Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

ดู Warpaint, Unknown Mortal Orchestra และโชว์เต็มวงของ Björk ที่ Primavera Sound

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographers: Santiago Felipe, Sergio Albert, Paco Amate, Eric Pamies, Dani Canto and Alba Ruperez

อ่าน Primavera Sound ตอนแรกได้ ที่นี่

31 พฤษภาคม 2561

Primavera Sound

เข้าสู่เทศกาล Primavera Sound อย่างเป็นทางการในวันแรกกันแล้วค่ะ ขอสปอยล์ก่อนเลยว่าวันนี้มีความผีบ้าอยู่มากจนเกือบต้องร้องขอชีวิต เราเข้างานตั้งแต่ช่วงเที่ยงเพราะมีเวที Primavera Bits อยู่ที่อีกฟากของงาน เหมือนเป็นโซนชายหาดที่อยู่ห่างจากเวทีหลักไปไกลมาก มีเพียงถนนด้านหน้าและสะพานเชื่อมกลางเวนิวให้เดินถึงกันเท่านั้น ซึ่งขาเข้าเราก็ต้องเดินอ้อมไปยังถนนเส้นซ้าย เดินยาวไปเรื่อย จนทางพาเรามาถึงหาดที่จัดงาน เราเห็นที่นั่งหลบร้อนสีส้มตั้งอยู่เต็ม พร้อมกับบูธดีเจ และบูธขายเครื่องดื่มของ Aperol Spritz ข้าง กันมีร้านขายอาหารเมดิเตอเรเนียนชื่อ Kauai เป็นเพิงเอาต์ดอร์ ลองนึกสภาพนั่งกินข้าว จิบไวน์ แล้วฟังเพลงอิเล็กทรอนิก ละติน แดนซ์ฮอล ดรัมแอนด์เบส เฮาส์ ไปพร้อม กันสิคะ แปลกมาก แต่เพลินมากเอาจริง กินไปโยกหัวไปงี้

หลังจากกินข้าวเสร็จ และไปยืนเต้นตรงบูธดีเจที่มี Daphni หรือ Caribou ที่เลือกเปิดดิสโก้ ฟังก์หรู Champion ที่มาทั้งฮิปฮอป ดั๊บสเต็ป เทคโน และ Four Tet ที่เป็นดีพเฮาส์ มินิมัลสนุก มาเล่นแล้ว ประมาณ 4 โมงก็ได้เวลาที่เราจะเดินกลับไปยังโซนเวทีหลัก แต่ความเจ้ากรรมคือ ตอนเดินไปถึงสะพานเชื่อม เขาบอกว่าจะเปิดอีกทีตอน 5.30 นาจา ให้เดินอ้อมไปเข้าตรงทางที่เราเดินเข้ามาทีแรก เรากับคนดูจำนวนนึงก็เดินขาลากกลับไปตรงประตูเที่ยง พอไปถึงก็โดนการ์ดบอกว่า ประตูนี้ปิดตั้งแต่ 4 โมงตรงแล้ว เรากับคนอื่นก็งงดิครับ ก็ยืนต่อล้อต่อเถียงกันนานมากกับการ์ดและสต๊าฟที่ถูกส่งมาคุย พวกเขายืนกรานให้เราเดินกลับไปยังสะพานเดิม เราก็เถียงกลับไปว่าฝั่งนั้นบอกให้เราเดินมานี่ ซึ่งระยะทางรวม ก็ 20 นาทีเลยนะ เดินขึ้นเนินขาลาก เหนื่อยมาก ก็มีคนอารมณ์เสียแล้วเริ่มพูดจาไม่ค่อยดี ถามหาออกาไนเซอร์ แล้วก็มีการ์ดคนอื่น มาเสริมกำลังอีกประมาณสิบคน จนสุดท้ายก็มีพี่การ์ดคนนึงเดินมาพูดประมาณว่านี่ ผมก็ฟังและเข้าใจที่พวกคุณพูดแหละนะ แต่พวกเราก็เป็นแค่ลูกจ้างเท่านั้นแหละ วงแตก ได้ยินแล้วเสียความรู้สึกมาก ก็เลยถามว่างั้นถ้าไม่เดินกลับทางเดิม เดินไปทางไหนได้อีก เขาก็บอกให้เดินออกทางถนนใหญ่

พวกเราพากันเดินเซ็งไปตามทางที่เขาบอก โดยหารู้ไม่ว่าไป มา ระยะทางมันไกลกว่าเดินกลับไปที่สะพานอีก แบบ เดินอ้อมถนนใหญ่ ลอดอุโมงค์รถวิ่ง ขึ้นสะพาน กว่าจะเข้าถึงตัวงานได้ แล้วเราก็ได้ยินมาว่าประมาณครึ่งทางที่เราพากันเดินออกมาเนี่ย อีตรงการ์ดที่ไม่ยอมให้เข้าสุดท้ายก็ยอมเปิดรั้ว โกรธมากเด้อ พอเข้ามาถึงงานแล้วเราก็เลยฝากเรื่องไว้กับบูธ information สต๊าฟก็บอกว่างงเหมือนกัน เพราะที่คุยกันคือให้สะพานเปิดตั้งแต่สี่โมงแล้ว ส่วนประตูเที่ยงก็จะถูกปิดตอนสี่โมง โอย ปวดเฮด ก็กำชับเลยว่าไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกในวันพรุ่งนี้ เสียทั้งเหงื่อ ทั้งเวลา ทั้งความรู้สึก พลาดดูวงที่ตั้งใจจะไปดูเป็นวงแรกเลย เพราะเราเพิ่มเวลาเดินขึ้นไปอีกครึ่งชั่วโมง!

เราเข้ามาถึงงานก็พุ่งตรงไปที่เวที Seat ที่อยู่ฟากขวาสุดของงานเพราะดู Hinds วงดนตรีการาจ lo-fi bedroom pop สี่ชิ้นหญิงล้วนสุดน่ารักจากมาดริดที่เคยมาเล่นในกรุงเทพ เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นพวกนางเพิ่งเปลี่ยนชื่อจาก Deers เป็น Hinds หมาด เลย แล้วได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์เสื้อ Supersweet ผู้จัดด้วย เรามายืนเกาะรั้วคอกสองกับแฟนเพลงสาวน้อยอีกหลายคน ยืนสู้แดดเวลาหกโมงเย็นที่ดีกรีความแรงพอ กับแดดบ่ายสามบ้านเราเพื่อรอให้สาว ขึ้นเวที เมื่อพวกเธอประจำที่ก็เริ่มเล่นเพลง Chili Town ต่อด้วยเพลงจากอัลบั้มใหม่ทั้ง The Club จังหวะสนุก หรือเพลงที่มีกรูฟแบบ Soberland ต่อด้วยเพลงน่ารัก Caribbean Moon หรือเพลงจังหวะกลาง Easy, Garden แล้วกลับมาเป็นเพลงอัลบั้มล่าสุด Rookie กับ Tester, San Diego ต่อด้วยเพลงโปรดของเรา Finally Floating ที่เพิ่งปล่อยมาไม่นาน จากนั้นก็เป็นเพลงฮิต Bamboo และปิดท้ายด้วย New For You ชอบความที่มีแฟนเกิร์ลแหกปากร้องและเต้นไปพร้อม กับเราในขณะที่คนอื่นยืนนิ่ง แต่นางเนื้อเป๊ะกว่ามาก ประทับใจ

จากนั้นเวที Mango ฝั่งตรงข้ามกันก็เป็น (Sandy) Alex G ขึ้นต่อกันในเวลาไม่นานนัก ผู้ชมย้ายที่ยืนไปยังอีกฟากในเวลาไม่กี่อึดใจ เขาเริ่มเล่นเพลงโฟล์กป๊อปฟังสบายเพลงแรก Remember ต่อด้วยเพลงที่อัพบีตขึ้นมาอีกนิดอย่าง Proud และ People ที่เป็นโฟล์กร็อกหนักขึ้น แต่จากตรงนี้เราก็เดินย้ายเวทีไปดูวงอื่นที่อยู่อีกฟากของงานบ้าง ตอนนี้เราได้ยินเสียงดังมาแต่ไกลจากเวทีริมน้ำหรือ Night Pro ที่น่าจะเป็นวง Kurws ที่เคยดูเมื่อวันก่อนเล่นอยู่ เพราะเสียงดังและมันมาก ก่อนจะเดินต่อไปยังเวที Ray Ban ใกล้ กันที่มี Ezra Furman ซึ่งเราก็ไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ถึงคนดูจะไม่ค่อยเยอะมาก แต่ต้องบอกว่าเป็นโชว์ที่ทรงพลังสุด เขามีความเป็นนักดนตรีในวงแกล็มร็อก ออร่าร็อกสตาร์พุ่งกระจาย ตอนเราไปถึงเหมือนเขาจะเล่นเป็นสองเพลงสุดท้ายแล้ว คือ Love You So Bad เท่มากพ่อคุณเอ๊ย มีความเป็นวงร็อกต้นยุค 2000s ส่วนเพลงสุดท้ายเขาก็พูดขึ้นมาว่า “This is the protest song. Do you trust in its power?” แล้วคนดูก็เฮกันใหญ่ มันคือเพลง Suck the Blood from My Wound ซึ่งเท่มาก มีความเป็นคลาสสิกร็อก 80s แต่เล่นด้วยซาวด์ใหม่ สามารถเป็นสเตเดียมร็อกได้สบายเลยโชว์ของเขาคนนี้ น่าติดตามมาก

จากนั้นเราก็พุ่งตรงไปยังเวที Seat อีกเหมือนเดิมเพื่อรอดูวงตะแม่สุดที่รัก Warpaint ไปรอล่วงหน้าประมาณครึ่งชั่วโมงได้ ด้วยความที่เซ็งโชว์ที่ไทยที่พวกนางมาเล่นเปิดให้ Harry Styles มาก คือเหมือนเอมิลีนักร้องนำป่วย เสียงแหบมาก และดูเมา เหวี่ยง กับความที่เป็น opening act ที่ไม่มีใครมารอดูตัวเองเลย รวมถึงโดนตัดเวลาโชว์อีก ก็ทำให้วงมีความเซ็งเล่นไม่เต็มเป็นธรรมดา พอมาถึงที่ก็ถือว่าได้ที่ยืนที่โอเคอยู่ คอกหน้าประมาณแถวห้างี้ เอาล่ะ ติ่งอย่างฉันพร้อมจะสนุกไปกับแม่ แล้ว พอพวกหล่อนขึ้นเวทีก็มีเสียงเฮดังลั่น พร้อมกับสีหน้าท่าทางของพวกเธอที่ดูสดชื่นอารมณ์ดีกว่าที่กรุงเทพ มากแม้จะเล่นเซ็ตลิสต์เกือบเดียวกันเป๊ะ ฮือ เสียดาย วันนี้มาในธีมเสื้อสีดำ กางเกงยีนค่ะ เปิดด้วย Intro สุดเท่ ต่อด้วย Keep It Healthy และเสียงหึ่ง ของเอฟเฟกต์กีตาร์ในเพลง Bees ตามด้วย Drive ที่ตอนนี้มีอาการลำโพงลั่นตอนครึ่งเพลงจนทุกคนเหวอ และทำให้ทีมซาวด์ต้องปิดลำโพงไปชั่วคราว แต่พวกเธอก็ยังเล่นต่อ สปิริตมาก แล้วระบบเสียงก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้งพร้อมกับเสียงตบมือโห่ร้องของคนดู เชื่อไหมว่าพวกนางดูขำและไม่มีอาการเหวี่ยงใด ผิดกับโชว์ที่บ้านเรา แง ก็ carry กันไปจนจบเพลง ต่อด้วย Love is to Die ที่ตอนต้นเพลงกับท้ายเพลงมีการประสานเสียงกันเพราะมาก ขนลุก ก่อนจะเล่น Elephants ที่สเตลล่าหวดกลองไม่ยั้งมือ บอกเลยว่าเต้นมันมาก

แล้วเราก็โดนสะกิด จากพี่ยักษ์ข้างหลังแบบ เออ มึงเต้นมันดีว่ะ ก็กลายเป็นว่าได้เพื่อนติ่งมาเต้นและร้องไปด้วยกัน แล้วเอมิลีก็บอกว่าเพลงที่กำลังจะเล่นต่อไปนี้ต่างกับเพลงเมื่อกี้สุด ไม่เคยเล่นในเฟสติวัลไหนเลยเพราะกลัวทุกคนหลับ แต่ทุกคนจะต้องชอบแน่ นั่นคือเพลง Billie Holiday ซึ่งก็ชอบจริง ขนลุกมากตอนอินโทรขึ้น ประสานเสียงกันเพราะมาก แล้วความฮาคือเจนนี่ร้องคอรัสเกินมาท่อนนึง เธอก็เลยร้องกลบเกลื่อน ฉันรู้ทันนะ มียิ้มแก้เขินด้วย น่าร้าก ก่อนจะต่อที่ So Good ที่เล่นออกมาได้เท่อีกแล้ว กับ Undertow ที่กีตาร์โซโล่ของเทรีซ่าเท่สุด ไปเลย ในช่วง outro นี่ก็เป็นเพลง Chic U ที่ทุกคนแจมกันด้วย เรานึกว่าเพลง New Song ที่เล่นต่อกันจะเป็นเพลงสุดท้ายแล้ว แต่ทันใดนั้นเอง เพลงที่เราไม่คิดไม่ฝันว่าพวกเธอจะเล่นก็ถูกบรรเลงขึ้น วินาทีนั้นเรากรี๊ดลั่นมากกับพี่ยักษ์ แล้วแหกปากร้องกันสองคนจนลุงข้างหน้าหันมามอง (หนูขอโทษ ก็ไม่มีใครร้องเต้นกับหนูเลยง่ะ) คือเพลง Disco/Very ที่คาดหวังจะได้ฟังที่ไทยแต่เขาไม่เล่นแหละค่ะ โอ๊ย ตายได้แล้ว เล่นสดสนุกมากเด้อ ทรงพลังมาก รัก

พอ Warpaint เล่นจบ เราก็รีบวิ่งมาที่เวที Apple Music รอดู Unknown Mortal Orchestra อยากฟังเพลงอัลบั้มใหม่พี่แกมาก อันที่จริงแอบได้ยินเขาซาวด์เช็กเพลง Necessary Evil ไปเมื่อตอนกลางวันละ จนเวลาสามทุ่มครึ่งเป๊ะ วงก็ขึ้นเล่นโดยเปิดที่ Ffunny Ffriends ย้อนอดีตกันเลย ยังเท่ไม่สร้าง จากนั้นก็ตามด้วย To The Sun เพลงจากชุดเก่าอีกเหมือนกัน แต่เพลงนี้รูเบนแกเดินลงมาโซโล่กีตาร์ล่างเวทีอย่างยาวนาน ฝ่าฝูงชนคนดูออกไปกลางที่ยืนแบบการ์ดกับกล้องที่จับภาพตามหาแทบไม่เจอ วุ่นวายพอสมควร ก่อนจะเดินกลับมาขึ้นเวทีและเล่นเพลง Necessary Evil แต่ตอนนั้นเรารอดูเพลงอื่น ต่อไม่ได้เพราะต้องวิ่งไปรอดู Björk ที่เวที Seat (วิ่งไปวิ่งมาเหนื่อยมาก)

ตอนเราไปถึงก็ค่อนข้างช้าแล้ว แบบถ้าอยากอยู่หน้าไม่ควรมาก่อนเวลาเล่น 15 นาที เพราะเวทีแน่นมาก เราเลยเห็นแม่อยู่ไกลลิบ เท่านั้น คนดูที่นี่ดูอินและรอดู Björk กันอย่างจริงจังกว่าที่ Fuji Rock นะ ขณะที่งานนั้นพอแม่เล่นไปได้สักพักก็มีคนเดินออก แต่อันนี้คือแน่นทุกหย่อมหญ้า เพลงฟังยากแค่ไหนก็ดูกันจนจบโชว์ (แต่แอบเห็นตอนท้าย มีคนยอมแพ้ไปเหมือนกัน) ซึ่งโชว์นี้ก็มี Arca มาร่วมแจมด้วยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือนักแสดงร่วมเวทีและนักดนตรีเป่าฟลุต เล่นไวโอลิน เครื่องดนตรีสดต่าง กว่าอีกสิบชีวิต พร้อมพร็อพสุดอลังการละลานตาเป็นต้นไม้ใบหญ้า วิชวลบนจอก็สวยงามมาก ก่อนเริ่มโชว์มีเสียงแมลงร้อง พร้อมตัวหนังสือขึ้นประมาณว่ามนุษย์เรากำลังจะสูญพันธุ์ ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เราเลยทำเพลงขึ้นมาเพื่อพูดถึงสิ่งเหล่านี้ รู้สึกว่าแม่เป็นคนรักและหลงใหลในความงามของสรรพสิ่งบนโลกจริง ทั้งคอนเซปต์เพลง คอสตูมต่าง ก็อิงกับธรรมชาติทั้งสิ้น

อย่างวันนี้แม่มาในชุดกลับดอกไม้สีชมพู เป็นผ้ามัน คล้ายกับพลาสติกนิ่ม โดยเพลงแรกที่เล่นคือ Arisen My Senses จากอัลบั้มล่าสุด Utopia ต่อด้วย The Gate พร้อมวิชวลจากวิดิโอแสนสวย และ Utopia, Blissing Me ซึ่งเพลงหลังนี่เพราะละมุนละไมทำขนลุกน้ำตาไหลได้ง่าย เลย ก่อนจะกลับมาที่เพลง Isobel เพลงดาร์กเท่สุดคลาสสิกของหญิงแกร่งอย่างเธอ ตามด้วย Courtship และเพลงฮิต Human Behavior ภาพที่เห็นตอนนี้คือแฟนคลับที่อายุมากหน่อย ซึ่งน่าจะเป็นมนุษย์รุ่นราวคราวเดียวกับ Björk นี่เต้นโยกกันลืมตัวเลย ต่อกันที่ Tabula Rasa ตอนนี้แหละที่เพิ่งจะเห็นคนทยอยเดินออก คือแม่ขนเพลงชุดใหม่มาเล่นเยอะมากจริง จนบางคนอาจจะเหวอ ไม่เก็ตไปเลย ถึงค่อยกลับมาเล่นชุดเก่า Pleasure Is All Mine และ Wanderlust เพลงใหม่ Features Creatures, Losss, Sue Me แล้วจึงกลับมาที่ชุดก่อนหน้ากับ Notget ซึ่งในโชว์นี้เธอพูด gracias บ่อยมากพอ กับตอนเล่นที่ฟูจิร็อกว่าอาริกาโตะ พอจบเพลงนี้แม่ก็ลงเวทีไปแบบงง ไม่มีอังกอร์ใด คนดูก็ยืนโห่ร้องรอกันอยู่นาน จนไฟเฮาส์เปิดและมีสต๊าฟมาขนพร็อพไปเก็บถึงเข้าใจว่าจบแล้วจริง ไม่รู้สิ เรารู้สึกว่าโชว์เนี้ยบ น่าตื่นตา ครบองค์ประกอบ แต่ไม่ยักขนลุกแบบตอนเล่นกันแค่สองคนกับ Arca แบบที่เคยดูรอบก่อนนี้เลย อาจเป็นเพราะเพลงชุด Utopia มีความอ่อนหวานสวยงามกว่าชุด Vulnicura Live ที่หนักแน่นกว่าซึ่งถูกเอาไปเล่นในทัวร์ปีก่อนก็เป็นได้

เสียดายมากโชว์ที่พลาดในช่วงเช้าเพราะตารางชนกันอย่างไม่น่าให้อภัยก็มีทั้ง Jóhann Jóhannsson tribute, Sparks, The War On Drugs, Lee Fields and the Expressions ส่วนหลังจากโชว์ของ Björk ก็มีวงที่น่าดูอีกมากทั้ง Nick Cave and the Bad Seeds, Fever Ray หรือ Mount Kimbie อยากดูทุกวงที่กล่าวมาเลย  แต่เพราะ Metro วันธรรมดาวิ่งถึงแค่เที่ยงคืน เกรงว่าจะกลับบ้านไม่ได้เพราะพักค่อนข้างไกลจากที่จัดงาน นั่งแท็กซี่คนเดียวต้องค่ารถบานแน่ ก็ต้องกลับบ้านแบบช้ำ ไปด้วยประการฉะนี้

ไว้จะมาเล่าโชว์วันที่ 2 กันต่อ อย่าเพิ่งถอดใจไปก่อน ยาวมาก อีกแน่นอน ฮ่า

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้