ปลุกความสดสัยวัยมัธยมในตัวคุณขึ้นมากับ Singha Light Live Series Vol 2.4 – Phoenix
- Story by Montipa Virojpan
- Photos by StoppKitsch, McKee, Afatcatatearat
18 สิงหาคม 2560
เมื่อคืนนี้เป็นอีกงานที่พวกเรารอคอยให้มาถึงอยู่นานสองนาน หลังจากที่พากันแห่กดบัตรจน sold out ในระยะเวลาอันสั้น และวันนั้นก็ได้มาถึงแล้วกับ Singha Light Live Series Vol 2.4 ที่แฟนชาวไทยจะได้ดู Phoenix กันแบบสด ๆ ตัวเป็น ๆ สักที ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเราได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาจากกลุ่มเพื่อนที่ได้ไปประเดิมโชว์ของพวกเขามาก่อนแล้วที่ Good Vibes Festival ประเทศมาเลเซีย แบบที่ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า Phoenix คือโชว์ที่ดีที่สุดที่เคยดูมาในชีวิต ตอนนี้ก็ถึงคิวที่พวกเราจะได้พิสูจน์กันแล้วว่าจริงอย่างที่เพื่อน ๆ บอกหรือเปล่า
เรามาถึงสถานที่เล่นก่อนเวลาเริ่มแสดงหลายชั่วโมงเพราะมีนัดสัมภาษณ์กับวงก่อน (รออ่านกันด้วยนะ) ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะคิดว่าการเดินทางในวันนี้จะสาหัสอยู่พอควร ไหนจะฝนตก และรถติดย่านลาดพร้าวอันเลื่องชื่ออีก แต่พอเราสัมภาษณ์วงเสร็จแล้วก็ออกมาเห็นผู้ชมเริ่มทยอยกันมาที่ Moonstar studio 8 กันพอสมควรแล้ว เพราะเขาคงจะคิดเหมือนเรา ระหว่างที่รอวงแรกขึ้นเล่นไม่รู้จะไปทำอะไรเลยหาของกินในงาน และวันนี้ก็ยังคงมี Alice Pizza มาให้บริการเช่นเดียวกับอีกหลาย ๆ งานของ Have You Heard? แต่วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ลองกินก็อยากบอกเลยว่าแป้งพิซซ่าดีมาก กรอบ บาง หอม ส่วนตัวหน้าก็รสชาติเข้มข้นจัดจ้านกับหน้าฟิวชันหลายหน้าเลย
ใกล้ ๆ กับที่แสกน QR code เพื่อรับบัตรเข้างานก็มีโต๊ะขายของที่ระลึกของทัวร์ครั้งนี้ นั่นก็คือเสื้อที่เป็นโลโก้ของปกอัลบั้ม Ti Amo สีดำกับสีเทา และโปสเตอร์ทัวร์ ความหน้ามืดของเราเลยทำให้กดเสื้อมาตัวนึง รู้สึกว่ากระเป๋าตังค์โหวง ๆ ไปเล็กน้อย และตอนนั้นเองที่ฝนก็เทลงมาอย่างหนักหน่วง ทุกคนเลยพากันแห่เข้ามายืนในเต๊นท์โซนอาหารกันอย่างเนืองแน่นเพราะโต๊ะเองก็ไม่พอนั่งแล้ว
ประมาณทุ่มครึ่ง ทีมงานประกาศว่าประตูเปิดให้เข้าไปในฮอลได้แล้ว หลายคนก็ค่อย ๆ ตบเท้าเข้าไปในงาน ซึ่งรอบนี้เขาไม่อนุญาตให้เอากล้องที่เกินกว่ากล้องมือถือเข้าไปในงานทั้งหมด จากคราวก่อนที่มีคนแอบถ่ายวิดิโอ Cigarette After Sex ทั้งโชว์ซึ่งละเมิดลิขสิทธิ์และผิดกฎหมายเลยต้องตัดไฟแต่ต้นลม ส่วนร่มก็เอาเข้าไม่ได้ต้องฝากกันไว้หน้างาน เรานี่มีทั้งกล้องทั้งร่มก็ต้องรีบออกจากแถวเอาของไปเก็บในรถกันล่ะค่ะ
และในที่สุดหลังจากการผ่านด่านตรวจสัมภาระมาแล้ว เราก็เข้ามาอยู่ในฮอลเป็นที่เรียบร้อย ช่วงนี้คนยังค่อนข้างบางตาเพราะ Polycat จะขึ้นเล่นตอนสองทุ่มครึ่ง ซึ่งเราก็เข้าไปรอไม่นานนัก คนก็เริ่มเข้ามาหนาตาขึ้น วงดนตรีพร้อมแล้วบนเวทีและเริ่มบรรเลงเพลงดังของพวกเขา แต่ความพิเศษคือเป็นโชว์ที่มีการ arrange เพลงใหม่เกือบทั้งหมด อย่างเพลงแรกก็เป็น ภักดี ในเวอร์ชันละมุนละม่อม ชวนเลื้อย จากนั้นก็เป็นเพลง พบกันใหม่ ที่พอเป็นดนตรีมินิมัลแบบนี้แล้วความทำลายล้างทางอารมณ์ก็ถูกลดทอนไปเยอะเหมือนกัน (คิดถึงไลน์กีตาร์โซโล่หนัก ๆ แบบ 80s อันเป็นเอกลักษณ์ของเพลงเซ็ตนี้) แต่ต้องยอมรับว่าคุณนะเขาเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ที่ดีทีเดียว ไหนจะโดดเด่นในเสื้อเนื้อซาตินสีชมพูและท่วงท่าลีลาของเขา จากนั้นก็เป็นเพลง เวลาเธอยิ้ม กับ เพื่อนไม่จริง ที่เริ่มกลับมาเป็นเวอร์ชันปกติ จากนั้นก็เป็นช่วง interlude ที่เล่นเพลงบรรเลงกลิ่น 80s เท่รุนแรงแบบที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน แล้วต่อด้วย เพื่อนพระเอก และเพลงภาษาญี่ปุ่นที่เพิ่งปล่อยมาให้ได้ฟัง The Flowers และอีกเพลงใหม่ใน EP ภาษาญี่ปุ่นที่ซาวด์จะดูเป็นหนังวัยรุ่นญี่ปุ่นแมน ๆ ขึ้นหน่อย จากนั้นก็เป็นเพลงจังหวะช้า ๆ อย่าง เป็นเพราะฝน ตามด้วย มันเป็นใคร และปิดท้ายกันที่ ซิ่ง เป็นการอุ่นเครื่องสำหรับโชว์ต่อไปแบบกำลังดี
จนกระทั่งเวลาสี่ทุ่มตรง คนดูขยับขยายจับจองพื้นที่กันจนแน่นฮอล จนวงขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับเพลงเปิดอัลบั้มชุดล่าสุด Ti Amo อย่าง J-Boy ที่ทุกคนร้องได้ แค่วินาทีแรกของเพลงที่จังหวะกลองสาดลงไปก็รู้เลยว่านี่จะต้องเป็นคอนเสิร์ตที่พลังพุ่งพล่านและสนุกมากแน่ ๆ คืออัดเต็มตั้งแต่เพลง ไฟ และวิชวลข้างหลัง เล่นแน่น เล่นน้อย แต่เทสต์ดี สีงามมาก ๆ เอาเป็นว่าคนโดดกันตั้งแต่เพลงแรก จากนั้นก็เป็นเพลง Lasso ในอัลบั้ม Wolfgang Amadeus Phoenix ที่คนดูก็ยังร้องเพลงตามไม่หยุดปาก
ตามมาด้วยอีกเพลงดังอย่าง Entertainment จากอัลบั้ม Bankrupt! กับซาวด์จีนติดหูและภาพวิชวลน้ำตกที่เหมือนโปสเตอร์แปะในห้องน้ำร้านอาหารญี่ปุ่น เห็นแล้วช็อกเบา ๆ แต่เป็นความคาดไม่ถึงที่ดีนะที่เขาเอามาเบลนด์กับเพลงและโชว์แบบนี้ ต่อกันติด ๆ แบบไม่ให้หยุดหายใจด้วยอีกเพลงดัง Lisztomania และ Trying to be Cool กับ Drakkar Noir ที่ตอนนี้เท้าเราแทบจะไม่ติดพื้นแล้วจริง ๆ เต้นยับมาก แบบ โอ๊ยยยยย ขนเพลงฮิตมาเล่นหมดเลยว้อยยยย ไม่ไหวแล้วววว
จากนั้นก็เป็นช่วงที่นำเข้าสู่พาร์ตอัลบั้ม Ti Amo กับเพลงซาวด์น่ารักอย่าง Lovelife ที่ไฟสวยมากกกกก เล่นสีไล่ไปสดใสซาบซ่าน ตามด้วย Role Model ที่กรูฟหนึบหนับชวนโยกมาก และย้อนกลับไปที่เพลงอัลบั้มเก่า Girlfriend ที่คนร้องกันในท่อน “Farewell well well well well well, till you know me well” กันลั่นฮอล แล้วเป็น Love Like a Sunset ทั้ง part I และ II ที่เป็นเพลงบรรเลงหนักหน่วงยาวนาน บิ๊วสุดใส่สุดแบบไม่ยอมลดลาวาศอกกันเลย เดือดมากกกกกก แล้วเป็นช่วงที่มีท่อนร้องให้ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
ในที่สุดก็ถึงเพลงชาติประจำตัวของเราเอง กรี๊ดแตกมากตั้งแต่อินโทร ก็ตะโกนคอแตกไปกับเพลง Long Distance Call วัยรุ่นมาก ๆ ตามมาติด ๆ กับเพลงที่ยังอัพบีทจากชุดใหม่อย่าง Ti Amo อยากเต้นซุมบ้าเลยค่า และย้อนกลับไป Wolfgang ในเพลง Armistice กับ Rome และ If I Ever Feel Better จากชุดแรก สองเพลงหลังนี่แหกปากกันไปเลยจ้า จัดหนักจัดเต็มจริง ๆ แล้วท้ายเพลงมีแซม ๆ ท่อนนึงของ Funky Squaredance เข้ามาด้วย
เข้าสู่พาร์ตอังกอร์ที่พูดได้เลยว่า เพลงจบอารมณ์ไม่จบจริง ๆ คนดูตบมือส่งเสียงร้องแบบไม่หยุดปาก เพราะตลอดเวลาที่วงเล่นมานี่พวกเขาได้ให้ความสนุกกับเราแบบ non-stop จริง ๆ และเมื่อพวกเขากลับขึ้นมาบนเวที ดนตรีอะคูสติกบรรเลงเพลง Countdown ที่ทุกคนร้องตามกันอย่างอบอุ่น ทาง Thomas Mars นักร้องนำเองเขยิบลงมาล่างเวทีจนใกล้ชิดกับแฟน ๆ มากขึ้น จากนั้นก็เป็นเพลง Goodbye Soleil และ Fior di Latte จากชุดใหม่ และปิดท้ายกันที่อีกเพลงฮิต 1901 ที่ทำให้ใครหลายคนได้รู้จักกับพวกเขา
ทว่า คอนเสิร์ตยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อโธมัสเดินมาอยู่ท่ามกลางฝูงชนและมีคนให้เขาขึ้นไปยืนบนไหล่ พร้อมกับเพลง Ti Amo บรรเลงขึ้นอีกครั้ง คนดูทุกคนหันไปทางเขาเป็นสายตาเดียวกันและยกมือถือขึ้นมาบันทึกภาพความประทับใจนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้สนุกไปกับเพลงของพวกเขากันแล้ว ทุกคนจึงเต้นกันแบบลืมว่าวันพรุ่งนี้จะต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานกันต่อ แล้วส่งให้โธมัสว่ายข้ามฝูงชน (ว่ายจริง ๆ) กลับขึ้นไปบนเวที จบฉากโชว์แรกในประเทศไทยของ Phoenix ที่พวกเขารอคอยมากว่า 18 ปีลงไปอย่างสวยงาม
จากความสนุกเมื่อคืนนี้เองก็ได้พิสูจน์แล้วว่าคอนเสิร์ตของ Phoenix เป็นโชว์ที่ดีที่สุดโชว์นึงในชีวิตการดูคอนเสิร์ตจริง ๆ เพราะการแสดงที่เต็มอิ่มทั้งตัวเพลงที่บาลานซ์กันได้ดีระหว่างเพลงฮิตและเพลงใหม่ รวมถึงคุณภาพของการแสดงสดที่พวกเขาใส่แบบไม่ยั้ง ไม่หลุดซักเม็ด นักดนตรีแบ็คอัพก็โหดขิง ตั้งใจเรียงเพลงมาก แถมใส่ใจรายละเอียดต่าง ๆ นอกเหนือจาก performance คือวิชวล ไฟ อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าเล่นน้อยแต่ได้มาก แล้วเป็นสีสันที่สวยที่สุดงานนึงที่เราเคยดูมา โดยรวมแล้วคือมันชิบหาย สนุกตลอดทั้งโชว์ กลมกล่อม อบอุ่น ย้อนวัย ไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ ที่คาดหวังว่าจะมาปลุกไฟวัยรุ่นในตัวจากโชว์ของวงนี้ มีพี่คนนึงอัพสเตตัสประมาณว่า “Phoenix brings live music great again” เราว่าไม่มีอะไรจริงไปกว่าคำนี้อีกแล้ว