Article Interview

Old Fashioned Kid ศิลปินโฟล์กร็อกที่ไม่ยอมเสียเวลาให้ความผิดหวัง

  • Writer: Wathanyu Suriyawong
  • Photographer: Chavit Mayot

หลังจากได้ฟังเพลงของ Old Fashioned Kid บน ฟังใจ สักสองสามเพลงก็รู้สึกได้ทันทีว่าเป็นศิลปินมีของแน่ ๆ บวกกับที่ได้รู้ว่าเขาเคยเป็นมือกลองวง Shopping Bag แต่อยู่ ๆ ก็หันมาจับกีตาร์มาทำโปรเจกต์เดี่ยวในสไตล์โฟล์กที่มีทิศทางแตกต่างจากวงเดิมแบบคนละขั้ว จากนั้นไม่นาน เขาได้คลอดอัลบั้มเต็มที่มีชื่อว่า Out of Time ซึ่งเราได้รีวิวกันไปแล้วก่อนหน้านี้ เขาเป็นทั้งอาจารย์สอนกลองอยู่ที่มหาลัย เคยมีทำเพลงให้กับ Room 39 และเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเพลงระดับ 60 ล้านกว่าวิวอย่างเพลง คนละชั้น ของน้องเจ้านาย อีกด้วย

ในที่สุดเราก็ได้นัดคิวกับ ติน—ติณณ์ นภาลัย ศิลปินเดี่ยวแนวโฟล์กร็อกหม่น ๆ  มาคุยถึงที่มาที่ไปของการผันตัวเองจากมือกลองสู่การจับกีตาร์โปร่งในนาม Old Fashioned Kid เขามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ทำไมเนื้อหาของเพลงหม่นได้ขนาดนี้ มาพบคำตอบได้จากบทสัมภาษณ์นี้กันเลย

img_3678

Old Fashioned Kid คืออะไร

Old Fashioned Kid เป็นแค่ศิลปินเดี่ยวที่ทำเพลงเป็นโฟล์กร็อก คือผมไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอินดี้โฟล์กได้ไหม เพราะว่าอินดี้โฟล์กฝรั่งจะเย้นนนเย็นไปอีกแบบ เราไม่ได้ถึงขนาดนั้น

จากที่เคยเป็นมือกลองอยู่วง Shopping Bag ทำไมถึงตัดสินใจมาทำ Old Fashioned Kid

ชื่อ Old Fashioned Kid เป็นชื่อที่เก็บไว้ตั้งแต่สมัยช่วยกันคิดชื่อวงเก่าของผม ผมเป็นคนคิดชื่อนี้ และชอบชื่อนี้มาก แต่วงบอกว่าไม่เวิร์ก ก็เลยไม่ได้ใช้ สุดท้ายตอนนั้นสมัยอินดี้ เราใช้ชื่อวงว่า  HOOVES  ผมชอบสมัยเป็นวง HOOVES มากๆ เพลงมันจะหม่นๆเท่ๆประมาณนึง ต่อมาวงเข้าค่ายเพลงได้เปลี่ยนชื่อวงเป็น Shopping Bag พอทำไปทำมาโทนของวงมันเปลี่ยน แล้วบุคลิกผมเป็นคนค่อนข้างเครียดๆ เขียนเพลงอะไรออกมามันไม่ได้เหมาะกับวงขนาดนั้น ทำให้ผมมีเพลงเก็บสต็อกไว้บ้าง จนเราทำ Shopping Bag มาถึงระยะเวลานึง เรารู้สึกว่าอยากทำอะไรเป็นตัวของตัวเองบ้าง ก็เลยขอวงลองทำ side project ทำไปทำมาแล้วมันสนุกครับ ก็เลยทำจริงจังต่อมาเรื่อย ๆ

หลังจากมาทำ Old Fashioned Kid เพื่อนในวง Shopping Bag ว่ายังไงบ้าง

เคยคุยกันเขาก็มีเสียใจบ้าง ว่าทำไมผมถึงออกมาทำเดี่ยว แต่ตอนนี้เค้าก็บอกเค้าเข้าใจผมแล้วครับ ผมเคยไม่สบายใจมากๆ ก็เลยพูดคุยเคลียร์กันตรงๆ  ตอนนี้พวกเขาก็ยังเดินหน้าทำวง Shopping Bag กันต่อไปครับ

จากชื่อของอัลบั้ม Out of Time ที่หมายถึงว่า ‘หมดเวลาแล้ว’ ทำไมถึงเลือกคอนเซปต์นี้

คือผมก็เคยผิดหวังมาหลายๆครั้ง บวกกับผมเป็นคนจริงจัง ก็เลยสะสมเรื่องพวกนี้ไว้เยอะ เขียนเพลงอะไรก็มักจะออกมาหม่นๆ และคิดว่าการ ‘หมดเวลา’ มันก็ตรงกับอะไรหลาย ๆ อย่างของผมดี

เป็นเพราะนิสัยอยู่แล้วหรือเพาะเจอเรื่องหนัก ๆ มาหรือเปล่า

ผมว่าผมก็เป็นคนที่เจอเรื่องปกติเหมือนคนทั่วไปแหละครับ ไม่ได้เจออะไรเลวร้ายมาก แต่ผมว่าเรื่องเลวร้ายเล็ก ๆ ของแต่ละคน บางทีมันก็สามารถทำให้เราดิ่งไปกับเรื่องนั้นได้ ซึ่งผมเป็นคนที่เวลาที่เรื่องเจ็บเรื่องอะไรค่อนข้างจะดิ่งลึก ถึงแม้ว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ผมก็จะอยู่กับมันนาน (FJZ : แล้วเราหาทางออกกับเรื่องนี้ยังไง) เอาจริง ๆ มันคือการอดทนเลย ผมทำได้แค่อดทนอะ แล้วก็รอเวลาให้มันผ่านไปแล้วมันจะดีขึ้นอะครับ คือเวลาผมฟังเพลง แล้วเพลงที่มันจะทัชผมได้มากคือเพลงหม่นและดาร์ก บางทีความหม่นมันก็มีความสวยงามในนั้น ผมชอบอย่าง Damien Rice หรือว่า Laura Marling เป็นมือกีตาร์โฟล์กที่เล่นเพลงหม่น ๆ เหมือนเขาพึมพำอะไรอยู่คนเดียว จริง ๆ ผมไม่ได้โตมากับเพลงหม่นอะไรอย่างงั้นหรอก แต่ด้วยช่วงนั้นเอะอะก็เสพเพลงหม่น ส่วนเรื่องเครียด ๆ ที่เจอ มันก็เหมือนชีวิตวัยรุ่นอะครับ ทุกคนก็คงเครียดอยู่ไม่กี่เรื่อง ความรักที่เราทุ่มเทไป แต่สุดท้ายเราโดนหักหลัง เขาเปลี่ยนไป เขาหายไปไรงี้  หรือเรื่องความฝันที่เราวิ่งตามแล้วมันไปไม่ถึงสักที มันเป็นอารมณ์อย่างนั้นแหละครับ คือเราเป็นคนจริงจังไงครับ เราก็ได้แต่ฟุ้งซ่านคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ พอจับเมโลดี้ตีคอร์ดร้องฮัมมาเล่น ๆ มันก็ออกมาเป็นเรื่องพวกนี้

1

แม้ว่าเนื้อหาจะออกมาหม่นๆ แต่รู้สึกว่าดนตรียังมีความสวยงาม ตั้งใจให้ออกมาแบบนี้หรือเปล่า

อย่างอัลบั้มนี้ เพลงทุกเพลง ตอนแรกผมไม่รู้หรอกว่ามันต้องออกมาแบบไหน ผมก็ไม่คิดว่ามันจะสวยสำหรับผมหรือสำหรับใคร ถ้าผมฟังแล้วผมเชื่อ ผมอิน ก็เอาแล้วครับ มันน่าจะเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาผมฟังเพลงประมาณไหนแล้วชอบมากกว่า จริงๆผมฟังเพลงป๊อบครับ ฟังป๊อบมาตั้งแต่เด็ก หรือเพลงป๊อปฝรั่งทั่วไปก็ฟังแบบ Ed Sheeran, Taylor Swift, John Mayer นี่ชอบมากฟังทุกอัลบั้ม (FJZ : ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเขียนเพลงของเราเหรอ ? ) ใช่ครับ พวกนั้นเพลงเขาป๊อปและเมโลดี้สวยมาก พอฟังเพลงพวกนี้มาเยอะมันเหมือนจะได้อิทธิพลในการพยายามคิดเมโลดี้ให้มันน้อย และสวยอะไรอย่างนั้น แต่พอบวกกับเรื่องที่หม่นของเราก็เลยออกมาประมาณนี้

จากที่เป็นมือกลองทำไมถึงเลือกมาจับกีตาร์ทำแนวโฟล์ก

คือผมชอบกีตาร์โปร่งตั้งแต่ตอนสมัยเรียนมหาลัย คือตอนเรียนกลองที่มหาลัยแล้วมันจะมีให้เลือกวิชาโทผมก็ได้มีโอกาสเลือกเรียนกีตาร์ กับอาจารย์ตะวัน วง Ganesha ด้วย แล้วบวกกับเพลงที่ผมชอบฟังแทบทุกคนมีส่วนผสมของโฟล์กหมดเลย พอได้คลุกคลีฟังเพลงหัดกีต้าร์ถึงจุดนึง และเริ่มคิดว่าเราอยากทำเพลงอะไร ก็คิดว่ามันต้องโฟล์กว่ะ

ใครมีส่วนเกี่ยวข้องในอัลบั้มนี้บ้าง

คือต้องบอกเลยว่า Old Fashioned Kid โชคดีที่ได้ความช่วยเหลือจากหลายคนเลยครับ คนแรกเลยคือน้องที่มาช่วยโปรดิวซ์ให้ ชื่อว่าน้องบิว—ปิยทัศน์ เหมสถาปัตย์ จริง ๆ ตอนนั้นผมปล่อยเพลง อย่าไป กับ หลอกตัวเอง มาได้พักนึงละ ในช่วงที่กำลังปล่อยเพลง เพราะเธอ แล้วน้องเขาได้ฟังก็ทักมาว่าชอบ ก็คุยกันเล่น ๆ ว่าเดี๋ยวไว้ทำเพลงด้วยกันมั้ย ตอนแรกบิวก็คิดว่าจะช่วยเพลงนึงก่อน แต่ไป ๆ มา ๆ ผมส่งเดโม่ทั้งหมดที่ผมมีให้เขาฟัง เขาชอบ ก็เลยอยากช่วยทำทั้งหมดเลย (FJZ :  ทำไมต้องคนนี้ล่ะ) จริง ๆ ผมตามผลงานเขามาเรื่อย ๆ อยู่แล้ว เขาเคยทำให้ ญาณิน, TELEx TELEXs, ชามุก ขมคอ Stage Fighter ทำให้ผมเห็นเทสต์รวมของเขา แบบ เฮ้ย เทสต์โคตรดีเลย เขาเป็นคนทำเพลงเพราะ บวกกับความมีชื่อเสียงในคณะของเขา เพราะเรียนที่เดียวกัน ก็ทำให้รู้ว่าคนนี้น่าสนใจ พอเขาออกปากว่าอยากร่วมงาน เราก็ดีใจมากๆเลย (FJZ : แล้วผลออกมาเป็นยังไงบ้าง) โอ้ สุดยอดเลยครับ แต่ละเพลงคือรู้สึกดีมาก ๆ บิวเขาทำให้เพลงที่ผมชอบอยู่แล้ว เป็นชอบได้มากกว่าเดิม ทำให้มันไปไกลมากกว่าเดิม ด้วยมุมมองของเขาที่กว้างกว่าผม
ส่วน Artwork ของอัลบั้ม ผมร่วมงานกับน้อง ดีน—ธนกร ศิริรักษ์ (Slver Water) เป็นน้องของเพื่อนผมเอง คือผมเคยมีโอกาสไปเล่น Old Fashioned Kid ครั้งแรกที่งานเปิดแกเลอรี่ศิลปะของเขา แล้วก็เห็นงานเขามาตลอด ตามเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม เขาเป็นคนหม่นเหมือนกัน งานศิลปะทุกอย่างจะหม่นหมดเลย ก็เลยยิ่งชอบงานของน้องดีน จนถึงช่วงที่ผมทยอยทำเพลงในอัลบั้มกับบิวหลายๆเพลง พบว่าเพลงมันมีแต่หม่น ๆ ผมก็เลยเคาะเลยว่า Artwork ต้องเป็นคนนี้แล้วล่ะ ก็เลยได้ติดต่อเขาไป พอส่งเพลงให้ฟังแล้วเขาก็ชอบมาก ก็เลยคุยกันว่าถ้าเพลงอย่างนี้ งานศิลป์จะออกมาเป็นยังไง แล้วเขาก็ส่งงานมา แล้วคือมันใช่เลย เหมาะสมมากๆ
ส่วนการอัดเสียงผมได้ความช่วยเหลือจากรุ่นน้องทั้งในคณะ นอกคณะ มากมาย ไม่ว่าจะทีมเครื่องสาย หรือ Sound engineer และห้องอัด (Grand’s Studio และ Minerva Studio)ทุกคนให้คำแนะนำ และให้ความช่วยเหลือผมมากมายครับ

ผลตอบรับหลังจากปล่อยอัลบั้มเป็นยังไงบ้าง

คนติดต่อมาเยอะมากครับ ผมตอบไม่ทันเลย แถมยังมีคนติดต่อซื้อจากต่างจังหวัดเยอะเลย ดีใจมากๆครับ มีหลายๆคนได้อัลบั้มไปแล้วโทรมาบอกว่าฟังแล้วชอบมากๆทั้ง Package และ เพลง ผมดีใจที่ทุกคนได้รับแล้วรู้สึกดีกับมัน คิดว่าเหมือนกับได้รับสิ่งที่มันคุ้มเงินครับ ฮ่าๆๆๆ

img_3668

ได้วาดฝันกับความฝันครั้งใหม่กับ Old Fashioned Kid นี้ยังไงบ้าง

คือตอนนี้มันมาได้ระดับนึง อัลบั้มเสร็จพอใจมาก มีคนรู้จักบ้าง ส่วนความฝันต่อไป อยากให้เพลงมันกระจายในวงกว้างกว่านี้อีกนิดนึง เพื่อผมจะได้ไปเล่นได้มากกว่านี้ เอาจริง ๆ ทุกครั้งที่เล่น ทุกครั้งที่จับกีตาร์ร้องเพลงตัวเอง มันก็มีความสุขแหละครับ เขาชอบเราก็ดีใจ เขาไม่ชอบก็ไม่เป็นไรไม่ว่ากัน

ฟังอินดี้ไทยบ้างหรือเปล่า

ผมไม่ค่อยได้ติดตามเพลงไทยเท่าไหร่ แต่ที่เคยฟังแล้วชอบมาก ๆ เลย ก็เป็นวง STOIC ครับ ขนลุกเลย แต่ถ้าเป็นยุคเก่า ๆ ผมชอบพี่โต Silly fools มากครับพี่โตเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงครับ

แอบได้ข่าวว่ามีทำเพลงให้วงอื่นด้วย

จริง ๆ มันเป็นโอกาสได้ลองทำเบื้องหลังมากกว่าครับ ส่วนใหญ่จะเป็นของ Room 39 ครับ เพราะว่าผมสนิทกับมน กับพี่โอ พวกเขาก็จะชอบชวนผมไปช่วยทำเดโม่ คิดดนตรีบ่อย ๆ รวมถึงให้ผมทำเพลงโฆษณา หรืองานทั่วไป แล้วก็จะมีเพลง คนละชั้น ของน้องเจ้านาย อันนี้ก็งานจากพี่โอครับ เขารับแต่งเพลงให้น้องเจ้านาย แล้วกำลังหาโปรดิวเซอร์ แล้วเขาก็เลยโยนมาให้ผมลองทำครับ

แล้วยังเป็นอาจารย์สอนกลองอีก รู้สึกยังไงกับหน้าที่ตรงนี้

ผมรู้สึกว่าโชคดีที่ได้ทำงานประจำที่เกี่ยวข้องกับดนตรี มันเสริมกับสิ่งที่ผมรัก คือเด็กดนตรีปกติจะออกไปสอนพิเศษตามโรงเรียนดนตรีกันอยู่แล้ว แต่พอจบไปก็อาจจะต้องหางานที่มันจริงจังขึ้นไปอีก แต่อย่างผมโชคดีที่พอจบปุ๊บ อาจารย์ก็เรียกให้ไปสอนที่มหาลัยเลย
ส่วนเรื่องความรู้สึก ผมคิดว่าพอมาอยู่ตรงนี้มันได้มีมุมมองที่กว้างขึ้น มันเหมือนเราเห็นตัวเอง ตอนเป็นเด็กปีหนึ่งที่มีความฝัน ทะเยอทะยาน เราก็มีหน้าที่บอกเขาว่า เขาควรต้องทำอะไรบ้าง ต้องเจอปัญหาอะไรบ้าง ทั้งนอกทั้งในรั้วมหาลัย คือเราช่วยเปิดมุมมองให้เขาทีละนิด ๆ บวกกับเตรียมพร้อมให้เขาเป็นนักดนตรีที่ดี

ถ้าตัวเราในอดีตได้มาลงเรียนกับเราตอนนี้ อยากจะสอนอะไรเขา

ก็… อย่าเครียดมาก (หัวเราะ) คืออย่าเสียเวลากับอะไรบางอย่างมากเกินไป ด้วยความหัวรั้นของเด็กไฟแรง มันทำให้เรามัวไปหมกมุ่นกับอะไรบางอย่างมากเกินไป แล้วถ้าเรามีมุมมองที่กว้างกว่า จะรู้ว่า มึงไม่ต้องเครียดขนาดนั้น ผมว่าผมอยากจะแชร์มุมมองให้ตัวเองในอดีต ว่าบางสิ่งบางอย่าง มึงก็เยอะไป มันไม่เกิดผลอะไรขึ้นมา (FJZ :  จะสปอยล์อนาคตให้ตัวเองไหม) อืมม คงสปอยล์ว่า มึงต้องซ้อมกีตาร์เยอะ ๆ นะ (หัวเราะ)

คิดว่า Old Fashioned Kid ยังขาดอะไรอยู่

หลาย ๆ คนจะบอกว่า ในอัลบั้มนี้มันมีแต่เรื่องของตัวเอง คือจะให้อัลบั้มนี้มันไปถึงคนมากขึ้น มันควรจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นมากขึ้น ไม่ใช่เอาเรื่องตัวเองมายำไรงี้ ซึ่งอาจจะจริงแหละครับ (FZJ : หมายความว่าอัลบั้มนี้เป็นเรื่องของเราหมดเลยหรอ)  เป็นเรื่องของผมประมาณ 90% เลยครับ ที่เหลือจะเรื่องของรุ่นพี่ รุ่นน้องบ้างครับ

img_3688

จะว่าไปแล้วตินก็ทำอะไรหลาย ๆ อย่างในวงการดนตรีมาไม่น้อยเหมือนกัน ได้เห็นอะไรในวงการนี้บ้าง

ส่วนตัวผมรู้สึกว่า คนเสพเพลงยังเสพเพลงแบบเดิมเป็นส่วนใหญ่ หมายถึงว่า เพลงตลาดก็จะขายได้ถล่มทลายเหมือนเดิม คือผมไม่ได้เกลียดเพลงตลาดนะ เพียงแต่ว่าผู้ฟังยังไม่เปิดรับขนาดนั้น แต่ก็มีเปิดใจบ้างนะ อย่างฟังใจหรือ Cat Radio เนี่ย ก็ทำให้ทุกคนรู้จักได้มาฟังเพลงอินดี้เยอะขึ้น ผมว่าอินดี้ก็กำลังเติบโตแหละ แต่ว่ายังต้องสู้กันอีกต่อไปครับ

อยากให้วงการเป็นยังไง

มันพูดยากเหมือนกันนะ คือผมก็เป็นคนโลกแคบอยู่เหมือนกัน แต่ผมรู้สึกว่าคนอินดี้ มีพลังที่จะถีบตัวเองน้อยอยู่แล้ว บวกกับร้านทั่วไปก็ไม่ค่อยได้ตอบรับอินดี้เท่าไหร่ มีบางร้านเท่านั้นแหละ และยังมีน้อยเกินไป ถ้าอย่างวงฝรั่งเขาจะมีที่ลงร้านอะไรอย่างงี้ เขาจะทัวร์เส้นนี้ไปต่อร้านนี้ ๆ เลย แต่ของไทยจะเป็นร้านอีกแบบ คือคนมากินเหล้าแหละ แล้วมารอร้องเพลงฮิต (FJZ : เหมือนกับบทบาทของเพลงของบ้านเขาบ้านเราไม่เหมือนกัน) ใช่ครับ คือผมคิดว่าเพลงมันมีเพื่อการบันเทิงอยู่ละ แต่เมืองไทย มันมีน้อยที่จะให้คนมาเสพย์ดนตรีจริง ๆ มาเพื่อฟังเพลงอะ มาเพื่อชมเพื่อซึมซับอะไรบางอย่าง แต่ในไทยส่วนใหญ่มาเพื่อกินเหล้า เจอศิลปิน ฟังเพลงดัง มาเฮฮา 

คิดว่าในบ้านเรายึดการศิลปินเป็นอาชีพหลักได้ไหม

ผมว่า… แล้วแต่บุญแล้วกรรมเลยครับ (หัวเราะ) อย่างถ้าคนที่มีเพลงดังเปรี้ยงขึ้นมาเลย มันก็หากินได้แบบยับเลย แต่สุดท้ายมันก็ต้องซาลง มันก็มีขึ้นมีลงครับ แต่อย่างคนที่ไม่ได้มีเพลงดัง มันไม่เหมาะเป็นอาชีพหลักขนาดนั้น

เคยตันบ้างไหม แล้วหาทางออกยังไง

บ่อยเลยครับ ล่าสุดผมเพิ่งกลับจากต่างประเทศ ไปเที่ยวยุโรปมาครึ่งเดือนเลย ผมเพิ่งค้นพบว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ไม่ได้หมายถึงการเที่ยวนะครับ แต่หมายถึงการขาดจากดนตรีเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยไม่แต่เครื่องดนตรี ไม่ฟังเพลง ไม่อะไรเลย พอกลับมามัน fresh กว่าเดิมมาก พอคิดอะไรก็เป็นสิ่งใหม่ ๆ หมด เลย เพราะก่อนหน้านี้ผมเป็นคนจริงจัง พอคิดไม่ออกก็ตะบี้ตะบันทำ มันก็เหมือนวนอยู่ที่เดิม หรือว่าคิดอะไรออกมาก็จะแตกออกมามาได้นิดเดียว แต่พอผมหายไปจากดนตรีแล้วกลับมาแล้วมันได้อะไรใหม่ ๆ

แต่เวลาผมคิดไม่ออก ผมจะคุยกับ กั้ง  (มือกลอง Superbaker) บ่อย ๆ ครับ ผมว่าการปรึกษาเพื่อนเป็นสิ่งที่ดีครับ เหมือนกับว่า หยุดงานตัวเองแล้วลองมองฟังมุมมองคนอื่นบ้าง

บางคนอาจจะรู้แล้ว ว่าตินกำลังคบกับ มน Room 39 ไปเจอกันได้ยังไง

ผมเจอกับมนตอนช่วงทัวร์คอนเสิร์ตของ BEC TERO ที่ชื่อว่า ‘เล่นใหญ่’ คือช่วงนั้นผมก็เพิ่งผิดหวังมา แล้วมีพี่ๆเชียร์ มีคนชงเยอะครับ เอาจริง ๆ มนเขาเป็นคนทักผมมาก่อน ก็เลยได้คุยกัน ตอนแรกก็ยังไม่ได้อะไรเท่าไหร่ ไม่กล้าคิดอะไรเยอะ ยิ่งเคยมีประสบการณ์ผิดหวังมาบ่อย แต่พอได้อยู่กับเขาแค่แป๊บเดียวก็รู้สึกว่าสบายใจ เพื่อนๆเขาดี เขาคิดดีทำดี และก็บ่อยครั้งเป็นคนห้าว ๆ ตรงๆ ตลกด้วย ทำให้รู้สึกว่าเขาจริงใจมากๆ อยู่ด้วยแล้วสบายใจน่ะครับ

มีอยู่ครั้งนึง ตินได้ไปอยู่บนข่าวกอสซิปดารา อารมณ์หวานใจของ มน Room 39 หล่อระดับจางกึนซอกเมืองไทย ตอนนั้นรู้สึกยังไง ได้คุยเรื่องนี้กับมนบ้างหรือเปล่า

มนฮาครับ (หัวเราะ) ผมก็ฮาและอายด้วยครับ แบบ อะไรของมึงวะเนี่ยยย คือเข้าใจป่าวผมไม่ได้อยากเป็นอะ แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ มันกลายเป็นฮามากกว่า (FJZ : หลังจากข่าวออกมาเป็นยังไง มีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นกับเราไหม)  ไม่มีเลยครับ ไม่มีใครสนใจผมเลยครับ (หัวเราะ)

img_3664

อย่างช่วงกระแสหน้ากากทุเรียน ที่มีดราม่าเรื่องทีมงานปฏิบัติไม่เท่าเทียมจนพี่มนถึงกับร้องไห้ ตอนนั้นเราดูแลหรือปลอบพี่มนยังไงบ้าง

ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่า มนไม่ได้รู้สึกน้อยใจวงอะไรเลย คือเรารู้กันว่า Room 39 มีสามคน แล้วคนที่เด่นที่สุดคือ ทอมอยู่แล้ว พี่โอกับมนกับทอมเนี่ยเขาก็เล่นด้วยกันมาขนาดนี้  แต่ว่ามันเกิดเหตุการณ์ที่เหมือนผู้จัดการหรือทีมงาน เขาก็ทำตามหน้าที่ แล้วช่วงนั้นทอมพีคมาก คนที่ทำงานตรงนั้นเขาก็ต้องมาร์กไว้แล้วว่าให้ทอมเด่น ต้องถ่ายรูปอย่างนู้นอย่างนี้ไรเงี้ยะ ทอมก็คอยบอกพี่โอกับมนว่า เฮ้ย ต้องอดทนนะ เพราะคนเขาก็จะทำอย่างงี้เราเสมอแหละ พอกระแสมันซาทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่พีคจริง ๆ ช่วงนั้นมีงาน เช้า กลางวัน เย็น ตลอด เจอแต่เรื่องเดิม ๆ บวกกับความเหน็ดเหนื่อย ไม่ได้นอนมาหลายวัน แล้วมนเป็นคนจริงใจจริงจังอะครับ พอเจอเรื่องอย่างนี้ปุ๊บ สีหน้าก็ออก ทั้ง ๆ ที่อดทนมาตลอด แล้วพอเจอการปฏิบัติที่ไม่ดี แล้วเขาไม่ไหวจริง ๆ ก็เลยร้องไห้ออกมา แล้วคนก็ถ่ายรูปแล้วชอบไปพิมพ์เป็นอีกเรื่องอีกแง่นึง ซึ่งมันก็ไม่จริง

ถ้าถามว่าผมดูแลเขายังไง ผมรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง ผมก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก ก็ดูแลในฐานะแฟนคนนึง ว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวมันก็ดีขึ้น เขาก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก เพราะแค่มีคนรู้วส่าจริงๆเรื่องมันเป็นยังไงก็พอแล้วก็แค่นั้น ตอนนั้นเขาก็ต้องอยู่เงียบ ๆ พักนึงอะครับ ซึ่งทุกคนก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่วงเขารักกันดีครับ ก็คือช่วยกันมากกว่า ว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรแบบนี้ ต้องช่วยดูแลกันนะ

แล้วตอนนี้กระแสหน้ากากทุเรียนเป็นยังไงบ้าง

ก็ยังมีครับ แต่ก็น้อยลงแล้วครับ เพราะตอนนี้ก็มี Mask Singer season 3 แล้ว

อย่างช่วงที่ Room 39 ต้องออกทัวร์เยอะ ๆ ช่วงนั้นห่างกันบ้างไหม

โอ้ย ช่วงนั้นผมไม่ได้เจอเขาเลย (หัวเราะ) แต่ว่าเราก็คุยกันตลอดอยู่แล้ว หรือถ้างานไหนผมว่างผมก็ไปกับเขา ถ้าไม่ได้เจอกันก็ Facetime คุย LINE บ้าง ช่วงนั้นเข้าถึงตัว Room 39 ยากมากครับ ไปที่ไหนคนดูหมือนซอมบี้ถล่มเลยครับ

ตินก็เหมือนได้สัมผัสการมีชื่อเสียงและการเป็นศิลปินหน้าใหม่ในเวลาเดียวกันรู้สึกยังไง

ผมว่าผมโชคดีครับ คือผมได้เห็นการทำเพลงของพวกเขาตั้งแต่เริ่มต้น ตอนที่ยังไม่ดัง หมายถึง Room 39 เขาเคยดังมาก่อนอยู่แล้ว ก่อนที่ผมจะได้รู้จักมน แต่หลังจากนั้นมันจะมีช่วงดรอปลง จนแทบไม่มีงาน พวกเขาก็แย่ ๆ เหมือนกันครับ แล้วผมได้เห็นตั้งแต่ตอนพี่โอ มน ทอม เริ่มลงมือทำอัลบั้มใหม่ ต้องแต่งเพลงกันเองละ เห็นตั้งแต่เริ่มต้นเลย จนเขากลับมาดังมากๆอีกรอบ นับถือใจพวกเขามากครับ คือทำให้ผมเห็นว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้เขาสู้กันมามากแค่ไหนครับ

จากที่บอกว่าเพิ่งกลับจากเที่ยวยุโรป ไปไหนมาบ้าง มีอะไรอยากเก็บมาเล่าให้ทุกคนฟังไหม

ผมไปรัสเซีย แล้วไปต่อที่เยอรมัน ไล่ไปออสเตรีย ไปจบที่อิตาลีครับ เอาจริง ๆ อยากบอกว่าเมืองไทยดีที่สุดละ ฮ่าๆๆ ด้วยที่ว่าผมไม่เคยไปเมืองนอก เลยเข้าใจว่าเมืองนอกต้องดีเลิศกว่าเรา ซึ่งมันก็จริงในบางเรื่อง แต่บางเรื่องก็ไม่จริง อย่างเช่น ผู้คน คนไทยใจดีที่สุดแล้ว เมืองนอกมีความตัวใครตัวมันสูงประมาณนึง  ส่วนอาหารเมืองนอกบรรลัยมาก มันวนอยู่กับแป้ง ของทอดอะไรครับ รสชาติก็สู้บ้านเราไม่ได้เลย ค่าครองชีพสูงข้าวของแพง แล้วที่อยากเจออากาศหนาวยิ่งหนาวยิ่งดี มันไม่จริงเลยครับ ทรมานหลายๆอย่างเมืองนอกเค้าลำบากต้องสู้ชีวิตมากกว่าคนไทยเยอะครับ แต่ที่ประทับใจคือได้สัมผัสธรรมชาติที่อลังการมากๆ ทั้งภูเขา ป่า แม่น้ำ และก็ได้สัมผัสหิมะครั้งแรกด้วยครับ มาเป็นพายุเลยครับ

มีทะเลาะกลางทริปบ้างไหม

โอ้ย มีอยู่แล้วครับ มันเหมือนกับว่าเวลาอยู่กันสองคนมันต้องช่วยกันตัดสินใจอะครับ ช่วยกันหาทางออก อย่างหลงทาง จะไปทางไหน จะคุยกับใคร มันก็จะมีความคิดไม่ตรงกันบ้าง

เรื่องการตัดสินใจ ระหว่างตินกับพี่มน ใครเป็นใหญ่กว่ากัน

เอาจริง ๆ ผมว่ามนครับ เพราะผมเป็นคนยอมครับ แต่บางเรื่องก็ไม่ยอมนะ เขาก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะมีเรื่องที่ผมไม่ยอมอยู่บ้าง เราก็ไม่ได้ยอมกันทุกอย่าง เราคุยกันด้วยเหตุผล อะไรยอมแล้วโอค อะไรยอมแล้วไม่โอเค

img_3684

อยากฝากอะไรถึงผู้อ่านบ้าง

ก็ฝากติดตาม Old Fashioned Kid ด้วยนะครับ ผมคงไม่หยุดอยู่แค่นี้ครับ อัลบัมนี้มันยังเป็นเพียงก้าวๆนึง และผมยังสนุกที่จะก้าวต่อไปครับ อัลบั้ม out of time สามารถสั่งซื้อได้ที่ inbox เพจเลยครับ หรือไปอุดหนุนตามงานเล่นสดก็ได้ครับ ที่ต่อไปที่จะไปเล่นคืองาน Cat Expo 4 ผมเล่นวันที่ 26 พ.ย.นี้ ใครที่ไปงานแวะมาหากันได้ครับ ไม่ต้องซื้อแผ่นก็ได้ครับ มาพูดคุยทักทายกันครับ 🙂

Facebook Comments

Next: