Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

Mono Live in Bangkok 2017

  • Writer: Montipa Virojpan, Widthawat Intrasungkha and Thitipat Parkpises
  • Photographer: Thitipat Parkpises

17 มกราคม 2560

16107115_1231181713663113_4247509979844874403_o

นี่เป็นครั้งที่สามแล้วสำหรับ Mono วงโพสต์ร็อกสัญชาติญี่ปุ่นที่กลับมาสร้างความประทับใจให้แฟนเพลงอีกครั้งในปีนี้ นับตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเล่นเมื่อปี 2011 ต่อด้วย 2013 เรียกว่าอยู่คู่สายลอยชาวไทยมาอย่างช้านาน

สำหรับงานในค่ำคืนนี้จัดขึ้นที่ Live RCA โดยทีม Seen Scene Space ของคุณปูม แห่งค่าย Parinam Music ที่เคยจัดงาน Pow Fest และนำศิลปินคุณภาพจากเอเชียหลาย ๆ วง (The Fin. และ Manic Sheep) มาแสดงที่กรุงเทพ ฯ นั่นเอง แต่พอรู้ว่าจะจัดงานโพสต์ร็อกที่นี่ก็อดคิดไม่ได้ว่าจะเวิร์กจริง ๆ หรอเพราะชอบมีปัญหาเรื่องการควบคุมซาวด์อยู่บ่อยครั้ง และโซนการยืนค่อนข้างเป็นอุปสรรคแก่การรับชมด้วย (เราจะมาพิสูจน์กันอีกครั้ง) โดยงานเปิดให้เข้าตั้งแต่ทุ่มตรงเพื่อให้แฟนเพลงได้มาเลือกซื้อสินค้า ก่อนที่จะเปิดให้เข้าในฮอลตอนประมาณสองทุ่ม และวงแรกจะขึ้นแสดงในเวลาสองทุ่มครึ่ง

16129368_10210673456245909_1973551411_o

โดยโชว์แรกเป็นคิวของวง Hope the Flower อีกหนึ่งวงโพสต์ร็อกไทยที่น่าจับตามองในขณะนี้ แถมฮอน ฟรอนต์แมน ย้อมผมสีแดงสะดุดตามาเพื่ออีเวนต์นี้โดยเฉพาะ พวกเขาก็เปิดตัวด้วยเพลงใหม่ ที่เพิ่มความหนักหน่วงกว่าเพลงที่ผ่าน ๆ มาที่มักจะเป็นโทนฟังสบาย แล้วต่อด้วย I’m Sorry to Say เพลงดังประกอบภาพยนต์ Mary is Happy, Marry is Happy ที่ชนะใจแฟนหนังไปหลายราย ปิดท้ายด้วย Loneliness ที่เล่นปิดได้อย่างสวยงามเพราะพริ้ง เป็นครั้งแรกที่ได้ฟังนี้เพลงสด ๆ และคิดว่าคงต้องหาเวลาติดตามเพลงใหม่ ๆ ที่จะทยอยปล่อยในปีนี้ จากที่ได้ดูโชว์ทั้งหมดแล้วก็รู้สึกว่าพวกเขาเล่นดีกว่าที่เคยดูมาตลอดเพราะมีความดุดันและแม่นยำกว่าที่เคย ซึ่งโดยรวมแล้วซาวด์ของ Hope the Flower ดีเป็นพิเศษ ถือว่าไม่น้อยหน้าวงโพสต์รุ่นพี่อย่าง Inspirative แม้แต่น้อย

สำหรับวงต่อไปอย่าง Inspirative ที่ไม่ต้องห่วงเรื่องประสบการณ์และความเก๋าบนเวที แต่รอบนี้ตกใจมากเพราะมีโอกาสได้ดู Inspirative มาหลายปีมาก ตั้งแต่เอมตีครั้งแรกยังตั้งข้อสงสัยว่า มือกลองผู้หญิงจะเหมาะกับวงโพสต์แบบนี้หรอ เวลาผ่านมาก็จนถึงปีนี้ การได้เอมมาตีกลองในงานนี้ก็เกิดความรู้สึกอิ่มเอมในเสียงกลองแบบสุด ๆ เหมือนเป็นโชว์ที่เข้าที่เข้าทางมากที่สุดตั้งแต่เคยดูมา ประทับใจในการลงน้ำหนักที่มีก๊อกสองก๊อกสาม คือ ยังตีหนักได้อีกหรอ หนนี้พวกเขาเล่นเพลงจากอัลบั้มใหม่ฟิน ๆ กันไป แต่ถึงแม้เอมจะไม่ค่อยว่างมาตีต่อแล้ว งานหน้าของ Inspirative ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาด เพราะมือกลองที่เล่นแทนเอมคือจินซังจาก aire ใครที่คิดถึงลวดลายการตีกลองของจินซังต้องห้ามพลาดเลยล่ะ

เราแอบเห็นว่ามีชาวต่างชาติในงานนี้เยอะมากเป็นพิเศษ ซึ่งก็น่าดีใจที่เหล่า expats ก็สนับสนุนงานดนตรีในบ้านเราด้วยเหมือนกัน แม้เขาจะเป็นแฟนของ Mono วงเดียวหรือไม่ก็ตาม แต่ก็มายืนโยกตั้งแต่ Hope the Flower จนถึง Inspirative ไม่หนีหายไปไหน

พาร์ทต่อไปนี้เป็นการบอกเล่าความรู้สึกที่มีต่อ Mono จากแฟนเพลงตัวยงที่เรารู้จัก

16121760_10210673492286810_2099513318_o

ต้องเท้าความย้อนไปนิดนึง… เราจำไม่ได้แล้วว่าเรารู้จัก Mono จากอะไร อาจจะเป็นเพลย์ลิสต์ใน iTune ของเพื่อนดีพ ๆ คนนึง แต่เราแค่รู้ว่าวงนี้มันแตกต่างมาก มันพาเราเข้าไปอยู่ในเพลงของพวกเขาโดยไม่ต้องคุยกันมาก และทำให้เราเริ่มฟังเพลงแนวนี้มากขึ้น จนวันนึงเราได้ไปอยู่ในคอนเสิร์ตที่เรายอมจ่ายตังค่าบัตรเองเป็นครั้งแรก Mono Live in Bangkok 2011 งานนั้นจัดที่ Moonstar Studio เราเข้าไปด้วยความที่ไม่เคยคิดจะไปคอนเสิร์ตอย่างจริงจังมาก่อน ไม่ได้เตรียมตัวใด ๆ และเมื่อเสียงกีตาร์แรกดังขึ้น ไฟสีแดงตามสไตล์ฉายลงบนเวที ห้องสตูดิโอตรงนั้นเปลี่ยนเป็นฮอลของ Mono รวมทั้งเราเองที่ถูกกลืนหายไปในภาพที่เกรี้ยวกราด อารมณ์ของเพลงและท่วงท่าที่ไม่ได้ถูกประดิษฐ์เพื่อแสดงให้ใครดูแต่อย่างใด นี่คือคอนเสิร์ตที่ทำให้หัวใจเราเต้นเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ เราอยากจะปล่อยอารมณ์อะไรได้ตรงนั้นก็ปล่อยออกมา ทีแรกเราถือกล้องไปหวังว่าจะถ่ายภาพเยอะ ๆ กลับมาอวด แต่เรากดไปได้ไม่กี่รูป เพราะเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราเก็บมันไม่มีทางที่จะดีไปกว่าดนตรี ณ จุดนั้นที่มันเป็นอยู่ เราเลิกถ่ายแล้วหันมาโยกหัวไปตามความเกรี้ยวกราดของอารมณ์

งานจบแล้วหัวใจเรายังเต้นแรงอยู่ นั่นคือการกลับบ้านพร้อมความรู้สึกใหม่ที่ได้จากงานคอนเสิร์ตของ Mono

เรากลับมาไล่ฟังเพลงทุกเพลงเพื่ออะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันยังไม่อยากให้จบ และเราก็ได้ยินข่าวว่า Mono จะมาไทยอีกครั้ง

แล้วเราก็พลาด… เสียดายเป็นอย่างมาก…

แต่ก็โชคดี อีกไม่กี่ปี เราก็ได้ยินข่าวดีอีกครั้ง เราสัญญากับตัวเองว่าเราจะไม่พลาด เรารีบจองตั๋วตั้งแต่วันแรก อย่างคนหิวกลัวอด ตั้งใจรอราวกับว่า มันคือวันพรุ่งนี้ และยิ่งตื่นเต้นเข้าไปอีกที่รู้ว่า เพื่อนที่เราเคยคุย ๆ กันเรื่อง Mono เล่นเป็นวงเปิด ขอบคุณ Hope the Flowers คุณเปิดได้อย่างสวยงาม ตามมาด้วย Inspriative ถ้าคุณยืนอยู่ตรงนั้น คุณจะเริ่มหายใจไม่ออกเพราะแฟนเพลงเยอะขึ้นมาก ทุกคนเริ่มบิลด์ตัวเองแล้วด้วยสามสี่เพลงจบไปตามเวลา พอถึงตา Mono แสงสีแดงสว่างขึ้นมาอีกครั้ง เสียงกีตาร์แหลมขึ้นมาเหมือนปีกสีดำของอะไรสักอย่างกำลังจะกางเพื่อออกบิน ความรู้สึกตรงนั้น เหมือนยืนอยู่สุดปลายผา หลังจากที่วิ่งอย่างบ้าคลั่งไปรอบ ๆ โมโนเองก็ยังคงปล่อยพลังออกมาอยู่เรื่อย ๆ และในทุก ๆ เพลง เราเริ่มออกวิ่งใหม่ แล้วเราก็ต้องมาหยุดอีกตรงขอบอะไรซักอย่าง

ถ้าคุณหันหน้าเข้าเวทีคุณจะเจอลมที่เกรี้ยวกราดพัดมาอย่างรุนแรงราวกับจะพาคุณบินไปกับมัน

ถ้าคุณหันหลังคุณจะรู้ ว่ามันไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก เราเจอแล้วสิ่งที่ทำให้เราหยุดอยู่ตรงหน้าผา ทั้ง ๆ ที่น่าจะบินไปตามพลังจากข้างหน้าเวทีนั้น

กำแพง… เรายืนอยู่ช่วงกลางและหลังสุด ซึ่งจริง ๆ มันไม่ควรจะเป็นหลังสุดเสียทีเดียว เราเลือกยืนระยะเดียวกับครั้งที่เราเคยยืนใน Moonstar Studio แม้จะไม่ใช่ที่ตรงนั้นเป๊ะ ๆ หรือคงผิดกันไม่เยอะ แต่มันเล็กไป… คับแคบ เราสรุปกับตัวเองแบบนี้ เราพลาดอีกแล้ว

แต่ Mono ยังคงยอดเยี่ยม พลังและอารมณ์ยังคงแผดออกมาไม่หยุดยั้ง แม้จะผ่านไปหลายเพลง หรือแม้ว่าลำโพงจะดับ ทุกคนก็ยังคงลุกโชนต่อด้วยสปิริตแม้จะมีเสียงออกแค่มอนิเตอร์ และเราคิดว่าหลายคนคนรู้สึกคล้าย ๆ เรา คือมันไม่สุดจากที่เราเคยเห็นคนโยกหัวอย่างเมามัน ปีนี้เราเห็นคนยืน เท้าราวระเบียงฟัง เหมือนกับไม่รู้จักกัน นั่นวงใคร

หลังจากเพลงสุดท้ายจบลงทุกคนยังคงอยากดูต่อ เราเชื่อว่าจะได้ดู แต่ก็ไม่รู้เค้าจะอยากเล่นต่อไหม ทว่าก็มีอังกอร์เบา ๆ เผื่อว่าเค้าจะกลับมา และอีกเพลงจากลาก็ดังขึ้น เสียงเปียโนสุดท้าย แสงไฟ กีตาร์ พร้อมเพลง Everlasting Light

16122238_10210673488166707_1468761188_o

Facebook Comments

Next: