Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

Youth Brush และ Flower Dog ร่วมแจม Dogwhine ใน ‘We Are History’ EP Launch Party

  • Writer: Montipa Virojpan

ก่อนอื่นเลยต้องขอแสดงความยินดีกับวงร็อกรุ่นใหม่ที่เพิ่งเป็นที่รู้จักในซีนได้ไม่นาน พวกเขาก็ปล่อย EP (ที่เพลงเยอะเกือบจะเป็นอัลบั้มได้) ออกมาให้เราได้ฟังกันเต็ม กับ Dogwhine Dog of God และเมื่อคืนนี้พวกเขาก็เพิ่งจัดคอนเสิร์ตเปิด EP We Are History ไปที่ Brownstone อ่อนนุช ซึ่งมีแฟนเพลงมาให้กับสนับสนุนพวกเขาอย่างล้นหลาม

4 ตุลาคม 2562

ที่บราวน์สโตนคึกคักตั้งแต่เวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง หลายคนทยอยตบเท้าเข้าไปด้านในฮอลเพื่อฟังเพลงเพราะ จาก Youth Brush ปรากฏว่าเป็นเวลานานประมาณนึงที่เราไม่ได้ดูเขาเล่น จากปกติจะพูดสั้น และเล่นมุขไปด้วย ตอนนี้เขาโปรขึ้นมากกับการเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ มีที่มาของเพลงมาเล่าและอารมณ์ขันแพรวพราว ที่น่าสังเกตคือปกติเพลงของ Youth Brush จะเป็นกีตาร์โปร่ง คราวนี้เขามากับกีตาร์ไฟฟ้าและเอฟเฟกต์สร้างความชวนฝันให้กับซาวด์ เปิดมาด้วยเพลงแรก พยางค์เดียว โดยเขาเล่าไอเดียให้ฟังว่า หากให้ใครอธิบายว่าความรักด้วยคำพยางค์เดียว คงเปนชื่อของเธอคนนั้น หวานมาก จากนั้นเขาก็เล่นเพลง เพียงเธอ เพลงน่ารักเมโลดี้สดใส ตามด้วยเพลงโปรดของ แคน ฟรอนต์แมน Dogwhine ที่เขาตั้งใจมอบให้แคนอยู่ตรงนี้ไหม… เอ่าไอสัส ไม่อยู่อีกดุ่ยเล่าว่าตอนไปเล่นงานโฟล์กที่เชียงใหม่ด้วยกัน แคนชอบเพลงนี้มาก ตอนนั้นแคนยังใช้ชื่อเป็น Anesthetic Granny อยู่เลย แล้วที่มาของเพลงนี้คือ ตอน .1 เขาอยู่ที่ตราด พ่อของเขาเป็นช่างสักคนแรกที่มีเครื่องสักในจังหวัด แต่ลูกค้าไม่ค่อยมีเลยย้ายไปเกาะช้าง ตอนนั้นเขาดูทีวีรายการตำนานรักดอกเหมย’ มีตอนนึงที่ นางเอกพูดว่าเวลาผ่านยังไม่ถึงวัน คิดถึงจังเลย’ เขาเลยเอามาแต่งเพลงนี้ ตามด้วยเพลง ไหน ซึ่งจบเพลงนี้ เขาก็เล่าอีกว่า น้องที่ทำวิชวลถามว่าเล่นเพลงอะไรบ้าง แต่เขาไม่บอกเพราะกลัวไม่เซอร์ไพรส์ น้องเลยไม่ทำวิชวลให้เลยแถมยังปล่อยสโมคใส่อีก เรียกเสียงฮาครืนจากผู้ชมอีกระลอก ก่อนจะเล่นเพลงซึม ช้า ที่เป็นเพลงโปรดของแบงค์ มือกลอง จบเพลง เขาก็เล่าอีกถึงการแต่งตัวในวันนี้ปกติไม่ค่อยแต่งตัว นี่เอาเสื้อมาสองตัว น้องบอกให้ใส่สูท แต่สูทไม่มี พอใส่เชิ้ตขาวเปนธนาธรเลย ไม่เปนตัวเองเลย

แล้วเขาก็เล่นเพลง Hair ที่ดีดคอร์ดกีตาร์สไตล์บริตป๊อป โดยเพลงนี้มาจากการที่เขาสังเกตว่าเวลาคุยกับใครที่ชอบ แล้วถามว่าทำไรอยู่ ก็จะบอกว่าเพิ่งสระผม แต่จะนอนแล้ว เหมือนเขาเอาช่วงเวลาสิบนาทีที่ผู้หญิงรอผมแห้งมาแต่งเพลง โอ้ย หวานเหลือเกินพี่จ๋า ต่อไปก็เป็นเพลง ได้ เพลงตัดพ้อสุดน่ารัก ไม่ชินเหมือนกันที่ดุ่ยฮัมเพลงแบบนี้ แต่เมโลดี้ป๊อป ในเพลงคือเพราะมาก จบเพลง เขาเล่าอีกว่าวันนี้ธีมงานคือ We Are History ให้เล่นอะไรก็ได้ที่เป็นประวัติศาสตร์แต่อดีตที่เราบันทึกไว้ มันก็ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์หมดนั่นแหละโดนไปอีกโควตนึง ก่อนจะเล่นเพลงจากโปรเจกต์ใหม่ Dog Kid Cat สองเพลง ยังไม่มีชื่อแต่จะมอบให้เฟิร์ส มือแซ็กโซโฟน เป็นเพลงที่เท่มาก มีความเป็น Penguin Villa อยู่สูง กับอีกเพลงนึง อินโทรมีความป๊อปญี่ปุ่นแบบ Lucky Tapes ประมาณนึง เท่มาก เป็นเพลงที่ทำให้ผู้หญิงคนนึงเกิดรอยยิ้มขึ้นมาหลังจากที่นอยทั้งวัน ชื่อ มุมปากสองเซ็น ก่อนจะเป็นเพลงฮิตที่หลายคนชอบ เธอของเธอ พอใช้กีตาร์ไฟฟ้าแล้วมีความ emotional มาก ได้อารมณ์แบบสมัย So::On Dry Flower ที่จะมีความโพสต์ร็อก อัลเทอร์เนทิฟหนักหน่วง ดำดิ่ง แล้วปิดท้ายไปด้วยเพลง ให้ เรียกว่าครบทุกอารมณ์จริง ตั้งแต่โชว์แรก

จากนั้นประมาณสามทุ่มครึ่ง ก็เป็นเวลาของ Flower Dog หรือ แนต วง Summer Dress ที่ปกติวงไซด์โปรเจกต์ของเขาอันนี้จะเป็นวงอะคูสติก แค่กีตาร์ กับฟลุตเท่านั้น แต่มาคราวนี้พวกเขาสวมบทนักทดลอง มาในชุดกาวน์ และเครื่องดนตรีที่ใช้ก็เปลี่ยนมาเป็นแล็ปท็อป กับคีย์บอร์ดซินธิไซเซอร์ อยากรู้เลยว่าเพลงที่เราชอบฟังตอนนั้นจะเป็นยังไงเมื่อถูกเล่นด้วยอิเล็กทรอนิกเซ็ต

ทันทีที่ไฟหรี่ลง เราก็ได้ยินเสียงของหยดน้ำค่อย หลั่งริน พร้อมกับวิชวลหลากสีสันสบายตา จากนั้นเราก็เริ่มได้ยินเสียงนกร้อง แล้วเมโลดี้คุ้นหูก็ถูกบรรเลง นี่คือเพลง เจ้านกกระจอก ที่ปกติแล้วจะเป็นเสียงฟลุตคอยดำเนินทำนองหลัก คราวนี้เป็นเสียงกดคีย์บอร์ดซินธ์ทู่ น่ารักไปอีกแบบ แล้วทุกอย่างถูกเล่นวนลูป แต่เขาก็ค่อย ใส่บีตเพิ่มเข้ามา แล้วก็มีการเปลี่ยนสลับไปเป็นแอมเบียนต์ล่องลอย มีความสะกดจิตระคนกับความชวนฝัน ท่อนหลัง ถูกเล่นออกมาเป็น industrial ให้ความรู้สึกเป็นหนังไซไฟอวกาศเบา เท่มาก ไม่คิดว่าเพลงนี้จะถูกพัฒนาออกมาเป็นเวอร์ชันนี้ได้ลงตัว ดีงาม พอจบเพลงก้เอาเสียงฝนมาใส่เชื่อม คราวนี้ฝนตกหนักขึ้น รู้สึกชุ่มฉ่ำ วิชวลก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน ได้ยินเสียงเปิดปิดประตู กับเสียงพูดภาษาญี่ปุ่นไม่รู้หมายความว่าอะไรเหมือนกัน แต่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูหนัง Studio Ghibli เทือก นั้น จากนั้นก็เป็น Time To Nothing เป็นเสียงเคาะ บีตมาแบบเทคโน ไฟเริ่มมีความมึนเมา และดูจริงจังเคร่งเครียดขึ้น เชปสามเหลี่ยมซ้อนกันสีทองพุ่งตรงเข้าหาเรา แต่นั่นคือเพลง Vieil Homme อยู่ดี เพลงน่ารัก ก็กลายเป็นเพลงเท่ ขึ้นมาทันที ก่อนจะจากกันไปด้วยเพลง experimental ที่หลอนหูด้วยเสียงร้องไห้ของผู้หญิงแบบเปิดลูป พูดเลยว่าใครที่กำลัง high on อะไรสักอย่างอยู่นี่มีดึงหน่วงกันได้ เพราะมันให้ฟีลแบบ satanic หลอน หนักพอควรเลย แต่โดยรวมแล้วนี่เป็นโปรเจกต์ทดลองที่น่าสนใจมาก ของแนตกับเพื่อน รอติดตามการเล่นสดครั้งหน้าเลย

We Are History

จนเวลาล่วงเลยมาถึงสี่ทุ่มสิบห้า คนเริ่มมาออกันเต็มหน้าเวทีเพื่อรอดู Dogwhine วงอัลเทอร์เนทิฟร็อกทดลองสายการเมือง บรรเลงเพลงอันดุดัน ขี้เล่น กวนประสาท และจิกกัดระบบได้เจ็บแสบให้เราได้ฟังเป็นวงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ (แอบคิดว่าจริง ๆ แล้ววงคงอยากจัดงานเปิดอัลบั้มวันที่ 6 ตุลา ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเหมือนกัน) แบงค์ มือกลองเข้ามาประจำที่และเริ่มเล่นในพาร์ตของเขา จากนั้นปั้น (เบส) แคน (กีตาร์/ร้องนำ) ต๊อด (กีตาร์) ก็ตามขึ้นมาบรรเลงเครื่องดนตรีของแต่ละคน ปิดท้ายด้วยเฟิร์ส กับแซ็กโซโฟนที่ส่งเข้าท่อนเท่ ได้อย่างไม่มีที่ติ พวกเขาส่งเราเข้าสู่ intro แจ๊ส กรูฟ สุดล่องลอย ก่อนจะพาไปยัง interlude Destroy the State กับกีตาร์เมโลดี้เกริ่นนำที่หมองเศร้า แต่เครื่องดนตรีชิ้นอื่น ช่วยสอดประสานความหน่วงหนักเข้ามาเพิ่มพลัง ตามด้วยเพลงจังหวะกระฉับกระเฉงที่ให้ความรู้สึกเหมือนเพลงของวง Deerhoof สังเกตว่าคนเริ่มเอาแล้วเหมือนกัน จบเพลงก็เริ่มส่งเสียงเห่าหอนอย่างคึกคัก ก่อนจะเล่นเพลง Masquerade Ball ที่ตอนแรกก็เป็นป๊อปน่ารักจังหวะสนุก แต่ตอนหลังเล่นให้หนืดลง กลายมาเป็นเพลงนูดิสโก้ แบงค์ชวนคนดูตบมือ ทุกคนก็ให้ความร่วมมืออย่างพร้อมเพรียง จากนั้นก็เป็นเพลงที่อารมณ์แบบวงฟรีแจ๊สเท่ พวกสาย contemporary แบบ Vulfpeck, Louis Cole, Jacob Collier ที่ไดนามิกไล่พุ่งขึ้นมาเรื่อย มีท่อนที่ทำให้นึกถึง The Libertines และมีเบรกดาวน์เป็นท่อนกรันจ์ การาจร็อก ผสมกับร็อก 80s หมอลำ คือมันหลากหลายมาก ตอนจบก็ดึงจบแบบหลอน ทำเอาเรางงไปหมด ทำไมเรียบเรียงเพลงเก่งมาก จบเพลงนี้ก็ได้เวลาขอซิงเกิ้ลล่าสุด Symphony Song ที่แฟนเพลงร้องตามกันได้เยอะมาก มาคราวนี้เพลงใส สนุก กลายเป็นเพลงที่โคตรเท่ แล้วเราได้ตั้งใจฟังกลองของแบงค์ เป็นจังหวะที่เท่มาก เช่นกันกับตอนจบที่ทุกอย่างเงียบแล้วเหลือให้ปั้นจบด้วยพาร์ตเบส เรานี่ขนลุกเลย

We Are History

พักครึ่งของโชว์ พวกเขาก็ชวนให้ดุ่ย Youth Brush ขึ้นมาพูด ในฐานะที่เขาเป็นโปรดิวเซอร์หลักของ EP ชุดนี้และรุ่นพี่ที่เดินทางร่วมกันมา เฟิร์สเป่าแซ็กเป็นเพลง Worth It เรียกดุ่ยขึ้นมา แล้วดุ่ยก็ถ่ายทอด speech ที่จริงใจที่สุด รวมถึงเสียน้ำตาให้กับพวกเขาน้อง ตามไปดูทุกวัน แต่วันนี้เป็นวันของมัน ทำให้ผมร้องไห้ส่วนแคนก็ตอบดุ่ยแบบเขิน ขอบคุณพี่ ผมงงเหมือนกันจากบรรยากาศซึ้ง ก็กลายมาเป็นความฮาไปได้ซะงั้น แล้วพวกเขาก็เล่นเพลง Unemployment โดยได้ เบล Game of Sounds มาร่วมร้อง เพลงซึม ที่ทรงพลังด้วยท่อนแซ็กโซโฟนสุดรวดร้าว แล้วก็เป็นอีกเพลงที่เบลร่วมแจม เป็นฟีลร็อกแอนด์โรล ผสม Red Hot Chili Peppers ดุ กรันจ์ แล้วเบลก็ร้องด้วยเสียงแบบที่เราไม่ค่อยได้ยินเธอร้องแบบนี้เท่าไหร่ มีความเป็น Gwen Stefani เท่มากกกกก เพลงก็มีความผสมกันทั้ง Bon Jovi, Joan Jett, Queen อีกเพลงที่งงมากแต่เท่จนไม่สามารถหยุดโยกตามได้ ส่วนอีกเพลงก็มาอย่าง Smashing Pumpkins มีโซโล่ร็อกสไตล์ 70s ที่เท่ไม่บันยะบันยัง ก่อนจะเล่น Democrazy ที่ทุกคนพร้อมใจกันร้องตาม มีท่อนยึกยักให้โยกหัว และ Apologise for the Monument มาเป็นเมทัล แจ๊ซ เดือด ๆๆๆ แล้ววิชวลก็กวนสุด ตามด้วย Dog of God แบบเชื่อมกันเนียน กับเพลงก่อนหน้า เท่มากกกกกก พอจบเพลงนี้พวกเขาก็ลงเวทีไป ต้องให้คนดูอังกอร์กันยกใหญ่ แล้วทั้งวงก็กลับขึ้นมา พร้อมกับการโดนบิลด์ให้ถอดเสื้อ แม้แต่กับเฟิร์สที่ดูจะเรียบร้อยที่สุด ก็โดนบิลด์ให้ถอด แต่เขาปฏิเสธพร้อมกับวลีที่ขอบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ไม่เอาเดี๋ยวเมียด่า เอาง่าย ถ้าเมาเดี๋ยวเมียไม่ให้เย็ด’ …โอเคครับ รู้เรื่อง

We Are History

และพวกเขาก็จัดเพลงสุดท้ายด้วยอินโทรเท่ ของ Leader ซิงเกิ้ลแรกที่เปิดตัววงทำให้เราได้รู้จักกับพวกเขาอย่างเป็นทางการ ความรู้สึก ตอนนั้นคือ (เมา แหะ ) ยินดีด้วยกับวงนี้มาก ที่ทุกคนสนุกไปกับเพลงของพวกเขาและให้การสนับสนุนอย่างอบอุ่น วิชวลเองก็ทำได้น่ารัก เข้ากับทุกวงและทุกเพลงมาก ๆ (โดยเฉพาะน้องหมาไฟกระพริบ) แต่นี่ก็เป็นเพียงการเดินบทแรกของพวกเขากับ EP Dog of God ต่อไปนี้พวกเขาจะเดินหน้าต่อกับการเดินทางบทใหม่ ร่วมกับ Tomato Love Records เร่งทำอัลบั้มเต็มที่ได้ยินมาว่า มีเพลงแล้ว! ขยันมาก ขอบคุณที่ขยันนำเสนอสิ่งใหม่ ให้กับวงการดนตรีแบบนี้ และขอบคุณที่ไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ลบเลือนผ่านบทเพลงของพวกเขา ทำให้เราได้ตระหนักว่า ‘We Are History’ เราจะคอยติดตามดูนะ

อ่านต่อ

Dogwhine เด็กหนุ่มห้าคนที่ถ่ายทอดความคิดตรงไปตรงมา ผ่านดนตรีดิบเถื่อนอย่างมีชั้นเชิง

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้