Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

Fuji Rock Festival 17 เมื่อต้องเผชิญกับสภาวะขาเดี้ยงและฝนที่ตกทั้งวันทั้งคืน ตอนที่ 2

  • Story and photos by Montipa Virojpan

อ่านเรื่องราวของ Fuji Rock Festival ’17 วันแรกได้ ที่นี่

29 กรกฎาคม 2560

หลังจากจบจากโชว์ Gorillaz แล้วก็รู้สึกได้ว่าขาของเราที่ชุ่มน้ำฝน รวมทั้งโคลน และต้องยืน/เดินข้ามเขามาตลอดทั้งวันได้อ่อนแรงถึงขีดสุด แม้รองเท้าที่ใส่อยู่จะเป็นรองเท้าสำหรับเดินและวิ่งที่ควรจะซัพพอร์ตเท้า แต่อย่าลืมว่าสรีระเท้าของเรากับทรงรองเท้าเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้จริง ซึ่งเราโดนรองเท้าบีบมากจนเดินกลับไปที่เต๊นท์เองไม่ไหว ต้องให้เพื่อนมาช่วยแบกขึ้นเขาไป และคืนนั้นก็เป็นคืนที่เรารู้สึกแย่ที่สุดกับการต้องนอนเท้าระบม และมีฝนตกลงมายังเต๊นท์ที่เราไม่รู้ว่ามีน้ำซึมตลอดทั้งคืนจนรุ่งเช้าของอีกวัน

Day 2

*เนื่องด้วยวันนี้ฝนตกทั้งวัน ภาพที่ถ่ายมาเลยมีน้อยมาก ๆ เพราะกลัวกล้องจะพัง T-T*

เช้าวันที่สองของ Fuji Rock Festival เริ่มต้นด้วยความขมุกขมัวและชุ่มฉ่ำเพราะฝนยังตกไม่หยุดตั้งแต่เมื่อคืน การมีทิชชู่เปียก สบู่แบบไม่ต้องล้างออก และ dry shampoo เป็นเหมือนลาภอันประเสริฐในวันที่คุณไม่สะดวกใจจะย่ำโคลนไปต่อคิวอาบน้ำเช่นวันนี้ เราเลือกใส่บูทยาง (ไม่เอารองเท้าบ้านั่นอีกแล้ว) เสื้อกันฝน และแบกเก้าอี้สนามไปด้วย เพราะรู้ว่าเท้าที่ยังไม่หายดีจะต้องเจอศึกหนักอีกแน่ (จนถึงตอนท้ายของวันถึงได้รู้ว่าของพวกนี้มันช่วยชีวิตมาก ) และหลังจากที่เราซื้อทันตัมเม็งหน้าทางเข้าแคมป์ไซต์มายืนกินกลางสายฝน (แบบโคตรจะไม่อร่อย) เสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาเข้างาน

img_2247

เท่าที่เช็กมา โชว์ส่วนใหญ่ที่อยากดูในวันนี้จะอยู่ที่เวที Red Marquee เป็นหลัก ซึ่งเป็นเวทีเล็กที่อยู่ใกล้ camp site ที่สุดในบรรดาทุกเวที (ค่อยสบายติงหน่อย) และเวลา 10.20 ก็จะมีวงชื่อ The Ramona Flowers แสดงเป็นวงแรก พวกเขาเป็นวงดนตรีที่มีชื่อเดียวกับตัวละครที่เราชอบจากเรื่อง Scott Pilgrim (และเป็นอีกเหตุผลที่ย้อมสีผมตามทั้งฟ้าและม่วง) เลยอยากรู้ว่าแนวเพลงที่พวกเขาเล่นจะเป็นประมาณไหน

img_2249

เราไปถึงช่วงที่วงขึ้นแสดงพอดี แม้จะเป็นชื่อที่ไม่คุ้นแต่ก็มีคนมายืนออกันหน้าเวทีเป็นจำนวนมาก แสดงว่าคงเป็นวงที่มีฐานแฟนอยู่ที่นี่ประมาณนึง เราลองฟังเพลงแรกที่ชื่อ Tokyo ก็รู้สึกว่าเพลงเขามีความ The Temper Trap, White Lies แบบที่จัดจ้าน เปรี้ยวกว่า คือเป็นอัลเทอร์เนทิฟที่ใส่อิเล็กทรอนิกบีทหน่วงหนัก แล้วเพอร์ฟอร์แมนซ์สนุกมาก คนดูเองก็ดูชอบใจสุด เอาทุกเพลง นี่ขนาดเล่นเป็นวงแรกของวัน แฟนเพลงน่ารักอย่างนี้วงคงดีใจ ต่อด้วย Lust and Lies, Skies Turn Gold, If You Remember, Run Like Lola และอีกหลายเพลงที่เราไม่รู้ชื่อ พวกเขาบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเล่นที่ญี่ปุ่น แต่เดี๋ยวจะมาอีกทีช่วงธันวาให้ติดตามตารางจากเว็บของเขาอีกที

img_2250

ต่อกันเลยที่ The fin. ในเวทีเดียวกัน ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งที่สองที่เราได้ดูพวกเขาหลังจากเคยมาเล่นที่ไทยถึงสองครั้ง (เราไปดูแค่รอบแรก) แล้วรอบนี้นักร้องนำก็เปลี่ยนทรงผมเป็นหนุ่มหัวฟูแล้วด้วย โชว์นี้ไฟเวทีก็สวยมาก มีสีฟ้า เขียวฉาบลงทั้งเวที ต่างจากโชว์ที่แล้วที่เป็นไฟนีออนที่เขียนเป็นชื่อวง เหมือนว่ารอบนี้พวกเขาเล่นเพลงใหม่ที่มีความร็อกและดิบกว่าเพลงดัง ที่เราคุ้นหูกันซึ่งออกซินธ์เป็นส่วนใหญ่ แต่ Illumination, Glowing Red On The Shore, Night Time ก็ยังได้ฟังนะ ส่วนเพลงใหม่ล่าสุดที่ปล่อยออกมาอย่าง Pale Blue ก็ถูกนำมาเล่น เป็นเพลงที่ยังพอมีกลิ่นอันคุ้นเคยของวงแบบที่ไม่ฉีกออกไปมากนัก

img_2253

เราแวบไปหาอะไรกินสำหรับมื้อกลางวัน ก็ได้โดนเครปเย็นใส่ไอติม กล้วย และครีมที่อร่อยสุด ๆ เสียดายว่ากินไม่หมดเพราะอิ่มมากเลยตัดใจทิ้งแล้ววิ่งไปดูวงต่อไปที่ยังอยู่ Red Marquee เหมือนเดิม คราวนี้เราได้ฟังวงตระกูล Beach Fossils, Wild Nothing ที่มีความเดือดและกระชับกว่า นั่นคือ Day Wave จากแคลิฟอร์เนีย ซึ่งพวกเขาเล่นดีมาก สนุกมาก เป็นเพลงจังหวะเร้าที่คนดูเอาหมดทุกเพลง ตอนนั้นเหมือนจะเล่น Come Home Now ต่อด้วยเพลงที่ช้าลงมาหน่อยอย่าง Bring You Down จากนั้นก็เซอร์ไพรส์มาก ที่คัฟเวอร์ New Order เพลง Ceremony คนดูเฮกันใหญ่ ต่อด้วย Wasting Time, Total Zombie, We Try But We Don’t Fit In และ Drag เป็นอีกโชว์ที่สร้างความสนุกได้แบบ non stop จริง

img_2261

ระหว่างที่เป็นช่วงพักตอนนั้นเราก็แวบไปชาร์จแบต คืองานนี้เขามีบูธให้เรายืมพาวเวอร์แบงค์มาชาร์จมือถือได้ครั้งละ 2 ชั่วโมงแล้วเราต้องเอากลับไปคืน นอกจากนี้ก็มีซุ้มให้เช่ารองเท้าปีนเขาของ Keen ด้วย ชอบบริการที่มีในงานทุกอย่างตั้งแต่ที่ Zojirushi แจกชาฟรีแล้ว เพราะเขาให้ฟรีแบบฟรีจริง ไม่ต้องลงทะเบียนหรือมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรเลย รัก

ตอนนั้นก็ได้ยินเพลง world music ดังมาจากที่ไกล คิดว่าคือเวลา Gypsy Avalon ที่มีวงอย่าง SUGEE feat. Sachiho Kojima ซึ่งเขาเล่นเครื่องดนตรีอย่าง djembe ผสมกับบีทฮิปฮอปและเร็กเก้ดั๊บ เท่มาก ก่อนที่เราจะกลับมาที่เวทีเดิมที่วง The Amazons เล่นใกล้จะจบแล้ว เป็นวงร็อกบอย แล้วเล่นได้มันมาก เสียดายรู้ช้า มาไม่ทัน เลยได้ดู never young beach ซึ่งเป็นวงจากญี่ปุ่นอินดี้ป๊อปใสน่ารัก มีแฟนเพลงหนาตาพอสมควร เราเลยขอสละพื้นที่หนีไปดูวงจากจาไมก้าอย่าง Chronixx ที่ White Stage แทน

img_2269

ต่อไปนี้เรียกว่าเป็นบีทนรกมาก เราเดินข้ามจากเวทีแดง ผ่านเวทีเขียวที่มีคนแน่นเพราะมาจับจองที่เพื่อรอดู The Avalances ที่กำลังจะเล่นเป็นวงต่อไป (เดี๋ยวเราจะกลับมาดูเหมือนกัน) ระหว่างทางที่จะไปเวทีขาวเราจะได้เดินผ่านโซนเด็กที่น่ารักมาก มีอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องเล่นสำหรับพ่อแม่ที่พาลูกเด็กเล็กแดงมาอยู่ที่นี่ สร้างความสดใสให้กับเทศกาลได้ไม่น้อยเลย และในที่สุดเราก็มาถึงที่หมาย Chronixx กำลังแสดงอยู่พอดี เป็นวงเร็กเก้ ที่ผสมเอาแดนซ์ฮอล อะไรต่าง มาให้ชาวเราได้เยื้องย่างย่องย้วยกันกลางสายฝน คนดูดูสนุกกันมากอะเวทีนี้ แล้วเราก็รีบวิ่งกลับไป The Avalances ซึ่งไปทันเขาเล่นเพลง Because I’m Me พอดี นักร้องนำผู้หญิงน่ารักเซ็กซี่มาก แต่ถึงตอนนี้เรายืนดูไม่ไหวแล้ว ต้องกางเก้าอี้สนามดูแล้วล่ะฮะ ฮือ จากนั้นก็ดูเขาเล่นเพลง Frankie Calypso อีกแปปนึง ก่อนจะวิ่งกลับไปที่ Red Marquee อีกครั้งเพื่อดูวงที่ตั้งใจจะมาดูจริง อย่าง The Lemon Twigs

img_2272

ในที่สุดเราก็กลับมาถึงวงที่รอคอยเพราะติดตามผลงานของพวกเขามาในระยะนึง ติดใจในความแรด และความแต่งตัวจัดของพี่น้องคู่นี้ ให้ความรู้สึกแบบกำลังฟังพวกเพลง musical วง glam rock หรือวงคลาสสิกร็อกต่าง ที่กลับชาติมาเกิดในยุคพวกเรา บรรยากาศที่เวทีตอนนี้เรียกว่าพีคตั้งแต่เพลงแรกเพราะเล่นเพลงดังอย่าง I Wanna Prove to You เพลงที่ได้แรงบันดาลใจมาจากจังหวะ doo-wop ของยุค 50s ที่มีความโพรเกรสสิฟของโครงเพลงและความร่วมสมัยในซาวด์ ต่อด้วย Haroomata ที่ทำให้เรานึกถึงงานคลาสสิกอย่าง Bohemian Rhapsody ของ Queen จากเสียงร้องของพวกเขาและตัวเพลงที่บิดมาจากร็อก 60s แล้วยังเล่น Frank กับบรรยากาศเพลงแบบ The Beatles แล้วพวกเขาก็เล่นคัฟเวอร์งานปี 1992 ของ Jonathan Richman ชื่อ You Can’t Talk to the Dude แล้วก็เป็นอีกเพลงดังสุดเท่อย่าง These Words ที่คนดูร้องตามกันลั่น จากนั้นก็เป็นเพลง How Lucky Am I? ที่หนุ่ม Brian มาโซโล่คีย์บอร์ดในช่วงแรกของเพลง โดยมี Michael กับ Danny มือคีย์บอร์ดไปร้องประสานเสียงแทน ต่อด้วยเพลง Night Song, Queen of My School, Baby, Baby แล้วมีเพลงนึงที่พวกเขาสลับตำแหน่งกันเล่นหมดเลย ยกเว้น Megan ที่ยังเล่นเบสประจำที่ตัวเอง พอถึงคิวอีกเพลงดังอย่าง As Long As Were Together คนดูก็โยกกันเพลิน จนปิดท้ายด้วยเพลงใหม่ล่าสุดที่พวกเขาบอกว่าจะกลับไปอัด เป็นเพลงร็อกแอนด์โรลสุดมัน ตลอดทั้งโชว์นี้บอกเลยว่าฟินมาก เหมือนได้ปลดปล่อยตัวเองไปพร้อม กับเด็กพวกนี้

img_2273

จากนั้นเราก็เดินแวบไปดู Cornelius ที่ Green Stage แปปนึง ตอนนั้นพวกเขากำลังเล่นอยู่พอดี คนดูเรียกว่าล้นหลามมาก เขาคนนี้ถือว่าเป็นโปรดิวเซอร์มือดีที่อยู่ค้างฟ้าและสร้างผลงานออกมาตลอด ล่าสุดคือมีอัลบั้มชุดใหม่ออกมาให้เหล่าสาวกได้เชยชม และเพลงที่เรากำลังได้ฟังอยู่ตอนที่เดินผ่านนี้ไม่รู้คือเพลงอะไร แต่เป็นบัลลาดป๊อปที่เพราะมาก ก่อนจะเปลี่ยนโหมดเป็นฟังก์ กลิตช์ มินิมัล แล้วอยู่ดี อีกเพลงนึงก็กลายเป็นเมทัล ฮาร์ดคอร์ แบบ เหวอเลย คอร์นีเลียสมีอะไรแบบนี้ด้วยหรอ โยกกันหัวแทบหลุด ก่อนจะกลับไปเป็นเพลงแมธร็อก เพิ่งสังเกตว่ามือกลองเป็นผู้หญิงที่หวดจังหวะแมธได้แม่นและโหดมาก

img_2279

แล้วเราก็เดินกลับมาที่เวทีเล็กอีกครั้งเพื่อดู Temples หลังจากที่เคยดูพวกเขาตอน Hostess Club เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว หนนี้พวกเขากลับมาพร้อมกับงานจากอัลบั้มใหม่ แต่เราเนี่ยไม่สามารถเข้าไปเบียดกับผู้ชมในเวทีนั้นได้อีกแล้วเลยต้องกางเก้าอี้นั่งตากฝนดูข้างนอกแทน แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะต้องวิ่งกลับไปเวทีเขียวเพื่อ Aphex Twins ซึ่งตอนนั้นพวกเขาก็กำลังเล่นอยู่พอดี เราไม่รู้ว่าเพลงดังของเขามีเพลงอะไรบ้าง แต่เท่าที่ฟังคือเป็นอิเล็กทรอนิกที่โหดเอาเรื่อง ทั้งไฟและวิชวลก็ทำเอาปั่นสติหลุดมาก คนดูก็เต้นกันยับเลย

img_2305

ตอนนั้นเองเราก็ต้องรีบย้ายตัวเองไปยังเวทีขาว ที่ LCD Soundsystem กำลังจะเล่น เราใช้เวลาล่วงหน้า 40 นาทีในการเดินไปให้ถึงตรงนั้น แต่ความโชคร้ายคือตอนที่กำลังจะถึงสะพานที่ข้ามไปยังเวทีเนี่ย เกิดการจราจรติดขัดขั้นรุนแรง แถวหยุดนิ่งนานกว่า 15 นาที ทีแรกก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วสันนิษฐานว่าคนดูจากเวทีนั้นพยายามจะเดินออกมา ส่วนคนดูฝั่งเราก็พยายามจะไปอยู่ตรงนั้น สะพานเลยแคบเกินกว่าทุกคนจะเดินผ่านได้ อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย จนบางคนถึงกับควันออกปาก (เราก็เช่นกัน) อย่างที่บอกว่าเทศกาลนี้ไม่ถึกจริงมาไม่ได้ มีทั้งร้อนจัด ฝนตกหนัก แล้วตอนนี้ฝนที่ตกปรอย เนี่ยเป็นตัวการเลยที่ทำให้อากาศเย็นเยือกขึ้นมา ยิ่งการยืนบนสะพานที่เป็นทางน้ำหลากยิ่งหนาวเกินบรรยาย จากสภาพการณ์นี้ทำให้หลายคนทนไม่ไหวเลือกจะปีนลงจากสะพานแล้วเดินข้ามแม่น้ำไปขึ้นอีกฝั่งอย่างทุลักทุเล ยอมใจพวกนายจริง แล้วตอนนั้นพวกเขาก็ได้เล่นเพลง Us v Them กันอยู่ เรานี่กระสับกระส่ายมาก แต่ตอนที่จะเปลี่ยนใจลงน้ำแบบคนอื่น แถวก็ขยับพอดี

img_2307

การเดินข้ามสะพานมานี่เรียกว่าเบียดมาก เพราะคนที่อยู่ข้างหลังก็พากันดัน มา ถ้าหยุดยืนนี่มีล้มแน่นอน จนในที่สุดเราก็มาอยู่ท่ามกลางฝูงชน และได้ฟัง LCD Soundsystem ในที่สุด นี่ก็เป็นอีกวงที่ทำให้เราอยากมา Fuji Rock มาก เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาประกาศแยกวงกันไปช่วงที่มีสารคดีของวงเรื่อง Shut Up and Play the Hits นั่นแหละ จนกลับมาอีกครั้งเมื่อปีที่แล้วและเริ่มออกทัวร์ (แถมแคนเซิลไปหลายงานแบบดื้อ ) จนตอนนี้ก็มีงานใหม่ออกมาให้เราได้ฟังกันแล้ว ที่แห่งนี้

img_2308

เพลงที่สองที่พวกเขาเล่นก็จัดเพลงโปรดเรามาเลย นั่นคือ Daft Punk Is Playing at My House แม้ลีลาความเปรี้ยวซ่าไม่ได้รุนแรงเท่าสตูดิโอเวอร์ชัน แต่ก็ยังมันอยู่ดี ตามมาด้วยอีกเพลงที่เราชอบอย่าง I Can Change ก่อนที่จะเล่น Yr City’s a Sucker และ You Wanted a Hit ที่ทุกคนร้องตามกันในท่อน ‘We won’t be your babies anymore’ กันได้อย่างพร้อมเพรียง แล้วจึงเป็นเพลง Tribulations ซึ่งหลังจากเพลง Movement ที่กำลังเล่นกันอย่างเมามันมาก คนดูไฟติดดิ้นกันพล่าน เราก็ตัดสินใจรีบเดินกลับมาที่เวที Red Marquee เพราะอยากดู Mondo Grosso ศิลปินญี่ปุ่นที่มีเพลงที่เราชอบมาก หนึ่งเพลงและอยากดูเพลงนั้นเพลงเดียว ก็เลยต้องออกมาตอน LCD เล่นไปได้ครึ่งโชว์ บอกเลยว่าเสียดายมาก

img_2313

จนการมาถึงที่เวทีแดงทำให้เรารู้ว่าคิดผิดมากที่สุดในชีวิต เพราะยังไม่ทันได้ฟังเพลง American Dream หรือเพลงชาติอย่าง All My Friends ด้วยซ้ำ แถมต้องมาตบตีแย่งชิงพื้นที่ในฮอลเวทีสุดแคบตอนเพลง Labyrinth ขึ้นมา เราไม่แน่ใจว่าเพลงนี้ใครเป็นคนมา featuring แต่คาดว่าเป็นนักร้องไอดอลชื่อดังของญี่ปุ่นจึงส่งผลให้คนแห่กันเบียดและผลักเข้ามาบริเวณเวทีโดยไม่สนว่าคนจะยืนกันแน่นแค่ไหน กลายเป็นว่าการที่เราได้ฟังเพลงโปรดต้องแลกมาด้วยความรู้สึกแย่ ของแฟนเพลงสุดคลั่ง จนเพลงจบเราก็รีบชิ่งออกมา เพราะเพลงอื่น ก็ไม่ใช่จริตเราแม้แต่น้อย ตอนนั้นก็นั่งนอยโมโหตัวเองสุด เพราะถ้าเดินกลับไป White Stage LCD Soundsystem ก็คงเล่นจบพอดี เลยเปลี่ยนใจไปหาอะไรกิน ซึ่งก็ได้ปลาเสียบไม้ย่างสุดอร่อยแกล้มแซงเกรียช่วยให้กินอิ่มหลับสบาย พร้อมลุยในวันถัดไป

img_2284

จบวันไปแบบเฟลนิดหน่อย แต่ถ้านับตั้งแต่หัววันก็ไม่ได้ถึงกับเฟลมากนักเพราะได้ดูวงที่ชอบหลาย วง แถมทุกวงเล่นกันแบบใส่เต็ม ไม่มีวงไหนเล่นไม่ดีเลย อันที่จริงแล้วงานวันที่สองไม่ได้จบอยู่แค่นี้ ที่งานยังมีโซนดีเจและปาร์ตี้อีกหลายโซนกระจายตัวอยู่รอบ งานให้ไปแดนซ์กันต่อได้ แต่เราสำเหนียกร่างตัวเองและคิดว่าควรพักเอาแรงเพื่อไปลุยต่อในวันรุ่งขึ้นกับวงในดวงใจอย่าง Slowdive, Björk และ Bonobo อีกอย่างคือเราเองก็อยากให้ขาหายระบมสักที แต่วันนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว ขอขอบคุณเก้าอี้สนามราคา 990 เยนจากใจ ถ้าไม่ได้นายขาเราคงเดี้ยงจริง

ติดตามรออ่านเรื่องราวของ Fuji Rock Festival ’17 ในตอนสุดท้ายได้ เร็ว นี้

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้