเป็นกราฟขาขึ้นแรงมาก อยู่ข้าง เรา ขณะที่เราเดิน น้องวิ่งไปถึงยุโรป อเมริกาแล้ว เราเพิ่งถึงเชียงใหม่ (หัวเราะ)

คิดว่าอะไรทำให้เขาสามารถไปถึงจุดนั้นได้

ป๊าเราเคยบอกไว้ว่า คนประสบความสำเร็จไม่ได้มีแค่เก่ง ต้องมีเฮงด้วย ซึ่งเราว่าจริงมาก เอาจริงนักดนตรีที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ ทุกคนฝีมือดีอยู่แล้ว แล้วดนตรีคือไม่มีถูกไม่มีผิด มันก็สวยงามในแบบที่แตกต่างกันไป แต่ความเฮงเนี่ยแหละที่ไม่ได้มีกันทุกคน

ตอนนี้เพื่อน Jelly Rocket คนอื่น ก็มีโปรเจกต์อยู่ด้วย

เป็นช่วงเวลาที่ดีนะ ทุกคนแยกย้ายไปในทางของตัวเอง ในช่วงเวลาที่เหมาะสมเราอาจจะกลับมาทำอัลบั้มต่อไป เหมือนช่วงนี้เรื่องเวลาของ Jelly Rocket มันยากด้วยอะ พี่โมทำงานจันทร์ถึงศุกร์ ปั้นทำงานเสาร์อาทิตย์ หมดแล้วอะ 7 วัน มันเหลือแค่ช่วงเย็น ซึ่งช่วงเย็นเราทำงาน มันก็เลยไม่มีเวลาแล้ว มันยากมาก เลยต้องหยุดไปก่อน

แล้วตอนนี้ Fluffypak จะมีเล่นที่ไหนอีก

ยังไม่มีเลย เงียบกริบ ชวนได้

พูดอะไรทิ้งท้ายไว้หน่อย

ถ้าคนเรามีอายุ 100 ปีกันทุกคน เราเพิ่งใช้เวลา 1/4 ของชีวิตไป  ตอนนี้มันก็เลยอาจจะถึงจุดที่เราต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงหลาย ด้าน ไม่ว่าจะดีหรือแย่ สุดท้ายแล้วเราเองก็คงต้องผ่านมันไปให้ได้ อัลบั้มที่จะทำมันเลยค่อนข้างมีผลทางใจมั้ง วันไหนย้อนกลับมาฟัง คงจะทำให้จำได้ว่าชีวิตช่วงนั้นรู้สึกยังไง

FLUFFYPAK

ติดตามผลงานของ FLUFFYPAK ได้ ที่นี่ และรับฟังเพลงบน ฟังใจ ได้ ที่นี่

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้