Soft Rock Renegade เมื่อความย้วยและความคลั่งมารวมตัวกันโดยนัดหมาย
- Stoty and photos by Montipa Virojpan
28 เมษายน 2560
วันศุกร์ที่ผ่านมาถือเป็นอีกวันที่มีอีเวนต์ชุกชุม ชนกันเปรี้ยงปร้างจนอยากจะลากสังขารไปให้ครบ ๆ แต่ทีมงาน Fungjaizine ก็ส่งไม้ต่อแยกกันไปคนละงาน อิฉันเจ้าเก่าก็ขออาสามารับหน้าที่เล่าบรรยากาศของงาน Soft Rock Renagade เองจ้า
สำหรับงานนี้เป็นงานที่ จ้า Hariguem Zaboy เป็นพ่องานโดยใช้ชื่อทีมจัดว่า The 75th Curveball โดยชวนเพื่อนนักดนตรีเลือดร้อนฝีมือน่าจับตามองทั้ง Folk 9, Cloud Behind และ Summer Dress มาสนุกกันในค่ำคืนนี้ และจากที่สังเกตด้วยสายตา จำนวนคนที่ตบเท้ามาร่วมงานก็เรียกว่าอุ่นหนาฝาคั่งพอตัว
เรามาถึงงานเวลาสองทุ่มครึ่ง เป็นช่วงที่วงแรกอย่าง Folk 9 กำลังเล่นพอดี วง jangle pop, dream pop, lo-fi ทีทำเพลงออกมาได้น่าสนใจ กับเมโลดี้กีตาร์ที่ไพเราะเพราะพริ้ง ความล่องลอยสดใส หรือแม้กระทั่งความหนังหน่วงบ้าคลั่งในบางเพลง หลังจากที่พวกเขาปล่อยอัลบั้มเต็ม Morning Day ออกมา งานนี้ก็เหมือนจะเป็นงานที่เราได้ฟังเพลงของพวกเขาทั้งอัลบั้มเก่าและอลับั้ม โดยเพลงที่นำมาเล่นก็มีทั้ง สิ่งที่ดีเราเก็บเอาไว้ในความทรงจำ, คิดดูก่อน, Feel Good, Morning Day, Memory, China Town, ผลดอกไม้ และไม่เป็นจริง ซึ่งมีความเกรี้ยวกราดแบบสุด ๆ ในช่วงท้าย ก็เป็นโชว์ของ Folk 9 หลังจากที่ไม่ได้ดูพวกเขาเล่นมานานแล้วเหมือนกัน ครั้งนี้ถือว่าการแสดงของพวกเขาน่าสนใจและทำออกมาได้ดีกว่าครั้งก่อนที่ได้ดูมาก ๆ รอบหน้าถ้ามีเล่นที่ไหนอีกจะพยายามไม่พลาดนะฮะ
จากนั้นก็เป็นวง Cloud Behind ที่หลังจากมีการปรับเปลี่ยนไลน์อัพสมาชิกจนมาลงตัวเป็นเซ็ตปัจจุบัน ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ได้กลับมาเล่นใหม่ แถมได้ ฮอน Hope the Flower มาช่วยเล่นเบสด้วย เพลงส่วนใหญ่ที่เล่นก็เป็นผลงานที่เราคุ้นเคยกันดี ถูกเอามา re-arrange ใหม่ให้มีความหนักแน่นซับซ้อนขึ้น หรือหลาย ๆ เพลงก็ได้อิทธิพลจาก neo-psych pop หรือได้มู้ดของ The Velvet Underground มาบ้าง โดยเพลงแรกที่เล่นคือ นกนางนวล ที่อาเรนจ์ใหม่และเพิ่มซาวด์ซินธ์กรุ๊งกริ๊งเข้าไป หรือเพลง ในท้องฟ้า ที่อดีตคือเพลง ฉันรักท้องฟ้า และเพลง แค่แปลกตา ซิงเกิ้ล come back ของพวกเขาก็นำมาเล่นเป็นครั้งแรก จากนั้นก็เป็นเพลง ลาฝัน เทา และเพลงใหม่ที่อินโทรกีตาร์ทำให้นึกถึง Smashing Pumpkins แต่ได้ส่วนผสมของทำนองไซคีเดเลีย กับสัดส่วนที่หลากหลายของเพลงแบบเซอร์ไพรส์ตลอดโชว์ พร้อมท่อนซินธ์สุดติดหูที่เราชอบมาก แล้วจบด้วยกลองสาด ๆ เหมือนให้ระเบิดตัวเองในตอนท้าย บอกเลยว่ารอฟังอัลบั้มเต็มของพวกเขากันแล้ว
ตามมาด้วย Summer Dress ที่ขนเพลงจากอัลบั้ม Serious Music มาเล่น ซึ่งงานนี้ถือว่าพวกเขาเอาคนดูอยู่หมัด เพราะถึงแม้จะเล่นเพลงใหม่ทั้งหมดแต่ก็มีคนร้องตามได้ไม่น้อยเลย เอาจริงว่าก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะเลือกหยิบเพลง Fancy เพลงบรรเลงเพลงเดียวของอัลบั้มที่มีสไตล์เพลงล้ำสุด ๆ มาเล่นเปิด ตอนนี้ทำเอาโยกหัวหลุดกับความปั่นประสาทของเพลงไปแล้ว ต่อกันที่ The Beatles Fever เพลงภาษาไทยเนื้อความยียวนกับทำนองเพลงบางท่อนที่ทำให้นึกถึงเพลงยุค 60s แล้วจึงเป็น 1917 เพลงเปิดอัลบั้มที่มีคนร้องตามและตบมือกันอย่างสนุกสนาน ต่อด้วย Synthesizer และเพลงฮิตที่สุดในช่วงนี้อย่าง ดีออก โดยท่อนที่ร้องว่า ‘ดีออก’ หลายคนก็ตั้งใจตะโกนให้เป็นคำว่า ‘อีดอก’ กันอย่างพร้อมเพรียง ถ้าสังเกตคือมือกีตาร์ทั้งสองและมือเบสโยกกันอย่างเมามันในท่อนท้ายของเพลงจนนี่ก็ต้องโยกตามแบบไม่รู้ตัว แล้วปิดท้ายโชว์ด้วยเพลงเพราะ ๆ อย่าง Soundscape ให้เคลียร์หูกันก่อนจะไปเจอวงเดือด ๆ ต่อจากนี้
ส่งท้ายค่ำคืนร้อนระอุด้วยวงหูพร่าบ้าดีเดือด Hariguem Zaboy ทันทีที่เสียงจี่ดังขึ้นก็เป็นอันรู้กันว่าใครอยู่ใกล้ลำโพงก็เตรียมหูดับได้เลยเพราะเพลงเขาเล่นกันดังและมันมากจริง ๆ ช่วงนี้เหล่าคนดูก็ดูจะเมาได้ที่ เริ่มมีกลุ่มมนุษย์เต้นยับ จากที่โดดเหยง ๆ แทคเคิลกันกลุ่มเล็ก ๆ ก็เริ่มผ่ารัศมีไปทั่วงาน นี่ก็เต้นกับเขาจนโดนเหยียบเท้าแล้วรองเท้าหลุดไปข้าง เกือบกูกลับไม่ทันแหนะ โดยเพลงที่เล่นในวันนี้ก็มี Real Soon ที่พวกเขาชอบหยิบมาเล่นอยู่บ่อย ๆ แล้วยังไม่ลืมที่จะนำเพลงจากชุดเก่าอย่าง Without Phasing อีกเพลงเพราะเมโลดี้ล่องลอย แต่ดูเศร้าสร้อยที่เป็นหน่ึงในเพลงที่เราชื่นชอบกลับมาเล่น จากนั้นจึงเป็นเพลงช้าสุดหนืดที่เพราะมาก ๆ อย่าง Whispering เป็นโมเมนต์ที่นอยซ์และซาวด์พร่าต่าง ๆ สร้างบรรยากาศหม่นอึมครึม ถ้าหลับตาฟังแล้วจะรู้สึกว่ากำลังถูกความเศร้าที่สวยงามนั้นห่อหุ้มตัวเราไว้ แล้วจึงเป็นเพลง This Star Goes to Nowhere ที่เป็นเพลงรีเควสต์จางทางบ้าน ทางวงเขาก็เล่นให้ แล้วต่อกันที่ Semi-Sec เพลงเปิดตัวอัลบั้ม และ Echo เพลงสุดเดือดกลองระห่ำที่มักจะถูกจัดมาให้ปิดท้ายในหลาย ๆ โชว์ แต่ตอนนี้เราต้องขอดีดตัวกลับมาก่อนเพราะอยู่ต่อจนจบเพลงไม่ไหว เลยไม่แน่ใจว่ามีเล่นแถมต่อให้อีกหรือเปล่า
สำหรับบรรยากาศใน Buffalo Bridge Gallery นี้ถือว่าแปลกใหม่ เพราะให้บรรยากาศแบบ house party อบอุ่น กะทัดรัด แล้วมีการเล่น live visual ที่จับเอาภาพบรรยากาศในงานฉายไปเป็นแบคกราวด์ผสมกับวิชวลกราฟฟิกเท่ ๆ ก็เป็นอะไรที่เพลินตาดี แม้ตัวงานจะจัดกันที่ชั้น 5 ให้เราปีนบันไดออกกำลังกายกันเป็นการวอร์มก่อนมาโดดในงาน แต่ก็คุ้มค่ามาก ๆ เพราะวงดนตรีทุกวงเขามีของดีมาปล่อยซะจนเราหายเหนื่อย คิดว่าใครมาฟังสดที่นี่ก็คงได้ซีดีของแต่ละวงติดไม้ติดมือกลับบ้านกันด้วย แถมด้านบนยังมีดาดฟ้าให้ไปนั่งตากลมกันอีก ก็ถือว่าเป็นเวนิวที่น่าสนใจ หากจะมีใครมาจัดอีเวนต์กันที่นี่ก็ขอเชียร์เลยล่ะ