Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

ปิดท้ายค่ำคืนสุดประทับใจกับศิลปินวงโปรดใน Fuji Rock Festival 17 ตอนที่ 3

  • Story: Montipa Virojpan
  • Photographers: Montipa Virojpan and Santiago Felipe for Björk photos

อ่านตอนก่อนหน้าได้ที่ลิงก์นี้ DAY 1 /DAY 2

30 กรกฎาคม 2560

เนื่องจากคืนก่อนเราเข้านอนอย่างรวดเร็วเลยส่งผลให้วันนี้ตื่นตั้งแต่หกโมงครึ่ง เอาจริงว่าฤดูร้อนที่ญี่ปุ่นเนี่ยฟ้าสว่างทั้งแต่ตีห้า ก็เป็นธรรมดาที่แดดอ่อน จะแยงตาบังคับให้ตื่นไว หรือถ้าไม่ยอมตื่นตอนนี้ ประมาณแปดโมงนี่เตรียมสุกคาเต๊นท์ได้เลยเพราะแดดจะร้อนมาก และในโอกาสที่ตื่นเช้า ฝนหยุดตก บวกกับขาที่เจ็บค่อยยังชั่วแล้ว ก็ขอไปอาบน้ำหน่อยแล้วกัน จะให้เน่าต่ออีกวันคงไม่ไหว

img_2319

DAY 3

ขณะที่เดินออกมาจากเต๊นท์ก็เห็นว่ายังมีคนอื่น อยู่ข้างนอกเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นพวกตื่นเช้าหรือยังไม่ได้นอนกันแน่ พอลงเขาไปจนถึงหน้าห้องอาบน้ำก็ต้องช็อกเมื่อเห็นว่ามีคนมาต่อแถวกันแล้ว ยิ่งแถวที่เป็นออนเซ็นยิ่งยาวเหยียดกว่าห้องอาบน้ำธรรมดาอีก ได้ยินว่าเขาปล่อยให้เข้าคิวละ 15 คน คนละ 15 นาที เราเลยยอมแพ้อาบแบบธรรมดาก็ได้แม้จะอยากแช่น้ำร้อนให้สบายตัวมากขนาดไหน

ทางด้านห้องอาบธรรมดาเองก็ต้องยืนรอพักนึงเลยทีเดียว บางคนที่อยู่ในแถวเลยรอไปด้วยแปรงฟันไปด้วยเพื่อความประหยัดเวลา แล้วพอประมาณเจ็ดโมง พวกสต๊าฟที่เฝ้าแคมป์ไซต์ก็พากันออกมานำเต้นกายบริหารยามเช้า ปกติบ้านเราจะเป็นกิจกรรมที่ทำกันแค่ตอนอยู่โรงเรียนใช่ไหมล่ะ แต่คนที่โต กันแล้วที่นี่เขาพร้อมใจกันยืดเส้นยืดสายในแถวแบบไม่เขินอายใด เป็นภาพที่น่ารักและแปลกตาในขณะเดียวกัน

เมื่อถึงคิวอาบน้ำของเราแล้วก็ต้องเข้าไปพบกับเรื่องช็อกอีกระลอก คือนางไม่มีม่านกันโป๊ใด มีแค่ที่กั้นไว้แบ่งห้องเป็นสัดส่วนทั้งหมด 5 ห้อง งานนี้ก็ต้องรีบเปลือยรีบอาบกันแล้วล่ะฮะ แต่ปรากฎว่าคนที่นี่ไม่มีใครรีบเลย บรรจงขัดสีฉวีวรรณกันทีละขั้นตอน ล้างหน้าต้องนวดให้ได้สามสิบที ใช้ครีมอาบอันนี้แล้วต้องใช้ครีมบำรุงอีกอัน อะ สระผม อะ ใส่ครีมนวด ไหน ๆ ก็ใช้สครับขัดผิวด้วยละกัน… โว้ยยยยย ต่อนยอนกันอยู่นั่น ไม่สนใจสักนิดว่าแถวข้างนอกจะยืนรอกันนานขนาดไหน

img_2320

พอหลุดจากห้องอาบน้ำมาได้เราก็เดินกลับขึ้นไปที่เต๊นท์เพื่อเก็บของบางส่วนเตรียมเดินทางกลับหลังโชว์สุดท้ายที่ตั้งใจจะดูในค่ำคืนนี้จบลง และโชว์แรกที่เราได้ดูในวันนี้อยู่ที่เวที White Stage กับวงญี่ปุ่นวงโปรดอีกวงนาม The Novembers ที่จะขึ้นเล่นตอน 11.00 ระหว่างทางเลยแวะซื้อแกงกะหรี่จากร้านเหลือง ที่เดินผ่านกี่ทีก็จะเห็นว่ามีคนต่อคิวยาวตลอด พอลองกินเลยเข้าใจว่าทำไม อร่อยมาก ยิ่งผักดองที่ไม่ใช่แค่ไชเท้า แต่มีทั้งฟังทองและสายบัวในนั้น เป็นอะไรที่เด็ดมาก

img_2321

เมื่อเข็มสั้นนาฬิกามาบรรจบเลขสิบเอ็ดเป๊ะ The Novembers ก็ก้าวขึ้นมาบนเวทีพร้อมเสียงต้องรับจากคนดู เรารู้จักกับพวกเขาจากเพลง Kyou Mo Ikitane กับ Romancé ก็เลยคิดว่าจะทำแต่เพลงบัลลาด หรือเพลงกรูฟเท่ สายโพสต์พังก์เท่านั้น แต่สองเพลงแรกที่เล่นก็เป็นเพลงป๊อปร็อกอัพบีทพอโยกได้ ทั้ง Beautiful Fire และ Wind แล้วอยู่ดี วงก็ปรับโหมดกลายเป็นเพลงเดือดที่ร็อกแบบมาก มาก มาก ในเพลง 1000 Years แล้วยังเล่นดีมาก ด้วย นอกจากจะทำให้คนดูตื่นแล้ว ฝนก็เริ่มตกลงมาปรอย (โถ่) และเริ่มเม็ดหนาขึ้นราวกับพวกนี้เล่นเพลงเรียกฝนยังไงยังงั้น พอโยกหัวหลุดกันไปแล้ววงก็เปลี่ยนมาเล่นเพลงจังหวะช้า ตอบโจทย์สายหูพร่า shoegaze ที่ฟังแล้วขนลุกน้ำตาซึมในเพลง I Want to Love You ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นเพลงโปรดของเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะกลับมาที่เพลงเดือด อีกครั้งใน Tetsu No Yume, Blood Music. 1985, Xeno, Kowareru ที่วงเองนอกจากจะเล่นเพลงมันไม่แคร์ฝนแล้ว ยังมีการกล่าวทักทายและขอบคุณแฟน เป็นระยะ ก่อนส่งเพลง Hallelujah จากอัลบั้มล่าสุดชื่อเดียวกันของพวกเขามาให้คนดูได้โยกกันเป็นเพลงสุดท้าย ถือว่าเปิดวันได้เต็มอิ่มสดใสแข็งแรงตั้งแต่วงแรกเลย

img_2343

จากนั้นในเวทีเดียวกันก็จะมี Real Estate (ที่เราได้ดูเมื่อตอน Hostess Club อีกเหมือนกัน) มาเล่นต่อ โดยพวกเขาก็หยิบเพลงอย่าง Stained Glass และ Younger Than Yesterday มาเล่น พอฟังไปแค่สองเพลงเราก็เดินฝ่าฝูงชนที่แน่นหนาออกมาด้วยความที่รู้สึกไม่ค่อยอินกับเพลงแนวนี้เท่าไหร่แล้ว เพื่อจะไปยังเวที Red Marquee ที่มี DYGL วงญี่ปุ่นหน้าใสสไตล์บริตป็อปยุค 2000s รออยู่ ซึ่งเราก็ได้ดูวงนี้ที่ Play Yard เมื่อหลายเดือนก่อน แต่ก็ยังอยากดูอีกเพราะเล่นสดสนุกเหลือเกิน โดยระหว่างนั้นก็ได้เดินผ่าน Green Stage ที่มี Lukas Graham กับเพลงป๊อป โซล ฟังก์ ที่เอนเตอร์เทนคนดูได้ดี แต่เราคงไม่หยุดตรงนี้เพราะ DYGL น่าจะกำลังเล่นไปหลายเพลงแล้ว เพราะระหว่างที่เราเดินกลับไปอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงเพลง Let It Sway มาจากที่ไกล

img_2344

เมื่อเรามาถึงเวทีก็พบว่ามีคนดูยืนอยู่แน่นด้านใน เราเลยต้องยืนดูจากข้างนอกแทน แต่ฝนหยุดตกแล้วเลยไม่อะไรมาก ซึ่งเพลงที่เล่นอยู่ตอนนี้ก็เป็นเพลง Let It Out ที่คนร้องตามกันเสียงดัง แล้วจึงเป็นเพลงน่ารัก อย่าง I’ve Got to Say It’s True และเพลงที่ชวนให้นึกถึง The Libertines อย่าง Waste of Time ก่อนจะปิดท้ายด้วยเพลงบอย โยน อย่าง Don’t Know Where It Is ที่ทำให้รู้ว่าวงนี้เขาก็มีแม่ยกในบ้านตัวเองเยอะไม่แพ้ที่บ้านเราเลย แต่โชว์ที่ Fuji Rock ของพวกเขามีความสุดและบ้าคลั่งกว่าตอนเล่นที่กรุงเทพ หลายเบอร์เหมือนกัน

img_2352

แล้วเราก็ได้เวลาวิ่งกลับไปที่ White Stage อีกครั้งเพื่อจะดู Shugo Tokumaru เพราะติดใจโชว์ของเขามาก จากที่ Neon Lights เมื่อปีที่แล้ว (แอบสังเกตว่าวันแรกเรามักจะได้ดูวงที่เล่นเวที Field of Heaven วันที่สองจะไปกระจุกอยู่ที่ Red Marquee ส่วนวันนี้ก็จะเป็น Red Marquee กับ White Stage เสียเป็นส่วนใหญ่ และมักจะเป็นวงที่เคยดูมาก่อน) หลังจากที่เจ้าตัวได้ไปอยู่ในสังกัด Polyvinyl Records ก็โกยแฟนคลับต่างชาติได้เป็นกระบุง เพราะอย่างตอนนี้เรามาถึงเวทีขาวแล้ว คนก็มารอดูชูโกะกันเยอะพอ กับตอนที่ LCD Sounsystem เล่น อาจจะน้อยกว่านิดนึง (แค่ไม่ได้มีคนเดินสวนออกมาจนทำให้เดินไม่ได้แบบรอบนู้น) แต่ต้องสารภาพว่าเราจำชื่อเพลงของเขาไม่ได้สักเพลง เอาเป็นว่าขอบรรยายสิ่งที่เห็นและรู้สึกได้จากโชว์นี้แทน รอบนี้ชูโกะไม่ได้มาเป็นแบนด์ไซส์ย่อมแบบโชว์ที่สิงคโปร์ แต่มีเพื่อนนักดนตรีหลายชีวิตมาร่วมแสดง รวมถึงแขกรับเชิญอย่างมือเพอร์คัสชันที่เป็นตุ๊กตาเคาะกระพรวน หรือหนุ่มสติเฟื่อนที่มีปีกแบบยืดออกได้เมื่อต้องการจะใช้ ซึ่งพอกางออกมาจะเห็นเป็นกระพรวนให้เขย่าเล่นได้ และเมื่อไม่ใช้แล้วปีกนั้นก็จะหุบกลับเข้าไป เป็นอะไรที่เพี้ยนแต่น่ารักมาก เพลงของเขาก็เป็นป๊อปสดใสเนี่ย แหละ แต่ที่เด็ดก็คือลูกเล่นอย่างที่บอกไป กับโครงสร้างเพลงโปรเกรสซิฟสุดสร้างสรรค์ที่มีการอิมโพรไวส์อยู่บ่อยครั้งจนเราจับทางโชว์ของเขาไม่เคยถูกเลย ถ้าให้อธิบายสไตล์เพลงชัดกว่านี้ก็คงเป็นประมาณ The Whitest Boys Alive เวอร์ชันญี่ปุ่นกุ๊งกิ๊งล่ะมั้ง

img_2348

เราอยู่ดูชูโกะได้ไม่กี่เพลงก็คิดว่าสมควรแก่เวลาที่ต้องไปเตรียมตัวแย่งชิงพื้นที่อันเลอค่าสำหรับ Slowdive ที่ Red Marquee กันแล้ว โดยเราเลือกที่จะไปก่อนโชว์ถึง 50 นาที เอาจริงว่าตอนแรกช็อกมากที่เห็นชื่อ Slowdive มาหล่นที่เวทีนี้ วงอยู่มาเกิน 20 ปีไม่น่าจะได้มาเล่นเวทีเล็กอะ ติ่งไม่ยอม (แต่ต้องเข้าใจว่า shoegaze มันเป็นดนตรีกระแสรองมาแต่ไหนแต่ไร ก็ได้แต่ยอมรับมันไป) ซึ่งระหว่างนั้นเราก็เดินผ่าน JET ที่เวทีเขียว ก็หยุดดูลุง แกแปปนึงเหมือนกัน คนดูล้นหลามแบบไม่ต้องสงสัย แถมยังเล่นมันมาก แน่นมาก เท่และเก๋าเกมสมชื่อ แม้จะแอบเสียดายนิด ที่ไม่ได้อยู่ฟังเขาเล่น Are You Gonna Be My Girl ก็เถอะ

img_2365

ในที่สุดก็มาถึงเจ้าเวทีแดง นี่ขนาดมาเร็วแล้วนะยังมีคนมาก่อนเราประมาณหกแถวได้ (กดปุ่มโกรธ) เราจึงอาศัยทักษะพิเศษส่วนตัวนั่นคือ ‘ความเตี้ย’ แทรกเข้าไปอย่างน่ารักน่าเอ็นดูจนจับจองพื้นที่ด้านหน้าได้สำเร็จ แล้วก็ยืนต่อแบบหงอย ไปอีกหลายนาทีด้วยความเมื่อย ผู้ชมค่อย ตบเท้ากันเข้ามาจนยืนกันแน่น Red Marquee และเมื่อแสงไฟสีน้ำเงินฉาบลงมาเบื้องหน้าของพวกเรา ตัวอักษร slowdive สีขาวก็ปรากฏอยู่บนจอ LCD เบื้องหลังของเวที แฟนเพลงเดนตายแถวหน้าส่งเสียงร้องเกรียวกราวต้อนรับศิลปินในดวงใจของพวกเขา เราหันไปมองรอบ ก็เห็นว่ามีคนหลากหลายช่วงอายุมารวมตัวกันที่นี่ เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่วงดนตรีวงนึงจะสามารถสร้างผลงานที่ timeless จนกินใจคนทุกวัยได้ขนาดนี้

img_2373

สำหรับคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับ Slowdive พวกเขาคือวง shoegazer วงแรก ที่คนจะนึกถึงหากพูดถึงดนตรีที่ส่งเสียง lo-fi, noise แนวนี้ ก่อนหน้าพวกเขาได้พักการร่วมงานกันเป็นระยะเวลายี่สิบปี (แต่ได้ไปทำ side project ในชื่อ Mojave 3 เป็นเพลงโฟล์กที่ทำกับอีกสองสมาชิก Slowdive คือ Neil Halstead และ Ian McCutcheon ) จนได้กลับมารวมตัวกันเมื่อปี 2015 โดยยังคงสมาชิกชุดเดิม และออกทัวร์ไปทั่วโลก ซึ่งเราเองก็มีโอกาสได้ไปดูโชว์ที่สิงคโปร์ เป็นคอนเสิร์ตแรก เลยมั้งที่ตั้งใจบินไปต่างประเทศเพื่อดูโดยเฉพาะ และครั้งนั้นก็ยังเป็นโชว์ที่ประทับใจที่สุดเสมอมาเพราะขนเพลงฮิตในอดีตมาเล่นจนแฟน ต่างอิ่มหนำ ส่วนครั้งนี้เราก็จะได้ฟังเพลงจากอัลบั้มใหม่ของพวกเขาที่เพิ่งปล่อยมาเมื่อต้นปีกันด้วย

img_2427

สมาชิกวงปรากฏตัวพร้อมกับเพลง Slomo ซึ่งเป็นเพลงโปรดของเรา จากอัลบั้ม self-titled ชุดล่าสุด สายตาของเราจับจองไปยัง Rachel Goswell นักร้องนำด้วยความรู้สึกที่เธอเป็นแรงบัลดาลใจในหลาย ด้านของเรา และความไม่น่าเชื่อก็ได้เกิดขึ้นเมื่อเราได้ประสานสายตากับเรเชลและเธอก็ยิ้มให้ วินาทีนั้นคือหน้าชาไปเลย ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยิ้มเจื่อน กลับไปทั้งที่ในใจนี่กรี๊ดดังมาก flashback วิดิโอเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนใน YouTube ตอนที่เธอในวัยสาวกำลังยิ้มหวานหวนกลับมาทันที ถึงตอนนี้วันเวลาจะทำร้ายเธอและผองเพื่อนไปมากโข แต่สายตาและรอยยิ้มนั้นยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

img_2445

จบจากเพลงนี้แล้วพวกเขาก็เล่นเพลง Catch the Breeze จากชุด Just for a Day ตอนนี้สติเราไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ยิ่งท่อนโซโล่ที่กีตาร์สามตัวสาดเอฟเฟกต์ใส่กันอย่างบ้าระห่ำทำเอาเราน้ำตาไหล สังเกตได้ว่าเขาเลือกจะสลับเล่นเพลงจากอัลบั้มใหม่และเก่าไปเรื่อย เพราะเพลงต่อไปคือ No Longer Making Time แล้วสลับกลับไป Avalyn 1 ก่อนจะต่อด้วย Star Roving แล้วต่อไปนี้ก็เป็นช่วงเอาใจแฟนเพลงรุ่นเก๋าแล้ว เพราะเพลงที่เล่นคือ Souvlaki Space Station งานดุเดือดพลังพุ่งพล่านทะลุขอบจักรวาล และในที่สุดวงก็เล่นอีกเพลงที่เรารอคอยอย่าง When The Sun Hits โอ้โห น้ำตามาอีกระลอก ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าแต่รู้สึกว่าระบบเสียงที่ญี่ปุ่นดีกว่าที่สิงคโปร์แม้จะเป็นที่กึ่ง outdoor ฟังเพลงไหนของ Slowdive ก็ emotional ไปหมด แล้วสำหรับเราเพลงนี้เป็นเพลงที่ hopeless แต่เพราะมาก น่าเสียดายว่าคนดูไม่ค่อยจะร้องตามกันเท่าไหร่

img_2437

ต่อกันเลยที่อีกเพลงฮิตอย่าง Crazy For You ที่ฉันก็แหกปากอยู่คนเดียวอีกเหมือนกัน (ไม่ใช่อะไร ไม่มีเพื่อนมาดูด้วย เขาตามมาทีหลังเลยไปอยู่ข้างหลังกันหมด) แล้วถึงได้กลับมาเล่นเพลงจากชุดใหม่ Sugar For the Pills และปิดท้ายด้วยงานคัฟเวอร์อันทรงพลังของ Syd Barrett แห่ง Pink Floyd อย่าง Golden Hair คือเพลงของ Slowdive อาจจะไม่ได้เศร้าดราม่าอะไรขนาดนั้น แต่มันมีบางอย่างที่ไปกระตุ้นความอ่อนไหวออกมาทุกครั้งที่ได้ฟัง เรายังจำความรู้สึกตอนฟังเพลงนี้สด ครั้งแรกเมื่อสองปีก่อนแล้วร้องไห้แบบหยุดไม่ได้ได้เป็นอย่างดี (มีคนดูบางคนร่วมร่ำไห้ไปพร้อม กันด้วย) และมันกำลังเกิดขึ้นกับเราอีกครั้งในตอนนี้

img_2418

ทันทีที่ออกมาจากเวทีแดง อาการน้ำตาไหลอย่างหนักหน่วงทำเอาเรานี่ปวดหัวเลย แต่ก็ต้องทนเดินต่อเพราะวงต่อไปที่จะเล่นคือ Bonobo โปรดิวเซอร์เพลงอิเล็กทรอนิกมากความสามารถ กำลังรอเราอยู่ที่เวทีขาว แต่กว่าจะเดินไปถึงตรงนั้นได้เราต้องฝ่าฝูงชนที่มารอดูนักร้องชื่อดังของญี่ปุ่นนาม YUKI ขอสันนิษฐานว่าเป็นโชว์ที่คนเยอะที่สุดในงานแล้วก็เป็นได้ เพราะนี่พยายามจะเดินข้ามไปในทางตรงยังต้องปีนเขาอ้อมขึ้นไปอีกฝั่งนึงเลย

img_2464

Bonobo ขึ้นเล่นตรงเวลา 17.40 ซึ่งตอนนั้นขาเจ้ากรรมของเราก็เล่นงานจากการยืนนาน มาจากเวทีแดง และขี้เกียจเบียดกับคนข้างหน้าเพราะคิดว่าต้องแน่นหนาแน่ เราเลยจำต้องกางเก้าอี้สนามนั่งกลางฝูงชนที่เต้นไปกับเพลงของ Bonobo อย่างสนุกสนาน และตอนนี้ฝนก็ตกลงมาอีกครั้ง เราเลยต้องใส่เสื้อกันฝนคลุมเก้าอี้ไปอีกที ใครมองเห็นคงเป็นภาพที่ตลกมากแน่ แต่เราโนแคร์โนสน ถึงอยากจะเต้นมากแค่ไหนก็ตามแต่ตูเมื่อยว้อย โดยวันนี้ Bonobo เขามาเป็น live set เล่นเครื่องดนตรีสด กันเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นกันเลย วิชวลอลังการมาก ซึ่งเพลงที่เราได้ฟังก็มีทั้ง We Could Forever, Break Apart ซึ่งเป็นเพลงที่ featuring กับ Rhye และ Rhye ก็มาเล่นในงานนี้ แต่ไม่ได้ขึ้นร้องด้วยกัน รวมถึงเพลงดัง No Reason ที่ทำกับ Nick Murphy หรือ Chet Faker ซึ่งเสียงของผู้หญิงที่มาร้องในเพลงนี้เพราะมากจนทำให้เราอยากลุกขึ้นยืนเพื่อไปดูหน้าเลย แล้วจบด้วย Ontario คือเป็นโชว์ที่เพลงดีมากกก เรียงลิสต์ดีมาก ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเจ๋งจริง นี่ก็แอบเสียดายที่ไม่ได้ลุกไปเต้นกับเขา ยิ่งตอนที่เพื่อนเดินกลับมาบอกว่าข้างหน้าที่มีที่ให้เต้นเยอะเลยยิ่งอยากจะหล่องหั้ย

img_2471

นี่คือชุดและอุปกรณ์ที่เตรียม (ค่อนข้าง) พร้อมสำหรับสภาพอากาศที่ต้องเจอในงาน จะร้อน หนาว โคลน ก็บ่หวั่นเด้อ

จบจากโบโนโบก็ได้เวลาเดินกลับไปที่ Green Stage กันแล้ว แต่ระหว่างทางด้วยความหิวเลยแวะซื้อไก่คาราเกะไม้เบิ้มกินก่อน แล้วถึงได้มุ่งตรงไปหาน้อง Lorde สาวน้อยเสียงดีสุดเพี้ยนของฉัน

img_2474

ซึ่งตอนที่ไปถึงเธอก็เล่นไปแล้วหลายเพลงเหมือนกัน (รวมถึง Tennis Court ได้ยินว่าเล่นไปแล้ว) ก็เลยได้ฟัง Liability เป็นเพลงแรก เอาจริงว่าก็ไม่ใช่แนวเพลงที่ชอบเท่าไหร่หรอก แต่ชอบอินเนอร์ของน้องมากเหลือเกิน ดู ไปก็คล้ายปาล์มมีบ้านเรา ไหนจะความร่าเริงบนเวที ช่างเอนเตอร์เทน แล้วยังถอดรองเท้าเล่นคอนเสิร์ตเหมือนกันอีกต่างหาก จากนั้นก็เป็นเพลงสนุก อย่าง Supercut เธอก็ได้พูดทักทายและขอบคุณแฟนเพลงชาวญี่ปุ่นที่เต้นเย้ว กันอยู่ แล้วเราถึงได้ฟังเพลงที่ชอบอย่าง Royals จากนั้นก็เป็นเพลงสุดติดหูจากอัลบั้มใหม่ที่ชื่อ Perfect Place และเพลงดัง Team ที่ตอนนี้น้องเริ่มวิ่งพล่านไปทั่วเวที รวมถึงลงมาแตะมือกับคนดู แล้วส่งท้ายโชว์กันด้วยเพลง Green Light

img_2478

นี่เป็นครั้งแรกที่เราอยู่เวทีเขียวต่อโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน แถมบุกเอาเก้าอี้สนามไปจองทำเลดีช่วงค่อนไปทางหน้า เวทีเพื่อรอดูสายฟรีครุ่นแม่อย่าง Björk คนที่เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้อยากมา Fuji Rock ปีนี้ให้ได้ ใครจะไปคิดว่าตะแม่จะมาเล่นให้ดูใกล้ขนาดนี้ (แม่เคยมาเล่น Fuji Rock แล้วหนนึงเมื่อปี 2003) เธอคือศิลปินที่สร้างผลงานมาตลอด จนตอนนี้อายุ 50 กว่าแล้วก็ยังมีเพลงใหม่มาให้ฟังเรื่อย (เมื่อวานนี้หลายสื่อก็ลงข่าวว่าแม่จะปล่อยอัลบั้มใหม่ออกมาเร็ว นี้ด้วย กราบ) แต่ปกติตอนฟังเพลงของแม่อยู่ที่บ้าน เราก็จะนึกสงสัยว่าหลาย เพลงนี่มันจะเต้นยังไงวะ นับจังหวะไม่ถูกเลย ก็เลยอยากมาลองพิสูจน์เอาในงานนี้แหละว่าจะเหวอแดกหรือฟินสุดติ่ง นี่ก็คาดหวังจะให้เป็นอย่างหลังล่ะนะ โดยระหว่างที่เรารอกันอยู่เพลงที่เปิดคั่นนี่สร้างความเซอร์ไพรส์มาก คือเขาเปิดสารพัด world music เท่าที่จะหาได้เพราะเพลงของปิยอร์กจะมีส่วนผสมของอิเล็กทรอนิก ออเคสตร้า งานทดลอง หรือดนตรีจากทั่วทุกมุมโลกผสมกันอยู่ราวกับเป็นงานศิลปะที่อาจจะไม่เข้าใจได้อย่างลึกซึ้งเสียทุกคน แต่ควรค่าแก่การลองสักครั้งในชีวิต เริ่มจากคลาสสิกร็อกอย่าง Led ZeppelinThe Rain Song แล้วลามมาที่เพลงงิ้ว ก่อนจะจบที่เพลงหมอลำรีมิกซ์โซลของไทย งงไปอีก แต่นี่ชอบมากนะ เกือบลุกขึ้นมาเซิ้งแล้ว

bjork_photocredit_santiago_felipe_09

จนเวลาสามทุ่มตรง วงออเคสตร้าและดีเจได้มายืนประจำที่พร้อมกับเริ่มบรรเลงดนตรีที่ให้ความรู้สึกขลัง ยิ่งใหญ่ทรงพลัง เป็นเวลานาทีกว่า ซึ่งนั่นคือ intro ของเพลง Stonemilker ที่เราน่าจะจำ mv ที่เธออยู่ในชุดเขียวสว่างยืนอยู่ริมชายหาดได้ แต่ในโชว์นี้ ปิยอร์กปรากฏตัวในชุดจัมเปอร์สีชมพูช็อกกิ้งพิงก์สดใส เมื่อเธอแผดเสียงร้องออกมาเท่านั้นล่ะ ราวกับว่าเราโดนสะกดให้ตกอยู่ในภวังค์ จากนั้นภาพร่องอกและบราที่เหมือนกำลังพูดคุยอยู่กับเราก็เผยขึ้นมาบนจอ ก็เดาได้ว่าเพลงต่อไปที่จะเล่นต้องเป็น Lionsong อย่างแน่นอน จากนั้นจึงเป็นเพลง Come to Me งานจากอัลบั้มชุดเก่าที่ถูกนำมาอาเรนจ์ใหม่จนกลายเป็นเพลงที่เน้นความเป็นออเคสตร้าให้เข้ากับเซ็ตลิสต์ของโชว์นี้ เล่นเอาซะเราเกือบลืมไปเลยว่าคืองานเท่ งานนั้นไปเลย จนเมื่อได้ยินเสียงเครื่องสายอันเป็นจุดเด่นของเพลงถึงได้รู้ว่าคือเพลงเดียวกัน แล้วต่อกันด้วยเพลง Jóga เพลงทริปฮอปเก๋ที่ mv เป็นทิวทัศนอันงดงามของประเทศไอซ์แลนด์ที่กำกับโดย Michel Gondry ผู้กำกับคู่บุญที่ได้ร่วมงานกับเธอบ่อย นั่นเอง

bjork_photocredit_santiago_felipe_10

ต่อไปก็เป็นเพลง Unravel เป็นเพลงที่ทำให้เศร้าและสิ้นหวังกับเสียงร้องที่บาดลึก รวมถึงสื่อความหมายอย่างในเพลงออกมาได้ราวกับรู้สึกแบบนั้นจริง ตามติดมาด้วยเพลง Mouth’s Cradle, You’ve Been Flirting Again, Isobel ตอนเล่นเพลงนี้อย่างหลอน ขนลุกรัว จากนั้นก็เป็น Bachelorette, 5 Years เพลงนี้เต้นมันมากกับบีทฮิปฮอปหนัก แค่ตอนแรกจะจับจังหวะเต้นตามยากนิดนึง เทคนิกในการเต้นไปกับเพลงปิยอร์กคืออย่ายึดจังหวะที่เราคุ้นเคยกัน ปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามความรู้สึกล้วน ได้เลย แล้วจะสนุกมาก แล้วจึงเป็น Wanderlust ที่จอก็ฉาย mv กึ่งแอนิเมชัน สต๊อปโมชัน ผจญภัยสุดเพี้ยนและน่ารักของเพลงนี้

bjork_photocredit_santiago_felipe_08

แล้วก็มาถึงช่วงอลังการตระการตา เพราะเพลงจากอัลบั้มใหม่พวกนี้มีไฟออกมา!!! ประเดิมกันด้วย Notget ซึ่งวิชวลบนจอตอนนี้ก็ฉาย mv เวอร์ชัน 3D แอนิเมชันสุดเท่ที่เราน่าจะได้ดูกันแล้ว ซึ่งก็มีไฟพวยพุ่งออกมาตามจังหวะเพลง ตื่นตาตื่นใจมากข่า ต่อกันที่ Mouth Mantra กับ mv หลอนจิตที่เป็นภาพด้านในปากเปียก ของปิยอร์ก (แต่จริง แล้วอันนั้นมันเป็นโมเดลที่หล่อขึ้นมาใหม่นะ ไม่ได้เอากล้องไปถ่ายในปากจริงแต่อย่างใด แค่ว่ามันโคตรเหมือน) จากนั้นก็เป็นเพลง Quicksand แล้วปิดโชว์ช่วงนี้ด้วย Mutual Core สองเพลงนี้ประกอบไปด้วยบีทหนักหน่วงที่ชวนเต้น เป็นมินิมอลอิเล็กทรอนิกที่ประกอบอยู่กับเสียงสวรรค์ของแม่ได้งดงามมาก และไฟบนเวทีก็ค่อย ดับลง

bjork_photocredit_santiago_felipe_14

ช่วงนี้เราสังเกตว่า รอบ ตัวมีที่ยืนเหลือเยอะมาก ทั้งที่ปกติ Green Stage จะมีคนยืนแน่นตลอด ตอนนี้มีกระจุกตัวกันอยู่แค่โซนใกล้ เวทีเท่านั้น แถมมีคนเดินออกอยู่เรื่อย แล้วพอเป็นจังหวะที่ให้อังกอร์ ก็มีเสียงร้องดังมาจากแค่โซนคนเยอะนั่นแหละ เราก็ตะโกนไปเขินไป ไม่มีใครช่วยเลย ฮ่า แอบสงสารแม่เหมือนกันนะ แต่คิดว่าแม่ก็น่าจะชินแล้วกับการที่คนไม่เก็ตเพลงของแม่ แล้วถามว่าแม่แคร์ไหม ก็คิดว่าไม่เหมือนกัน เราถึงได้ฟังเพลงเฮี้ยน ล้ำ มาจนถึงทุกวันนี้ยังไงล่ะ จนเมื่อปิยอร์กกลับขึ้นมาปรากฏตัวบนเวทีอีกครั้ง หนนี้เธอแนะนำตัวดีเจและบรรดานักดนตรีของเธอ พร้อมกับกล่าวขอบคุณสั้น ว่า อาริคาโทววว ชอบสำเนียงการกระดกลิ้นตัว R ของปิยอร์กมาก เป็นซิกเนเจอร์เลยก็ว่าได้ แล้วเธอก็ไปยืนใกล้ กับดีเจอ พร้อมเริ่มการแสดงในช่วงท้ายนี้ด้วยเพลง History of Touches เพลงนี้เป็นเพลงที่เพราะมากสำหรับเรา แล้วปิยอร์กเองก็มีการโยกตัวไปพร้อม กับดีเจตามจังหวะเพลง ลองจินตนาการแม่อยู่ในชุดนั้นแล้วเต้นไปด้วยสิ น่ารักมาก และปิดท้ายกันด้วยเพลงดัง Hyperballad ที่เอา mv มาเปิดอีกเช่นเคยแต่ไม่มีพาร์ตที่ได้เห็นหน้าแม่ เป็นแค่ตัว 8 bit อย่างเดียว หนนี้คนดูร้องเฮและร้องตามกันเสียงดังเลยล่ะ ขนลุกมาก ซึ่งเพลงนี้ดูจะเป็นเพลงที่เต้นง่ายที่สุดในเซ็ตที่เธอเตรียมมาแล้วกับบีทอิเล็กทรอนิกมัน แล้วตอนช่วงท้ายของเพลงก็ระเบิดภูเขาเผากระท่อมกันเลย คือมีทั้งไฟ ทั้งพลุใหญ่พวยพุ่งออกมาจากเวที พร้อมเสียงกรีดร้องอย่างยินดีของแฟนเพลงและการตบมืออย่างยาวนานให้กับโชว์ที่ดีที่สุดของเธอ

bjork_photocredit_santiago_felipe_13

เราขอเรียกงานของ Björk ว่าเป็นเพลงที่สร้างขึ้นเพื่อปลดแอกความรู้สึกอันอัดอั้นในใจหญิงสาว ไม่ว่าจะเป็นความสับสน โหยหา เจ็บปวด ก่นด่าความรักห่วย หรือตระหนักเข้าใจในสภาวะจิตใจของตัวเอง พอได้ฟังก็เหมือนได้ปลดปล่อยมันออกมาในท่วงท่าที่คาดเดาไม่ได้ดังเช่นทำนองอันลื่นไหลในเพลงของเธอ ตรงเรานี่มีเต้นย้วยกันอยู่สามคน รู้สึกสงบแต่ก็เหมือนได้กรีดร้องออกมายังไงบอกไม่ถูก spiritual ไม่ไหวแล้ว เรียกว่าเป็นโชว์ปิดเทศกาลที่จะตราตรึงใจเราไปอีกนาน หลังจากนี้ก็ต้องปีนเขากลับไปเก็บของและออกเดินทางเข้าเมืองเป็นอันเสร็จสิ้นการผจญภัยอันแสนยาวนานตลอด 4 คืน 3 วันนี้

bjork_photocredit_santiago_felipe_15

จบลงไปแล้วสำหรับเทศกาลดนตรีที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของญี่ปุ่นอย่าง Fuji Rock Festival ในปีนี้ สำหรับเราแล้วงานนี้เหมือนเป็นเฟสติวัลที่ชีวิตนึงควรได้ลองมา ถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อย จะลำบากลากเลือด แต่หากเตรียมตัวมาดี ก็จะอยู่ได้ไม่อยาก (นี่เป็น Fuji Rock ครั้งแรกของเรา ก็ถือว่าเตรียมตัวมาได้ไม่แย่เท่าไหร่ ตากฝนตากแดดลุยโคลนหลายวันแต่ยังไหวอยู่ ไม่เป็นหวัดด้วย เย่) เพราะบรรยากาศภายในงานมันดีมากจริง เราจะได้ชมดนตรีจากวงที่เรารักไปพร้อมกับการถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติอันงดงามและอากาศสดชื่นของหุบเขาทาเคโนโกะ แห่งเมืองยูซาว่า

img_2473

สำหรับคนที่กังวลเรื่องระบบเสียงและการจัดการโชว์ยิ่งไม่ต้องเครียดเลยเพราะระบบเสียงเขาดีมากจริง หลายวงที่คัดมาเล่นในงานก็คุณภาพทุกวง มารยาทของผู้ชมคอนเสิร์ต (ส่วนใหญ่) ก็ดี ของหายได้คืนแน่นอน เพราะเพื่อนเราโดนเอาเก้าอี้สนามไปแล้วเขาก็เอามาคืนเพราะแค่หยิบไปผิด น่ารักมาก ได้ชมดนตรีอย่างมีความสุขแน่ ต้องกราบขอบคุณเพื่อน พี่ ที่บิ๊วให้เราตัดสินใจมางานนี้ได้ในที่สุด และขอบคุณการปรากฏชื่อของ Gorillaz บนโปสเตอร์ด้วย ถ้าไม่มีวงนี้เราก็อาจจะไม่ได้มาจริง

ระเห็ดเตร็ดเตร่รอบหน้าเราจะพาไปสัมผัสบรรยากาศคอนเสิร์ตไทยเทศงานไหน รอติดตามกันได้เลย

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้