Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

‘ถึงจะไม่ทำเงิน แต่ Dub หล่อเลี้ยงจิตใจ’ ฟังเหตุผลที่ แก๊ป T-Bone ยังไม่หยุดทำ GA-PI ในงาน จับหูชนปาก 8

  • Story and photos by Montipa Virojpan

7 เมษายน 2561

Jubhuuchonpak จับหูชนปาก งานเสวนาดนตรีดี และดนตรีสดจากศิลปินหาตัวจับยาก GA-PI ที่จะมาแบ่งปันคอลเล็กชันแผ่นเสียงส่วนตัวให้พวกเราได้ฟัง โดยจัดขึ้นมาเป็นครั้งที่ 8 แล้ว

img_0908

นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้มาเยือนบ้าน Nitt Press ด้วยตัวเอง พบว่าสถานที่เป็นห้องแถวหนึ่งคูหาซ่อนตัวอยู่บนถนนพรานนก และถูกฉาบไปด้วยไฟนีออนสีแดงฉาน มีโปสเตอร์หนังยุคเก่าอัดเฟรมวางเรียงราย ข้างผนังแปะโปสเตอร์คอนเสิร์ตที่จัดโดยกลุ่ม The World May Never Know ซึ่งคืออีกหนึ่งผู้ร่วมจัดงานจับหูชนปาก บริเวณทางที่จะไปสู่หลังบ้านเป็นที่ตั้งของ turntable พร้อมแผ่นเสียงมากมาย และ ‘dubwise’ อีกอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ที่ทักทายผู้ร่วมงานตั้งแต่เปิดประตูเข้ามา เพราะหนนี้ก็มี แก๊ปเจษฎา ธีระภินันท์ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ แก๊ป T-Bone จะมาพูดคุยกันแบบใกล้ชิดกับแฟนเพลงตั้งแต่สองทุ่มถึงเที่ยงคืน เกี่ยวกับโปรเจกต์เดี่ยวของเขาในชื่อ GA-PI พร้อมด้วยวง Rootsman Creation, Fyah Burning และ Pinn Ball ที่จะมาแจมใน live session ค่ำคืนนี้กันด้วย

GA-PI

เวลาสองทุ่มนิด หลังจากเราจัดหาแก้วเครื่องดื่มประจำตัวได้แล้ว ก็มายืดหลบมุมดูพี่แก๊ปเปิดเพลงที่เขาชอบให้เราฟัง โดยก่อนที่เขาจะเปิดแต่ละเพลงก็จะเล่าว่าเขามีจุดเริ่มต้นการฟังเพลงจากอะไร และทำไมถึงขยับขยายมาที่เร็กเก้ได้ พี่แก๊ปเล่าว่าเขาเป็นคนชอบฟังเพลงพวก Otis Redding หรือ Stevie Wonder มาก่อน เพราะจริง ก็เป็นเพลงที่ฟังมาตั้งแต่เด็ก แกพูดติดตลกว่าที่บ้านไม่ค่อยมีเงิน แต่รสนิยมดี มีคลองถมเป็นแหล่งหาแผ่นเสียง เรียกเสียงฮาครืนจากผู้ชม ซึ่งเพลงแรกที่เปิดก็มาจาก LP The Best of ของ Otis Redding ที่แกบอกว่าสอยมาจากร้าน Saxophone บาร์แจ๊สที่วง T-Bone เล่นประจำอยู่ นอกจากนี้ก็ฟังเพลงแนวอื่น ทั้ง Kitaro หรือ Eric Clapton ตั้งแต่ที่อยู่วง Cream เลยได้ลามไปฟังทั้งเพลงไซคีเดลิก หรือบลูส์ ด้วย

img_0895

ในช่วงปี 80s ที่พี่แก๊ปเริ่มเป็นวัยรุ่น ตอนนั้นเขามีโอกาสได้ฟังเพลงนิวเวฟ, อาร์ตร็อก, หรือพังก์ ผ่านรายการ Night Spot ที่ ป้าแต๋ววาสนา วีระชาติพลี และ พี่หมึกวิโรจน์ ควันธรรม เป็นผู้จัดรายการ ขณะนั้น ซึ่งเพลงแนว นี้ที่ได้ฟังก็ไม่พ้นวงอย่าง The Clash, Depeche Mode, Japan โดยแผ่นที่เปิดให้เราฟังแผ่นต่อไปมาจากวง The Police คือ Next to You และอีกเพลง น่าจะเป็นแทร็คที่ต่อกันคือ So Lonely ซึ่งเป็นเพลงที่เมื่อเขาได้ยินครั้งแรกก็เข้าใจว่าเป็นเพลงเร็กเก้ แต่อันที่จริงวงแค่ได้อิทธิพลมาจากแนวเพลงนี้เท่านั้น และที่ไม่น่าเชื่อก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่นอกจากเขาเคยเล่นวงบลูส์แล้ว ยังเล่นวงพังก์ที่คัฟเวอร์เพลงของ Sex Pistols หรือ Ramones มาก่อน (ไม่ใช่กับใครที่ไหนแต่เป็นพี่เม วง Kidnapper นั่นเอง) จากนั้นก็เล่าต่อว่าช่วงที่เป็นดีไซเนอร์ก็ได้ฟังงานของ Brian Eno ที่เคยเล่นคีย์บอร์ดให้วง Genesis ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของวงดนตรีหลายวงในยุคนั้น รวมถึงเพลง Once in a Lifetime ที่เขียนและโปรดิวซ์ให้วง Talking Heads ที่ก็เปิดให้ฟังในวันนั้นด้วย แล้วต่อมาเขาถึงได้หันมาฟังฟังก์และบลูส์นั่นเอง

img_0897

เมื่อเข้าสู่ยุค 90s การฟังเพลงของพี่แก๊ปเริ่มกระจัดกระจายไปแนวทางที่หลากหลายมากขึ้น เขาก้าวขาเข้าไปในโลกของ acid jazz, trip hop ด้วยความหลงใหลในการผสมผสานความเป็น old school และความร่วมสมัยในยุคนั้น โดยเพลงที่เปิดให้ฟังก็เป็นงานของ Guru เจ้าของอัลบั้ม Jazzmatazz ที่ทำให้คนรู้จักแนวเพลงนี้อย่างกว้างขวาง และเพลงที่ถูกนำมาเล่นชื่อ Lifesaver ที่เป็นงานที่ร่วมทำกับศิลปินอีกคนชื่อ Baybe อันที่จริงเราจะเรียกเพลงนี้ว่าเป็นแจ๊สฮอปก็ไม่ผิดนักเพราะเป็นการเล่นลูปกับกรูฟเพลงแจ๊สและมีบีตฮิปฮอปกับท่อนแร็ปในเพลงด้วย จากนั้นก็เป็นการพักช่วงแรกโดยมีเพลงเร็กเก้เปิดคลอรอให้ทุกคนพร้อมก่อนจะดำเนินรายการสู่ช่วงต่อไป

img_0901

เกือบสามทุ่ม ทุกคนเข้ามาประจำที่นั่งของตัวเอง ตอนนี้พี่แก๊ปได้ให้ความรู้เกี่ยวกับ dubwise หรือเครื่องเล่นดั๊บที่เป็นการต่ออุปกรณ์เล่นเสียงต่าง และเอฟเฟกต์เข้าด้วยกัน พร้อมกับแง้มให้ดูความอนาล็อกสุด ของเอฟเฟกต์รีเวิร์บรุ่นเก่าที่เป็นเพียงสลิงหนา ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของเสียง หรือ space drum ที่เป็นเพอร์คัสชันซินธิไซเซอร์ยุคแรก ที่ทำให้เสียงออกมาเป็นบีตแบบ retro-futuristic เหตุผลที่ทำให้เกิดอุปกรณ์เหล่านี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่ชาวจาไมก้า ต้นกำเนิดของเร็กเก้และดั๊บ แทบจะไม่มีเครื่องดนตรีหหรืออุปกรณ์ที่ทำให้เกิดเสียงที่เพรียบพร้อมนัก พวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องใช้ของที่มีอยู่มาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ก็คิดค้นมันขึ้นมาเอง โดยสมัยก่อนจะเป็นการอัดเทปเพลงเพลงนึงแยกมาเป็นสี่แทร็ค แล้วต้องเรียนรู้ที่จะมิกซ์เอาแต่ละเสียงเข้าไปแล้วเล่นออกมาเป็นเพลงใหม่ที่บางครั้งอาจจะไม่มีเสียงนักร้องแบบต้นฉบับ พี่แก๊ปเล่าว่าเป็นเพราะพวกพ่อค้าเร่ขายของเขาก็ตัดเสียงร้องออกแล้วพูดขายสรรพคุณสินค้าไปแทนและใช้ backing track เพื่อดึงความสนใจจากคนโดยรอบ จนเป็นที่มาของ ‘raggamuffin’ ที่เป็นแนวเพลงหนึ่งของเร็กเก้ที่มีการแร็ปนั่นเอง และตอนนี้พี่แก๊ปก็สาธิตการดั๊บให้เราดู โดยชวน อุ้ม วง Rootsman Creation มาเล่นเพอคัสชันไปด้วยกันในเพลง Hi-Speed Love ของ Srirajah Rockers

img_0904

จากนั้นพี่แก๊ปก็เล่าต่อว่าแกชอบเล่นดั๊บกับคนจริง มากกว่าจะเป็นเครื่องเสียงล้วน เพราะมันให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา อีกทั้งแทร็คเพลงต่าง ที่เขามี ส่วนมากจะเป็นงานออริจินัล ซึ่งอันที่จริงเขาสามารถนำเพลงเหล่านี้มาทำจำหน่ายต่อได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่ทำเพราะหลายงานก็ได้รับมาจากเพื่อนพี่น้องในวงการที่มีสัมพันธ์อันดีและมอบให้เขาด้วยความจริงใจ และเล่นเพลงจากวง T-Bone ให้เราฟังอีกเพลงก่อนนำเข้าสู่ช่วงต่อไป

img_0913

ประมาณสี่ทุ่มกว่า ‘Baby I’m Bored Live Session’ Vol. 4 ก็เริ่มขึ้น GA-PI มาประจำที่พร้อมด้วย อุ้ม และ อุ้ย มือแซ็กโซโฟนแห่ง Rootsman Creation เริ่มบรรเลงดั๊บโดยมีคนนำเต้นสองคนถ้วน คือฉันและแฟนฉันเองจ้ะ ก็เขิน นิดนึงเหมือนกัน แต่เพลงเขาหนึบหนับขนาดนี้ไม่โยกก็ไม่ได้แล้วล่ะ ไม่แน่ใจว่าเพลงแรกที่เล่นคือเพลงอะไร แต่เพลงที่สองมีความคล้ายว่าจะเป็นเพลง เดิน ของ Rootsman Creation (อันนี้ไม่แน่ใจจริง ขออภัยหากผิดพลาดค่ะ) จากนั้นจึงเป็น นักกินผัก ของ Srirajah Rockers ที่ตัดท่อนร้องออกไปเหลือแค่ฮุก นำมาใส่เป็นช่วง เน้นการบรรเลงทำนองกับบีต และเพลงต่อมาก็ได้ Pinn Ball, Fyah Burning และมือเทเนอร์แซ็กโซโฟน มาแจม โยก หนึบ กันไป จนอยู่ดี ก็เล่นเพลงโอลสคูลฟังก์เท่ เลย เต้นเป็นบ้า ดีงามมาก เรียกว่าเซอร์ไพรส์เพราะไม่คิดว่าจะเล่นเพลงแนวอื่นด้วย ก่อนจะกลับมาที่เร็กเก้ดั๊บจบไปอย่างงดงาม

img_0916

ในช่วงสุดท้ายของงานก็เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ชมถามคำถามกับพี่แก็ป ทำให้เรารู้ว่าการมาเป็นศิลปินของพี่แก๊ปคือความเบื่อจากการเป็นดีไซเนอร์และมาเริ่มเล่นวงร็อกกับเพื่อน  เคยเปิดบาร์เร็กเก้ที่ข้าวสาร จนได้รับการชักชวนให้เข้าวงทีโบน ที่ครั้งแรกได้ร้องเพียงสองเพลงเท่านั้น แต่ก็ทำให้คนจดจำน้ำเสียงของเขาและกลายมาเป็นที่นิยมในเวลาต่อมา อีกทั้งได้ทราบว่าศิลปินไทยที่พี่แก๊ปชอบ (ที่ไม่ใช่ BNK48 ไม่รู้พูดจริงหรือพูดเล่น) คือ คำรณ สัมบุญณานน เจ้าของเพลง คนบ้ากัญชา โดยให้เหตุผลว่าเป็นกบฎทางดนตรีตัวจริงในยุคนั้น และเพลงแรกที่ร้องตอนเด็ก คือเพลงสิบหมื่น

img_0918

มีอยู่ประเด็นนึงที่พิธีกรถามถึงสาเหตุที่เขาหัดดั๊บและทำ Jahdub Stido ขึ้นมา พี่แก๊ปเล่าว่ายุคนั้นยังไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ (เร็กเก้/ ดั๊บ) การจะให้โปรดิวเซอร์ที่ทำเพลงร็อกมาทำเพลงแนวนี้ให้ก็คงจะไม่ใช่ เขาจึงต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมด ซึ่งตอนนั้นก็เป็นช่วงที่เขาทำโปรดิวซ์ในค่าย Eastern Sky Records ที่มีศิลปินในค่ายอย่าง พราว, Paradox, Stylish Nonsense, และ Siam Secret Service ไปพร้อม กัน พี่แก๊ปพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า แม้มันจะเป็นแนวเพลงที่ไม่มีใครเก็ต หรือไม่เคยทำเงินให้เขาได้เลยก็ตาม เขาก็จะไม่หยุดทำมัน เพราะยังไงเพลงดั๊บก็คือสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจมาจนถึงทุกวันนี้ และตอนนี้ใน Jahdub Stido ก็มีศิลปินในสังกัดอย่าง Rootsman Creation, Fyah Burning, Pinn Ball และกำลังจะได้มิกซ์ให้กับ The Skints วงเร็กเก้จากอังกฤษด้วย

img_0922

เป็นครั้งแรกของการมาร่วม จับหูชนปาก ซึ่งวันนี้ก็รู้สึกว่าได้อะไรเยอะมาก นอกจากได้เพลงใหม่ มาฟังก็ได้รู้ที่มาที่ไปของพี่แก๊ปมากขึ้น ได้เห็นกระบวนการดั๊บ ได้ดูโชว์ดี อีกโชว์ แล้วยังได้แง่คิดกับจุดประกายการดำเนินชีวิต เรียกว่ารับไปเต็ม ในงานนี้งานเดียว ใครที่ยังไม่เคยมาเราอยากให้ลองมาสักครั้ง เพราะแขกรับเชิญแต่ละคนก็คงไม่ได้มาเปิดเพลงแบบนี้ให้ฟังหรือนั่งคุยกันแบบใกล้ชิดอย่างนี้บ่อย (รอบก่อนหน้ามี Srirajah Rockers, เล็ก พราว, จีน มหาสมุทร, Buddhist Holiday, Selina and Sirinya, Into the Air ไม่ธรรมดาจริง ) ติดตามกันดูว่าครั้งหน้าจะมีใครมาร่วม จับหูชนปาก กันได้ที่ https://www.facebook.com/Nittpressbkk/

img_0909

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้