Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

Rock Werchter ตะลุยเทศกาลดนตรีช่วงบอลโลก กับไลน์อัพที่เห็นแล้วต้องร้องขอชีวิต

  • Story and photos by EarthG

สวัสดีกันเป็นครั้งแรกครับชาว Fungjaizine กระผมนาย EarthG ครับ และในครั้งแรกนี้เราจะพาทุกคนไประเห็ดเตร็ดเตร่กับหนึ่งในเทศกาลดนตรีที่ถูกมองข้ามจากเหล่านักตะลุยเทศกาลดนตรีในบ้านเรามากที่สุดเทศกาลหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือ Rock Werchter ที่ประเทศเบลเยี่ยมนั่นเอง สาเหตุที่เราบอกว่าเทศกาลนี้ถูกมองข้ามก็เพราะในทุก ๆ ปีนั้นเทศกาลนี้จะมีไลน์อัพที่เมื่อเห็นแล้วจะต้องอุทานขึ้นว่า ‘เฮ้ย มึงไปจับวงพวกนี้มารวมกันได้ยังไงวะ’ แต่กลับไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงมากซักเท่าไหร่ โดยในปีนี้วงที่ได้ขึ้นเป็นเฮดไลน์ก็แค่ Gorillaz, The Killers, Jack White, Pearl Jam, Nick Cave And The Bad Seeds และ Arctic Monkeys เท่านั้นเอง ซึ่งนี่ยังไม่นับเบอร์รอง ๆ อื่น ๆ ที่สามารถไปเป็นเฮดไลน์ของเทศกาลอื่น ๆ ได้สบาย ๆ อีกนะ ดูรายชื่อในโปสเตอร์ไปละกันครับ อิอิ

4 มิถุนายน 2561

ไปครับ เกริ่นมาพอสมควรเรามาเริ่มต้น ระหก ระเหิน ระเห็ด ระเตร็ด ระเตร่ กัน โดยต้องบอกก่อนว่าตอนนี้ผมอาศัยอยู่ในอังกฤษครับ การจะบินไปประเทศยุโรปจึงไม่ลำบากเท่าการบินจากเมืองไทย

ก่อนหน้าที่ผมจะเข้าไปที่เทศกาลผมก็ได้แวะไปเติมที่เมืองอัมสเตอร์ดัมประเทศเนเธอร์แลนด์ก่อน (หมายถึงเติมพลังใจน่ะครับ อิอิ) ก่อนจะนั่งรถไฟไปที่เมืองลูเวนในประเทศเบลเยี่ยม แต่สถานที่จัดงานนั้นอยู่ในเมืองเวิร์ชเตอร์ซึ่งอยู่ห่างจากลูเวนแค่ 20 นาทีหากนั่งรถบัสไปครับ พอถึงปุ๊บผมและพลพรรครักเอ็งทั้งสามหน่อก็ได้ไปต่อคิวขึ้นรถบัสฟรีส่งตรงถึงเทศกาลทันทีเพื่อจะนำของไปเก็บที่เต๊นท์ที่ได้จองไว้

ซึ่งการต่อคิวนั้นเป็นไปอย่างเรียบร้อยและรวดเร็วมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่แถวยาวเหยียดเลย ได้ความมาจากรุ่นพี่ที่ไปด้วยผู้เคยมีประสบการณ์มาแล้วจากปีที่แล้วว่า เทศกาลนี้เป็นหนึ่งในเทศกาลดนตรีที่จัดระบบอย่างดีมาก ๆ แถวยาวขนาดไหนก็รอกันแปบเดียว แถมในตอนรอยังมีบริษัทไอติมเจ้าหนึ่งมาแจกไอติมให้ทานกันฟรี ๆ อีกด้วย ฟินกันไป

ขึ้นรถบัสปุ๊บใจก็เริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเหล่าฝรั่งในรถบัสเริ่มเปิดเพลงจากมือถือเป็นบิลด์อารมณ์กันแล้ว แต่พอไปถึงปากทางเข้าเทศกาล ผมยืนอึ้งไปแปบนึงกับแถวอันยาวเหยียดของผู้ที่จะมานอนเต๊นท์ คิดในใจแย่แน่ ๆ จะต้องรอกันไปถึงกี่โมงเนี่ย แต่มารู้ในภายหลังนั้นว่าเต๊นท์ของผมอยู่อีกฟากนึงซึ่งแถวสั้นกว่า เพราะเป็นฝั่งเต๊นท์ที่เทศกาลกางไว้ให้เรียบร้อย ซึ่งราคาจะสูงกว่าก็เลยรอดตัวกับการต่อคิวไปครับ

จริง ๆ แล้วผมและพลพรรคอีกสองท่านไปถึงหนึ่งคืนก่อนเทศกาลเริ่ม เพราะฉะนั้นคืนแรกนี้พวกเราก็เลยชิล ๆ เดินชมรอบ ๆ เทศกาลกันไป ก่อนจะนั่งรถบัสกลับไปที่เมืองลูเวนเพื่อหาที่ซักผ้า หาเสบียงและนั่งชิมเบียร์เมืองเบลเยี่ยมกันซักหน่อย

พวกเราวกกลับมาถึงที่พักกันในเวลาดึก ๆ ก็พบว่าเต๊นท์เรานั้นโดนขนาบข้างด้วยชาวไอริชซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความบ้าคลั่งในการปาร์ตี้ ชาวไทยอย่างเราก็ไม่ยอมแพ้ครับ เข้าไปทำความรู้จักกันอย่างรวดเร็ว และสนิทกันอย่างรวดเร็วเช่นกัน ค่ำคืนนั้นจึงกลายเป็นการเริ่มต้นกระชับความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านกันไป

5 มิถุนายน 2561

วันนี้เป็นวันแรกของเทศกาลแล้ว หลาย ๆ คนเริ่มเดินทางมาถึงกันในวันนี้ รวมถึงเพื่อนร่วมเต๊นท์ของเราอีกสี่คนด้วย แถวอาบน้ำจึงแน่นขึ้นมา ทางเทศกาลก็มีการแจกบัตรคิวเพื่ออาบน้ำกันไป ก็แฟร์ ๆ ดีครับ พวกเราตื่นกันไม่สายมากเพราะแดดส่องเต๊นท์แรงมาก ๆ แล้วร้อนจัดเลยต้องตื่น ซึ่งดีแล้วครับจะได้มีเวลาชิล ๆ กันอีกหน่อย ก่อนเข้าเทศกาลพวกเราก็เดินไปทานไก่ย่างกันครับซึ่งเป็นไก่ย่างที่ย่างกันในลักษณะเดียวกับไก่ย่างห้าดาวบ้านเราเลย อร่อยใช้ได้ แต่ราคาก็เอาเรื่องตามระเบียบเทศกาลดนตรี

หลังจากนั้นเราก็เริ่มเดินตามเสียงดนตรีกันไปที่ทางเข้าเทศกาลกันล่ะครับ ตรวจแถวกันไม่นานเพราะเราไม่มีของต้องสงสัยติดตัวไป และริสแบนด์ที่แขนก็สามารถเอาไปตรวจกับเครื่องอิเล็กทรอนิกได้เลย สะดวกและรวดเร็วมาก ๆ ครับ

วงแรกที่เราได้ยินเสียงนั้นคือวง Rival Sons ซึ่งเสียงนั้นดังมาจากเวทีหลักที่ตั้งตระหง่านสูงเท่าตึกประมาณ 15 ชั้นเลยทีเดียว อลังการณ์มาก ๆ ณ จุดนี้ผมก็เพื่อนร่วมทีมก็แยกย้ายกันชั่วครู่เพราะผมอยากจะยืนฟังซาวด์ร็อกแอนด์โรลจาก Rival Sons ส่วนรุ่นพี่ของผมจะไปดูวง Gang Of Youths ที่เวที The Barn ซึ่งเห็นบอกว่าเป็นวงของเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนที่ออสเตรเลีย ไม่ได้เจอกันมาสิบปีแล้ว โห มีเพื่อนโตมาเป็นร็อกสตาร์ด้วยหว่ะ เท่จัด อ้อ ลืมบอกไปว่างานนี้มีทั้งหมด 4 เวทีด้วยกันครับ ได้แก่ Main Stage, The Barn, Klub C และ The Slope เรียงจากใหญ่ไปเล็ก

แยกกันได้พักเดียว ผมก็ทนไม่ไหวกับแดดอันแรงจ้าของ Main Stage จึงเปลี่ยนใจไปชม Gang Of Youths ที่เวที The Barns ซึ่งอยู่ในร่มแทน เข้าไปได้พักหนึ่งยังทันเวลาวงเดินขึ้นเวทีพอดี โห ไม่เสียใจครับที่เข้ามา วงเล่นดีกันมาก ๆ โดยเฉพาะนักร้องนำ/กีตาร์ David Le’aupepe ที่เท่ได้ใจมาก ๆ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขามาเล่นกันที่เบลเยี่ยมด้วย ติดตามกันไปยาว ๆ ครับ ซาวด์อัลเตอร์เนทีฟร็อกของพวกเขาเข้าใจไม่ยาก เล่นสดสนุกด้วย แถมช่วงกลางคอนเสิร์ตยังประกาศใส่ไมค์ว่าขอบคุณแฟนเพลงจากเมืองไทย ซึ่งตอนนั้นเขาหันมาเห็นรุ่นพี่ผมที่ยืนหน้าเวทีพอดี ปลื้มกันไปครับ ไม่เจอกันสิบปียังจำกันได้

วงแรกของเทศกาลผ่านไป ผมเริ่มตื่นแล้วครับ เพราะวงต่อไปที่จะไปชมคือ The Vaccines ที่พวกเรารู้จักกันดี โดยงานนี้พวกเขาเล่นกันที่เวทีหลักเลย ก็ไปยืนรอพวกเขากันก่อนที่จะขึ้นเวทีประมาณครึ่งชั่วโมงเพราะไม่มีแผนการณ์จะดูวงใดก่อนหน้านั้นครับ ยืนเม้าท์มอยจิบเบียร์กันได้ไม่นาน สมาชิกของวงก็สาวเท้าขึ้นมาบนเวทีและเริ่มบรรเลงบทเพลงกันเลย ความสนุกของการเล่นสดวงนี้ไม่ต้องสงสัยครับ ซาวด์ของเทศกาลก็เยี่ยมมาก ๆ แต่ด้วยความที่เล่นตอนแดดเปรี้ยง ๆ ผู้ชมอาจจะนิ่งไปซักหน่อยถ้าเทียบกับความสนุกของวง ก็จะมีแต่แก๊งคนไทยนี่แหละครับที่ดีดดิ้นกันเพราะค่อนข้างชินกับอากาศร้อน อิอิ

เป็นเรื่องปกติของเทศกาลดนตรีครับที่การชมวงดนตรีวงหนึ่งแบบเต็ม ๆ อาจจะทำให้เราพลาดอีกวงไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งวงนั้นก็คือ Black Rebel Motorcycle Club นั่นเอง ซึ่งวงนี้เล่นกันที่เวทีรองครับ อะ ไม่เป็นไร ไปหาไรทานก่อน เดี๋ยวกลับมาที่ Main Stage เพื่อรอชม Alice in Chains อีกหนึ่งวงที่หลุดรอดมาจากยุคกรันจ์ครองเมือง โดยวงนี้อย่างที่ทราบกันว่าจะมีซาวด์เป็นเมทัลกว่าวงในยุคเดียวกันไปซักหน่อย พอทางวงเริ่มเล่นก็ไม่ผิดหวังครับ ซาวด์กีตาร์อันดุดันจาก Jerry Cantrell ถูกประเคนมาให้หูดับกันเลยทีเดียว แม้ในตอนแรกผมจะจำหน้าตาแกไม่ได้เลย เพราะไว้หนวดไว้เคราใส่หมวกใส่แว่นมาเต็มที่ แต่เมื่อได้ยินซาวด์กีตาร์แล้ว ไม่ผิดตัวแน่นอนครับ ซาวด์โคตรดีสมคำร่ำลือจริง ๆ

หลังจากช่วงนี้ผมและพลพรรคมีเวลาว่างชั่วครู่นึงก่อนจะไปชม James Bay ที่เวที The Barn โดยเราตัดสินใจที่จะไม่ดู The Script ที่ Main Stage เพราะเคยได้ชมไปแล้วตอนพวกเขามาไทย จึงใช้เวลานี้ไปเล่นเกมที่บูธของเครือข่ายโทรศัพท์แห่งหนึ่งซึ่งเป็นผู้สนับสนุนเฟสติวัลครั้งนี้ โดยเป้าหมายของเราคือหมวกปักลาย Rock Werchter ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพราะถึงแม้เราจะแพ้เกมอันสุดยาก แต่เราก็ได้หมวกมาอยู่ดี ฮ่า

หลังจากนั้น เราจึงได้เดินไปชม James Bay กันที่เวทีรองอย่าง The Barn ซึ่งตอนเข้าไปก็ค่อนข้างสายแล้วจึงได้อยู่ด้านหลัง เห็นพี่ James ตัวเท่ามด แต่ความหล่อและเท่ของพี่แกก็ทะลุมายันประตูทางเข้าเลยทีเดียว เพลงดัง เพลงเพราะขนมาหมด แฟน ๆ ฟินกันไปแบบเต็ม ๆ แอบแซวนิดนึงว่าโชว์ของพี่ James Bay นี้อย่างกะงานโชว์เครื่องดนตรี เพราะพี่แกเปลี่ยนกีตาร์ทุกเพลงจริง ๆ แล้วแต่ละตัวก็สวย ๆ ทั้งน้านนนน

ต่อมาเราก็มีนัดกันที่ Main Stage อีกรอบกับสองวงรองเฮดไลน์และเฮดไลน์ของค่ำคืนนี้นั่นคือ Queens Of The Stone Age และ Gorillaz ตามลำดับ ซึ่งเมื่อเราเดินมาถึง Main Stage ได้ไม่นาน ซาวด์กีตาร์อันดุดันจาก Josh Homme และพลพรรคก็ดังขึ้นแล้ว ยอมใจในเรื่องของซาวด์ในเฟสติวัลนี้เลยครับ ไม่ว่าจะยืนอยู่ตรงไหนก็ดีหมดทุกจุดจริง ๆ โดยเฉพาะเสียงสแนร์จากกลองชุด ปักเข้ากลางขั้วหัวใจจริง ๆ โชว์ของ QOTSA นั้นเรียกได้ว่าครบเครื่องครับ ถึงแม้จะเป็นวงที่มีซาวด์ดุ ๆ แต่ความฮาก็เกิดขึ้นตลอดเวลา เช่น อยู่ ๆ ก็มีผู้ชมที่ใส่ชุดสไปเดอร์แมนแบบเต็มยศโผล่เข้ามาในกล้องจนพี่ Josh เห็นแล้วเรียกให้ทุกคนช่วยกันดันพี่สไปดี้ขึ้นไปเต้นบนเวทีและสุดท้ายก็ได้สิทธิไปปาร์ตี้กับวงอีกด้วย เฉียบไปอีก คุ้มค่าชุดสุด ๆ

ยังไม่ทันจบโชว์ของ QOTSA พวกเราก็รีบไปต่อแถวด้านข้างเวทีกันแล้ว เพื่อรอชม Gorillaz วงดนตรีแอนิเมชันบรรลือโลก เพราะการที่จะได้เข้าไปโซนด้านหน้าเวทีนั้นจะมีการกั้นเกิดขึ้นและมีโควต้าการปล่อยคนเข้าไปเพื่อกันคนล้น หากคนด้านในออกไม่หมดจะไม่มีการปล่อยคนเข้าไปเด็ดขาด พวกเราจึงต้องวางแผนกันนิดนึง และเป็นไปตามแผนครับเพราะเราได้เข้าไปเกือบหน้าสุดกันทีเดียว

ระหว่างรอก็ยืนชมการเปลี่ยนไฟ การปรับเปลี่ยนเครื่องดนตรีกันเพลินเลย เพราะพวกพี่แกเปลี่ยนยกเซ็ตเพื่อให้สมศักดิ์ศรีเฮดไลน์ รอได้ซักครึ่งชั่วโมงไฟก็ดับลง เท่านั้นหล่ะครับ ความสนุกก็เริ่มขึ้น การดูโชว์ของ Gorillaz นั้นก้าวข้ามความเป็นแค่วงดนตรีไปแล้ว เพราะเหมือนการชมการแสดงมากกว่า ทั้งวิชวล ทั้งไฟ ทั้งบทเพลง หรือแม้กระทั่งการแสดงของนักดนตรีที่ทั้งเดินหรือเต้นก็ดูเหมือนเป็นลิงไปซะหมด รวมไปถึงน้า Damon Albarn แกนนำของวงด้วย แกเดินแบบเนิบ ๆ เหมือนลิงรุ่นใหญ่ เอ็นเตอร์เทนแฟนเพลงด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา ไม่มีช่วงที่เราเบื่อเลยแม้แต่วินาทีเดียว บางช่วงที่ทางวงมีการเอา mv มาเปิดไปพร้อมกับการเล่นสด พวกเราก็ยืนลุ้นกับเรื่องราวใน mv กันตัวโก่งเลย เหมือนเราได้เข้าไปอยู่ในโลกของพวกเขาอย่างเต็มตัว นอกจากตัว Damon จะเป็นนักร้องหลักพร้อมหยิบเครื่องดนตรีมากมายมาเล่นแล้ว ทางวงยังได้ทำการสลับเอาแร็ปเปอร์มากหน้าหลายตามาร้องมาเต้นกันบนเวทีอย่างสนุกสนาน เรียกได้ว่าจะไปโชว์ที่ไหนแทบจะต้องเหมาเครื่องบินกันเลยทีเดียว

พวกเราจบค่ำคืนนี้กันด้วยโชว์จาก Gorillaz และความอ่อนเพลีย จึงได้เดินไปหาอะไรรองท้องก่อนเข้านอนและหลับไปพร้อมตื่นมาสู้กันต่อในวันรุ่งขึ้น

6 มิถุนายน 2561

พวกเราตื่นขึ้นมาในเวลาประมาณสิบโมง ยังรู้สึกนอนไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่ แต่แดดที่แผดเผาเต๊นท์ของเราทำให้รู้สึกว่าเรานอนกันไม่ได้แล้ว จึงดันตัวเองขึ้นมาไปต่อคิวอาบน้ำ ก่อนจะพบว่าคิวยาวมากก เอาวะ รอก็รอ เพราะต้องอาบ จะได้ไปชมคอนเสิร์ตอย่างสดชื่น รอกันไปสามชั่วโมงได้ก่อนจะได้อาบน้ำด้วยเวลาสิบนาที แต่งตัวกันพร้อมลุย

เราเข้าเฟสติวัลกันไปประมาณบ่ายสองโมงครึ่งก็ได้ยินเสียงเพลงที่เราไม่คุ้นหูจากวงที่มีชื่อว่า Air Traffic เล่นอยู่ที่ Main Stage พวกเราพร้อมใจกันเดินเข้าไปฟังทันที โอ้ให้ตาย วงอะไรเนี่ยทำไมไม่เคยได้ยินมาก่อน (ใครที่รู้จักก็ขออภัยด้วยครับ) ฝีมืออันจัดจ้านกับการบรรเลงเปียโนผสมกับซาวด์อันดุดันจากกลองชุดและกีต้าร์ไฟ้าทำให้เรานึกถึงวงอย่าง Coldplay ผสมกับ Muse ขึ้นมาทันที หากใครอยากฟัง Muse ในเวอร์ชั่นชิล ๆ ขอแนะนำวงนี้เลยครับ สุดจริง ๆ ผมว่านี่คือเสน่ห์ของการเข้าชมเฟสติวัลครับ เรามักจะได้วงโปรดกลับบ้านไปอย่างนึกไม่ถึงเสมอและ Air Traffic ก็เป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องลังเลเลย

แต่เสียดายที่เรายังดูไม่ทันจบดีก็ต้องวิ่งไปที่เวทีเล็กสุดอย่าง The Slope ที่มีวงอย่าง Wolf Alice ขึ้นเล่น เราก็แอบงงๆเหมือนกันว่าทำไมวงขนาด Wolf Alice ถึงไปเล่นเวทีเล็กสุดเพราะชื่อชั้นสามารถไปขึ้นเวทีรองได้ทีเดียว และโชว์ของพวกเขายาวแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งสั้นมาก ๆ แต่เราก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้และวิ่งไป ก่อนจะได้ชมประมาณสามเพลงสุดท้ายก็ถือว่าโอเคแล้ว เวทีเล็กสุดนี้ซาวด์ไม่ค่อยลั่นครับทำให้รู้สึกว่ายังไม่เต็มอิ่มกับโชว์ของวงเท่าไหร่ อาจจะต้องมีการซ้ำในภายภาคหน้าแน่นอน

ส่วนตอนนี้เรามีนัดกับ The Kooks ที่เวทีหลักครับ พวกเราเลือกจะไปยืนกลางๆเพราะไม่อยากเบียดมาก ซึ่งอย่างที่บอกไปว่าในเรื่องของซาวด์นั้น ยืนด้านหลังก็สามารถเต็มอิ่มได้เพราะซาวด์ในงานนั้นดีทุกจุดจริง ๆ ยืนรอพร้อมเติมเบียร์เข้าร่างได้ไม่นาน ทางวงก็เดินขึ้นมาประเคนความสนุกให้กับผู้ชมอย่างเต็มที่ ไม่น่าเชื่อว่าบทเพลงสนุก ๆ ของวงทำให้บรรยากาศรอบข้างเย็นลงได้อย่างเหลือเชื่อครับ สนุกกันมากๆเลยทีเดียว เพลงจากอัลบั้มใหม่และอัลบั้มเก่าถูกประเคนออกมาอย่างครบถ้วน ใจจริงผมชอบอัลบั้มใหม่มากๆเลยนะ ใครยังไม่ได้ฟังขอให้ลองครับ

ช่วงเวลาหลังจาก The Kooks เล่นนั้นพวกเราไม่ได้มีวงใดอยากจะชมเป็นพิเศษ จึงไปนั่งพักกันใต้ร่มไม้ครับ ซึ่งก็แอบหลับไปท่ามกลางเสียงดนตรีนั่นแหละครับ เรียกได้ว่านอนกลางดินกินกลางทรายเลยทีเดียว นอนเรียกพลังกันได้ซักพัก พวกเราก็เดินเข้าเวที The Barn ไปเพื่อชมวงขวัญใจอย่าง CHVCHES ซึ่งจริง ๆ แล้วผมเคยดูตอนพวกเขาและเธอมาแล้วรอบนึง แต่ขอซ้ำอีกซักรอบก็แล้วกันเพราะเพลงใหม่ ๆ ของทางวงนั้นโดนใจใช้ได้เลย

พวกเราเดินเข้าไปก็พบว่าฮอลที่เล่นแอบโล่ง ๆ แฮะ ซึ่งเหตุผลก็คือในวันนี้ทีมชาติเบลเยี่ยมเข้ารอบฟุตบอลโลกมาแข่งในวันนี้พอดีครับ ซึ่งในงานวันนั้นก็แน่นอนว่าผู้ชมคอนเสิร์ตใส่เสื้อทีมชาติเพื่อมาเชียร์กันในงานกันเยอะมาก ๆ หลาย ๆ คนคงไปจับจองที่หน้าทีวีจอยักษ์ที่ทีมงานจัดไว้ให้เพื่อเชียร์ทีมโปรดกันแล้ว ส่วนพวกเราก็กะว่าเดี๋ยวค่อยตามไปแล้วกัน ชมดนตรีก่อน ซึ่งทาง CHVRCHES ก็เล่นได้ตามมาตรฐานครับ ถึงคนจะไม่เยอะแต่ทางวงก็เต็มที่ โดยเฉพาะ Lauren นักร้องสาวนั้นก็เฉิดฉายความน่ารักของเธออย่างไม่เสื่อมคลายและมีการพูดขอบคุณแฟนเพลงของเธอด้วยที่เลือกมาชมวงแทนที่จะไปจับจองที่ชมฟุตบอล เธอเลยจะตอบแทนด้วยการบอกสกอร์ของการแข่งขันเป็นระยะ ๆ แล้วกัน เอ้ออ เอาใจกันโคตร ๆ แต่อย่างไรก็ดีพวกเราบางส่วนชมกันไม่จบครับเพราะจะไปดูบอลนี่แหละคร้าบบบ แหะ ๆ

พวกเราได้เดินไปใกล้ ๆ กับเวที The Slope เพื่อชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกกัน ซึ่งในนัดนี้ทีมชาติเบลเยี่ยมจะเจอกับคู่แข่งสุดหินอย่างบราซิลครับ ตอนที่พวกเราไปถึงนั้นไม่สามารถเข้าใกล้จอฟุตบอลได้เลยครับ มองไม่เห็นจอจริงๆ ยากยิ่งกว่าดูวงซักวงในเฟสติวัลเสียอีก เลยใช้วิธีการยืนชมบรรยากาศเอา ซักพักเราเพิ่งรู้ว่าวง Snow Patrol ที่เล่นอยู่ที่เวทีหลักนั้นเลิกเล่นก่อนประมาณ 10 นาทีเพื่อให้แฟนเพลงไปชมบอล แต่ผมเชื่อว่าพวกเขาเองนั่นแหละครับที่อยากดู ฮ่า

เชื่อมั้ยครับ ในวันนั้นเบลเยี่ยมชนะ คนทั้งเฟสติวัลดีใจกันมาก ๆ เลยทีเดียว บรรยากาศคึกคักขึ้นทันตา นี่คือความหัศจรรย์ของดนตรีและกีฬาที่มาผสมรวมกันอยู่ ณ ที่นี้ครับ มันตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก เมื่อได้อยู่ในดินแดนของทีมที่กำลังแข่งกันอยู่ ณ อีกฟากนึงของโลก ไม่ใช่ว่าไปเทศกาลไหนก็จะเจอแบบนี้ครับ เราโชคดีจริง ๆ (แม้ต่อมาเบลเยี่ยมจะแพ้ให้กับฝรั่งเศสก็ตาม แหะ ๆ)

เมื่อฟุตบอลจบปุ๊บ เราก็รีบวิ่งไปที่เวที KluB C ทันทีเพื่อจะชม Franz Ferdinand แต่โถววว คนเต็มครับ ทีมงานห้ามเข้าเลยและก็ไม่คิดว่าจะได้เข้าไปชมด้วยเพราะแฟนเพลงคงเหนียวแน่นไม่เดินออกกันอย่างแน่นอน เราจึงตัดใจ เดินไปที่เวที The Barn เพื่อจะชม Anderson .Paak & The Free Nationals แทน บอกตรง ๆ ว่าผมไม่เคยรู้จักวงนี้มาก่อน เพราะปกติแล้วจะเป็นสายร็อก แต่ Anderson .Paak & The Free Nationals ก็เล่นกันซะทำให้ผมต้องอึ้งเลย โดยเฉพาะ Anderson Paak นั้นทั้งร้อง ทั้งแร็ป ทั้งเอ็นเตอร์เทน แถมไปตีกลองอีก โอ้แม่เจ้า คนอะไรครบเครื่อง เห็นแว่ว ๆ ว่าจะแวะมาไทย บอกเลยว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ

พวกเราดูยังไม่ทันจบดีก็ต้องรีบวิ่งไปที่ Main Stage เพื่อจะจับจองที่ชมวงที่เราเติบโตมากับเพลงของพวกเขาอย่าง The Killers ซึ่งรับหน้าที่เฮดไลน์ในค่ำคืนนี้ เราตกลงกันแล้วว่าคงไม่เข้าไปหน้ามากเพราะอยากจะได้พื้นที่เต้นยับกันซะหน่อย อิอิ แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ แต่ละเพลงที่ประเคนมาเต้นยับบบบ บนเวทีก็ตกแต่งกันสมศักดิ์ศรีเฮดไลน์มาก ถึงแม้จะขาดสองสมาชิกอย่าง Mark Stoemer มือเบสและ Dave Kuening มือกีต้าร์ไปก็ไม่ทำให้ความสนุกของวงลดลงเลย แต่แอบมีดราม่าเกิดขึ้นตอนกลางคอนเสิร์ตนิดหน่อย เมื่อมีแฟนเพลงกลุ่มนึงยกป้ายอันใหญ่ยักษ์ว่าจะขอไปตีกลองหนึ่งเพลง พี่ดอกไม้ Brandon ก็ดีใจเพราะเกิดมาไม่เคยเจอ ก็เลยอนุญาติให้ขึ้นมาแจมกลองในเพลง For Reasons Unknown จากอัลบั้ม Sam’s Town แต่ด้วยความเมาหรือความตื่นเต้นอะไรก็ตาม แฟนเพลงคนนั้นไม่สามารถตีได้ครับ! ยังไม่จบอินโทรด้วยซ้ำ พี่ Brandon ก็ไล่ลงเลย แถมส่ายหัวพร้อมประกาศใส่ไมค์ว่าให้มือกลองตัวจริงขึ้นมาตีต่อ ซึ่งเขาก็บอกแฟนเพลงว่ามาเจอของจริงกันดีกว่า หืม ถ้าผมเป็นแฟนเพลงคนนั้นคงฝันร้ายไปทั้งชีวิต แต่ก็อย่างว่าแหละ คุณต้องพร้อมจริง ๆ นะก่อนจะมั่นใจเบอร์นี้ได้ พี่ Brandon ไม่ได้ใจดีเหมือน Dave Grohl แห่ง Foo Fighters เด้อออ

ส่วนหลังจากนั้นก็มีแต่ความสนุกล้วน ๆ แล้วครับ ปิดงานกันไปด้วย Mr.Brightside ตามระเบียบ โอ้ยยย ดีใจมากเลยที่ได้ชมซักที และเราก็เดินกลับเต๊นท์ด้วยความอ่อนล้าอีกเช่นเคย แต่เอ๊ะ เราแอบได้ยินเพลงดังมาจากเวที Control ซึ่งเป็นสถานที่จัดอาฟเตอร์ปาร์ตี้ แวะไปหน่อย ๆ ก็ได้ โอ้โห อยู่ยาวเลยครับ ลืมความเหนื่อยไปเลยเพราะเปิดเพลงสนุกมาก ยื่งบอลเพิ่งชนะมาด้วย เราก็อยู่ตรงนั้นจนหมดแรงจึงเดินกลับไปนอนที่เต๊นท์ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ และหลับเป็นตาย

7 มิถุนายน 2561

วันนี้เราขอยกให้เป็นวันพักของพวกเรา เพราะดูแล้วแต่ละวงที่เราอยากดูนั้นไม่ใช่วงที่จะสามารถเต้นไปด้วยได้มากมาย เราตื่นกันเวลาใกล้ๆเดิมด้วยแสงแดดที่แผดเผาเต๊นท์เรา วันนี้คิวอาบน้ำไม่นานครับ จึงมีเวลานั่งชิล ๆ ที่บาร์แถวที่พักเราซะหน่อย รอสาว ๆ อาบน้ำเสร็จปุ๊บ เราก็เดินเข้าเฟสติวัลเพื่อจะชมอีกวงที่เราเติบโตมากับเพลงของพวกเขา นั่นก็คือ Streophonics นั่นเอง

เราผ่านประตูไปได้ไม่นานเสียงเพลงของวงก็ดังเข้ามาในโสตประสาทเพราะทางวงเล่นกันที่ Main Stage พวกเราไม่รอช้า เดินเข้าไปยืนชมกันอย่างสุขใจ แต่ด้วยความที่ผ่านช่วงเที่ยงมาได้ไม่นาน (ประมาณบ่ายสาม) แล้วยิ่งเล่นกลางแจ้งด้วย ผู้ชมอาจจะดูนิ่ง ๆ กันไป แต่ทางวงก็เล่นกันอย่างเต็มที่นะครับ ซาวด์กีตาร์ดิบ ๆ นี่หาไม่ค่อยได้แล้วในวงยุคปัจจุบัน สะใจวัยรุ่นยุค 2000 อย่างผมยิ่งนัก เพลงดังจากอัลบั้มใหม่และเก่าถูกเล่นออกมาสมใจแฟนเพลง ปิดท้ายกันไปด้วย Dakota อีกหนึ่งเพลงโปรดในชีวิตผม แค่นี้ก็สุขใจแล้วครับ

ในช่วงนี้พี่ ๆ ในทีมขอแยกย้ายไปดูวงที่ตัวเองอยากชม ส่วนตัวผมขอปักหลักอยู่ที่ Main Stage เพื่อชมวงร็อคสุดโปรดของผมอีกวงนั่นก็คือ Stone Sour ซึ่งมีนักร้องนำคือ Corey Taylor คนเดียวกับนักร้องนำวงเมทัลหน้ากาก Slipknot นั่นเอง วงนี้ไม่ใช่ Side Project ของเขาครับแต่เป็นวงที่เขาตั้งใจทำอย่างเต็มตัวควบคู่กับ Slipknot เลย ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของผมแล้วกับการชมวงนี้ ซึ่งทางวงเล่นกันอย่างเต็มที่ครับ ตัวผมเองก็เข้าไปเกือบหน้าสุดของเวทีเลย แต่ส่วนตัวแล้วชอบตอนที่ได้ชมพวกเขาที่เมือง Leeds ประเทศอังกฤษมากกว่าเพราะเป็นอินดอร์ซึ่งเหมาะกับเพลงร็อกหนัก ๆ ของวงมากกว่า พวกไฟต่างๆก็ได้ทำงานของมันอย่างเต็มมากกว่าเฟสติวัลเอ้าดอร์แบบนี้ ซึ่งก็ไม่ได้ติดใจอะไรครับ ได้เจอพี่ Corey ใกล้ ๆ อีกครั้งก็สุขใจแล้ว แถมพี่แกใส่เสื้อ Britney Spears ขึ้นมาบนเวทีเอาฮาด้วย ยิ่งรักเข้าไปใหญ่เลย

อย่างที่บอกไปในช่วงต้นว่าผมถือว่าวันนี้เป็นวันพักของผมและทีม เพราะหลังจาก Stone Sour เล่นแล้วผมก็ไม่ได้เดินไปดูวงไหน ก็ไปหาที่นั่งพักจิบน้ำนู่นนี่นั่นกันไป แล้วหาที่นั่งไกล ๆ เพื่อฟังเพลงจากพี่ Jack Johnson ซึ่งในช่วงเย็น ๆ พระอาทิตย์ตกสวย ๆ บรรยากาศมันช่างยอดเยี่ยมเสียจริง ๆ เชียว แต่แล้วผมก็ดูไม่จบครับ เพราะรู้สึกหิวเลยไปหาอะไรทานก่อนจะมีทราบภายหลังว่าในโชว์นี้ได้ Eddie Vedder ซึ่งจะขึ้นร้องกับ Pearl Jam ในคืนวันนี้มาแจมด้วย แหม มันช่างน่าเสียดาย แต่ไม่เป็นไรครับ ความหิวมันครอบงำ ฮ่า

ผมไปรวม ๆ กับพลพรรคได้สักครู่ นั่ง ๆ นอน ๆ กันไปก็ถึงเวลาไปชมสุดยอดมือกีตาร์อย่าง Jack White กันแล้ว ซึ่งพี่แกเล่นที่ Main Stage ครับ ตัวเวทีไม่ต้องจัดแจงอะไรมากมาย ซัดกันแบบดิบ ๆ ส่วนใหญ่จะเล่นเพลงจากอัลบั้มเดี่ยวของแกครับ ซึ่งเอาจริง ๆ หาจังหวะเต้นกันไม่ถูกเลย จึงได้ยืนชมฝีมือการเล่นกีต้าร์ของแกไป ซึ่งก็รู็สึกว่า โลกนี้มีซาวด์แบบนี้แค่คนเดียวจริง ๆ ครับ เป็นบุญเหลือเกินที่ได้ชม เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้เข้าไปชมใกล้ ๆ เผื่อจะได้ซึมซับเอาฝีมือมาบ้าง

จบจาก Jack White พวกเราก็ไม่ไปไหนไกลครับเพราะเรามีนัดกับอีกวงระดับตำนานอย่าง Pearl Jam ซึ่งผมมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าคนเยอะกว่า The Killers เมื่อคืนอีกครับ Pearl Jam นี่ถูกใจชาวยุโรปจริงๆ แฟนเพลงรุ่นใหญ่เกือบทั้งงาน วง Pearl Jam ก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับ ซัดกันอย่างเต็มเหนี่ยว น้า Eddie Vedder ก็เดินผสมวิ่งไปทั่วเวที อาจจะไม่ได้โลดโผนเหมือนตอนยุค 90s เหมือนที่เราติดภาพกัน แต่กับวงที่อายุมากแล้ว ยอมใจมาก ๆ เลยครับ แถมน้า Eddie ยังเอาโพยที่แปลเป็นภาษาเบลเยี่ยมมาอ่านเอาใจแฟนเพลงเป็นพัก ๆ อีกต่างหาก เรียกได้ว่าได้ใจแฟนๆกันไปเต็มๆ ส่วนช่วงท้าย ๆ ของโชว์นั้น Jack Johnson ได้ขึ้นมาแจมในช่วงอะคูสติก โดยทางวงได้เล่นเพลง Imagine ของ John Lennon เรียกได้ว่าขนลุกมาก ๆ เพราะไม่เคยได้ยินเพลงนี้ในท่ามกลางฝูงชนหมู่มากขนาดนี้มาก่อนเลยครับ หลังช่วงอังกอร์นั้นเป็นช่วงที่ผมชอบมากที่สุดเพราะทางวงเล่นเพลง Alive เพลงโปรดที่สุดของผมจาก Pearl Jam เมื่อหันไปมองรอบๆก็ค้นพบเลยว่าดนตรีนี่แหละคือสิ่งที่ทำให้ผมยังอยากจะมีชีวิตอยู่ คงเหมือนหลายๆคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้แหละครับ อีกเพลงที่ไม่คาดคิดว่าทางวงจะเล่นก็คือ Baba O’Riley จากคณะ The Who ซึ่งก็เป็นเพลงโปรดของผมอีกเพลงนึงครับ จบค่ำคืนนี้ไปด้วยความประทับใจและไม่เหนื่อยมาก พร้อมจะปิดท้ายกับเทศกาลในวันสุดท้ายอย่างเต็มที่

8 มิถุนายน 2561

วันนี้เราตื่นกันขึ้นมาด้วยความสดชื่น พลังเต็มเปี่ยม น่าจะเป็นเพราะความตื่นเต้น เหตุเพราะหลาย ๆ วงที่เราคาดหวังเอาไว้ เราจะได้ดูกันก็วันนี้แหละ แต่ด้วยคิวอาบน้ำที่เริ่มกลับมาช้าอีกครั้งทำให้เราพลาดวงในช่วงบ่ายไป อย่างเช่น PVRIS และ Albert Hammond Jr ไป แต่ไม่เป็นไรครับ มีอีกหลายวงคอยปลอบใจเราอยู่

เราเข้าไปถึงเฟสติวัลในช่วงเวลาใกล้ ๆ บ่ายสาม จึงรีบบึ่งไปที่เวที KluB C เพื่อจะดูวงอย่าง Sigird แต่อนิจจา คนแน่นจนผู้คุมประตูไม่ให้เราเข้าไปซะแล้ว ก็เลยต้องยืนฟังและเต้นจากหน้าประตูไป แล้วก็รู้สึกเสียดายอยู่ในใจเพราะมันดีมาก ๆ ได้แต่ทำใจถ้ามีโอกาสหน้าคงไม่พลาดแน่นอนครับ เมื่อรู้ว่าไม่ได้เข้าไปแน่นอนจึงตัดใจเดินไปที่เวที The Barn เพื่อจะชม George Ezra อีกหนึ่งศิลปินฟังสบายในแบบทรอปิคัล ที่มาแรงแห่งยุคนี้ แต่เอาอีกแล้ว!! เต็มครับ!! ยืนเต้นข้างหน้ากันต่อไป ฮืออ พลาดอีกแล้ว ยืนเต้นหน้าประตูกันต่อไป ก็ยืนฟังจนจบแล้วก็ได้แต่อิจฉาคนที่ได้เข้าไปในนั้น ทดไว้ในใจก่อน มีโอกาสคงได้เจอกันอีกครับพี่ George

ผมมีเวลาว่างอยู่แปบนึง จึงได้ไปเดินเล่นแถวเวที The Slope เพราะอยากลองหาวงที่ไม่ได้คาดหวังดูบ้างก็พบว่ามีวงที่ชื่อ Idles เล่นอยู่ ไปถึงก็ผงะเลยครับเพราะมือกีตาร์ของวงใส่กางเกงในเล่นอยู่ ผ่าม! ไม่ได้ตบมุขครับ แต่เรื่องจริง ดนตรีพังก์เต็มสูบถูกประเคนออกมา ความบ้า ความเดือด มาเต็ม ผมก็ยืนดูจนจบ เพราะพวกเขาไม่ใช่แค่ฮาอย่างเดียว ฝีมือก็มาเต็ม ผู้ชมก็สนุกขึ้นเรื่อย ๆ นี่แหละครับเสน่ห์ของเฟสติวัล เราจะได้เจอกับอะไรที่ไม่คาดหวังเสมอ

หลังจากนั้นผมก็เดิน ๆ แวะไปที่ Main Stage แปบนึงเพื่อยืนชมวง Eels วงนี้เป็นอีกวงที่สามารถชมต่อจาก Idles ได้เลยด้วยความกวนของสมาชิกวงและความสนุกของดนตรี แต่ด้วยอากาศร้อนจนเกินไปทำให้ผมต้องตัดใจวกกลับมาที่ The Slope อีกครั้ง เพื่อชมวง The Amazons วงอัลเตอร์เนทีฟร็อกที่ผมค้นพบใน Spotify ก็เล่นได้มาตรฐานดีครับ แต่ชอบในแบบ audio มากกว่า อาจจะเพราะทางวงยังไม่ค่อยมีประสบการณ์มากนัก ให้กำลังใจครับ อีกหลาย ๆ ปีหากไม่แยกย้ายกันก่อนคงได้เจอกันอีก ดูไปได้สามเพลงก็ได้รับโทรศัพท์จากทีมผมให้วิ่งไปที่ Main Stage เพื่อเข้าเฝ้าพ่อ Noel Gallagher และพลพรรค High Flying Birds ถึงแม้จะเคยดูโชว์ของป๋าที่ไทยไปเมื่อนานมาแล้ว แต่ครั้งนี้ผมก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี เพราะชอบอัลบั้มใหม่มาก และป๋าก็ปรับโชว์ไปเยอะเหมือนกันจากที่ดูมาใน Youtube

แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ บทเพลงจากทั้งสามอัลบั้มถูกเล่นออกมาอย่างเต็มอิ่ม โดยเฉพาะอัลบั้มใหม่นั้นมีเครื่องเป่าเข้ามาแจม สนุกมากๆครับ แม้ป๋าจะนิ่งๆแต่ดนตรีที่เล่นออกมานั้นดีมากๆ อีกหนึ่งคนที่ผมตั้งใจมาเชียร์ในโชว์นี้คือคุณป้ามือกรรไกรมหากาฬครับ ซึ่งกล้องจับไปที่เธอบ่อยมาก ตลกดี และแน่นอนว่าบทเพลงของ Oasis ที่แฟนเพลงคาดหวังก็ถูกเล่นออกมาด้วย โดยเฉพาะ Wonderwall ที่ป๋า Noel พยายามจะเปลี่ยนเมโลดี้เพื่อไม่ให้ซ้ำกับน้องชายของตัวเอง แต่เสียงของแฟนเพลงที่ดังลั่นก็กลบแทบมิดเลยล่ะครับ อิอิ และสุดท้ายกับ Don’t Look Back in Anger ถ้าเพลงนี้ไม่เล่นก็จลาจลแน่นอน ซึ่งเพลงนี้ถูกจัดออกมาให้เป็นเวอร์ชั่นอคูสติกครับเพราะไปอีกแบบ ตอนแรกนึกว่าจะจบตรงนี้แล้ว แต่เปล่าเลย ป๋ากลับปิดท้ายด้วย All You Need Is Love ของ The Beatles ที่ในท่อนเริ่มป๋าทำท่าตะเป๊ะคนดูด้วย น่ารักจริง ๆ เรียกได้ว่าคิดไม่ผิดเลยที่มาดูโชว์นี้ มันนิ่ง ๆ เรื่อย ๆ แต่อิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ ครับ

มองดูนาฬิกาตอนนี้ก็พบว่าเรายังพอมีเวลาไปที่เวที The Barn กับโคตรพ่อ industrial rock อย่าง Nine Inch Nails นั่นเอง ตัดอารมณ์กันสุดขั้ว พอเราไปถึงก็เป็นช่วงท้าย ๆ โชว์ครับ บรรยากาศกำลังเดือดอย่างเต็มที่ ถึงแม้ผมจะไม่ใช่แฟนเพลงของวง แต่ยอมรับจริง ๆ ว่าพวกเขาเล่นสดได้โหด เดือด และสนุกสุด ๆ ผมนี่โยกคอเคล็ดเลยทีเดียว อยากกลับไปดูที่ไทยมาก ๆ ครับ ใครซื้อบัตรแล้วก็ขอให้รู้ว่าคุณคิดถูกแล้ว ส่วนใครยัง รีบเลยครับ ไม่งั้นคุณจะพลาดแบบสุดขีด

หลังจากนี้เราก็เหลือเพียงวงเดียวที่รอชมแล้วก็คือ Arctic Monkeys นั่นเอง เราพูดคุยกันตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแล้วว่าเราจะรีบไปต่อคิวกันตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งนั่นก็คือช่วงที่ Nick Cave and The Bad Seeds เล่นอยู่ แต่อย่างไรก็ดีในช่วงที่ Nick Cave and The Bad Seeds เล่นอยู่ถึงแม้เราจะไม่ได้ตั้งใจดูก็ค้นพบว่า นี่คืออีกหนึ่งวงที่พวกเราควรจะให้ความคารวะเพราะเป็นวงดนตรีระดับตำนานอีกวงหนึ่งของโลก ขอจดไว้ก่อนแล้วกันครับ ถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอกันนะครับลุง

ก่อนถึงเวลาที่ Arctic Monkeys ผมกับเพื่อนได้พลัดหลงกันทำให้ผมจำใจมายืนดูทางวงเล่นคนเดียว แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะเป้าหมายคือเสียงดนตรี แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ พี่ Alex Turner และเหล่าลิงขั้วโลกประเคนเพลงใหม่เก่าจัดมาอย่างเต็มที่ ซาวด์ก็ดีถึงขีดสุด ถึงแม้จะแอบหงุดหงิดกับลีลาของพี่ Alex เป็นระยะ ๆ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ได้เจอตัวเป็นๆก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว การได้มาดูโชว์ของ Arctic Monkeys ในช่วงนี้ผมถือว่ากำลังเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของวงอย่างแท้จริงครับ ถ้าได้มาดูช่วงอัลบั้มที่แล้วอย่าง AM นั้นคงจะเป็นอีกแบบหนึ่งเพราะบทเพลงของวงยังถูกขับเคลื่อนด้วยซาวด์กีตาร์อันดุดันอยู่ ส่วนในช่วงนี้เป็นช่วงอัลบั้มที่ทางวงนำเสนอเสียงเปียโนและดนตรีที่มีความหน่วงแตกต่างจากอัลบั้มก่อน ๆอย่างเห็นได้ชัด ผลสรุปคือถึงแม้หลาย ๆ เพลงที่เป็นเพลงร็อกในยุคแรก ๆ ของวงจะถูกเล่นออกมาเอาใจแฟนเพลง แต่มันจะมีความหน่วงอยู่ในนั้นเพื่อให้ทั้งโชว์เป็นไปในทางเดียวกันซึ่งอันนี้ทุกคนที่ไปด้วยแอบสังเกตุเห็นเหมือนกัน แต่อย่างที่บอกไปครับ เราคงทำอะไรไม่ได้แล้วเมื่อทางวงเลือกจะนำเสนอออกมาในรูปแบบนี้ สุดท้ายแล้วแผนการณ์ที่เราจะเต้นยับส่งท้ายกับ Arctic Monkeys จึงตกไปครับ ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี แต่อาจจะไม่ถูกจริตเราเท่านั้นเอง

คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของพวกเราในเทศกาลแล้วครับ ในตอนแรกเราวางแผนจะไปต่อกันที่อาฟเตอร์ปาร์ตี้ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาถึงห้าวันก็ทำให้เราเลือกจะกลับที่พักของเรา เพื่อนอนอย่างสงบ ๆ ดีกว่า

จบสิ้นแล้วครับกับทั้งห้าวันของการเดินทางในเทศกาล Rock Werchter และสี่วันที่ได้ชมดนตรีแบบเต็มอิ่ม ขอบคุณที่อ่านกันมาถึงตรงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้รู้จักกัน ยังไงถ้ามีโอกาสเราคงได้พบกันใหม่นะครับ สวัสดีครับ

Facebook Comments

Next: