Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

แปลงร่างเป็น Wonderers แล้ว Live . Love . Wonder ตลอด 3 วันในงาน Wonderfruit 2017

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Chavit Mayot, Benyatip Sittiwej, and Montipa Virojpan

เป็นอีกครั้งที่เทศกาลไลฟ์สไตล์ Wonderfruit วนกลับมาอย่างว่องไว (เพราะงานครั้งที่แล้วถูกเลื่อนมาจัดเมื่อต้นปีนี้เอง) ให้เหล่า Wonderers ได้ไปใช้ชีวิตใกล้ชิดดนตรีและธรรมชาติ เรียนรู้วัฒนธรรมและเวิร์กช็อปของทำมือ ไปจนถึงกิจกรรมดีท็อกซ์สุขภาพร่างกายและจิตใจ รวมถึงอิ่มอร่อยกับร้านอาหารที่คัดสรรมาอย่างดี ตลอด 4 วัน 4 คืน โดยปีนี้งานเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 14-17 ธันวาคม ที่ผ่านมา ที่ Siam Country Club พัทยา

dsc_0320

ทีมงานฟังใจหลายชีวิตได้บุกไปที่ The Fields กันตั้งแต่วันที่ 15 เพื่อสำรวจดูว่าในปีนี้มีอะไรแต่งต่างจากปีก่อน บ้าง แต่ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่า สิ่งแรกที่ทำให้เราอยากมางานรอบนี้เป็นพิเศษเป็นเพราะไลน์อัพวงดนตรีที่จะมาเล่นเนี่ยแหละ ใครจะไปคิดว่าวงที่ฟังวนเป็นบ้าเป็นหลังมาหลายปีอย่าง Khruangbin วงไซคีเดลิกโซลที่เพลงของพวกเขาได้แรงบันดาลใจจากเพลงไทยเดิม จะบินตรงจากเท็กซัส มาเล่นให้เราประจักษ์สายตาและรูหู หรือ Chronixx & Zincfence Redemption วงเร็กเก้ นีโอโซลจากจาไมก้า ที่ฝีไม้ลายมือการแสดงถือว่าหาตัวจับยาก, Songhoy Blues วงบลูส์แอโฟรจากประเทศมาลี กับความสนุกเหมือนคุณดูโชว์ไปเต้นแอโรบิกไปเพราะเขาจะนำคุณเต้นท่าพิเศษไปกับเพลงของเขา, Nerve วงอิเล็กทรอนิก้า ฟิวชันแจ๊ส ดรัมแอนด์เบส ที่มี Jojo Mayer และนักดนตรีสกิลระดับพระกาฬ, วงทดลอง อิเล็กทรอนิก Yeasayer ที่ผสานเอาจังหวะและเสียงแบบเวิร์ลมิวสิกมาทำให้ร่วมสมัย, Izzy Bizu สาวเสียงทรงเสน่ห์ผู้เคยร่วมงานกับ Honne ในเพลง Someone that Loves You และ Wild Beasts วงแห่งยุค 2000s ที่เพิ่งประกาศแยกทางกันเมื่อเดือนก่อน ซึ่งโชว์ที่ Wonderfruit นี้เองก็จะเป็นโชว์ครั้งท้าย ของพวกเขา แค่เพียงเท่านี้ก็ทำเราตาลุกวาวแล้ว ยังไม่รวมถึงดีเจระดับโลก และศิลปินเจ้าบ้านที่น่าสนใจหลายคนอย่าง Rasmee, Gapi and the Thai Dub Mafia, สิงโต นำโชค, จุ๋ย จุ๋ยส์, West of East ซึ่งในปีนี้พิเศษมาก ตรงที่จะมีเวที SOT (Straight Outta Thonglor) ที่พร้อมเสิร์ฟวงดนตรีไทยหลากหลายแนวตลอดคืน เช่น Fellow Yang (Yellow Fang electronic set), Southern Boys, Yupadee x Casinotone, Gym & Swim, Cyndi Seui แค่นี้ก็คิดว่าอัดแน่น ตามดูแทบไม่หวาดไม่ไหว แล้วแบบนี้จะได้ทำกิจกรรมอื่น ในงานที่ก็มีเป็นร้อยพันอย่างภายในสามวันที่มีอยู่นี้ได้หรือ ฮืออออ ชีวิตต้องเลือกกันอีกแล้วค่ะ

15  ธันวาคม 2560

dsc_0371

เราเป็นกรุ๊ปแรกของทีมฟังใจที่ออกเดินทางกันมาก่อน เหตุที่ไม่สามารถเข้างานตั้งแต่วันแรกได้เพราะไม่สามารถเคลียร์ภารกิจติดพันที่ออฟฟิศกันได้ทันเวลา เลยต้องออกมาตอนบ่าย ของวันศุกร์นี่แล ระหว่างที่เดินทางนี่ลุ้นมาตลอดว่าจะมาทัน 17.30 ไหม เพราะตอนนั้นจะมี Gapi and the Thai Dub Mafia เล่น นี่ก็อยากดูพี่แก็ปมาก ไง เหยียบ 140 ไปเลยจ้าาาาา ปรากฏว่าตอนที่เราขับมาเกือบใกล้ถึงงานฝนดันเทลงมาซะอย่างนั้น ทำให้ไม่สามารถซิ่งต่อไปได้ ยิ่งเครียดหนักขึ้นอีก แต่จนแล้วจนรอดก็มาถึง The Fields ในเวลาห้าโมงครึ่งพอดีเป๊ะ!!! แล้วฝนก็ซาพอดี ทุกอย่างดูจะเป็นใจ เรานี่รีบหาที่จอดแล้วพุ่งตัวไปยังเต๊นท์แลกริสต์แบนด์เข้างานทันที

dsc_0344

ปีนี้เขาค่อนข้างเข้มงวดเรื่องคนเข้างาน เพราะตอนที่ซื้อบัตรกับ Event Pop เราจะต้องเข้าไป pre-register กันก่อนเข้างานด้วยการกรอกประวัติส่วนตัวของเรา ซึ่งมันก็ดีตรงที่เขาจะได้จัดการเรื่องความปลอดภัยได้ง่ายขึ้นและเป็นระเบียบเรียบร้อย คือพอได้ริสต์แบนด์มาแล้ว ตรงทางเข้างานเขาจะมีเครื่องสแกนเป็นการ check in ว่า นางสาว A เข้างานมาแล้วนะจ๊า เช่นเดียวกับขาออกที่นางสาว A ก็ต้อง check out ว่า ได้ออกจากบริเวณงานเป็นที่เรียบร้อยแล้วจ้า แล้วตัวริสต์แบนด์อันเดียวกันนี้เองที่ใช้เป็นบัตรเติมเงิน (cashless) สำหรับซื้อของและจ่ายค่าเวิร์กช็อปต่าง ในงานแบบปีก่อน นั่นเอง

dsc_0252

พอเราพ้นประตูตรวจของ/เช็กอินใด มาเรียบร้อยแล้ว เราก็พุ่งตัวไปที่ Solar Stage แบบไม่เหลียวมองรอบข้าง (ค่อยมาตามเก็บทีหลัง Gapi น่าจะขึ้นเล่นแล้ว) และเพราะแผนผังงานเหมือนเดิมทุกปีทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดินหา พอมาถึงก็เห็นว่าปีนี้เวทีวงดนตรีถูกตั้งอยู่ด้านในของโครงสร้าง ต่างจากปีก่อนที่จะตั้งอยู่ด้านหน้า นี่เลยทำให้คนดูรู้สึกว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสเปซมากขึ้น และตอนนี้ Gapi and the Thai Dub Mafia ก็กำลังแสดงอยู่ มีพี่แก๊ป T-Boneคุมดั๊บอยู่ด้านหลัง และมีมือแซ็กโซโฟนบรรเลงคลอจนออกมาเป็นแจ๊สดั๊บสุดกรูฟ ต่อมาก็มี Pinn Ball มือพิณคู่ใจมาเล่นเครื่องดนตรีท้องถิ่นอีสานควบคู่กัน ตามมาด้วย ต้นตระกูล แก้วหย่อง แห่ง Asia 7 ที่บรรเลงแคนกับโหวดเข้าไปในท่วงทำนองดั๊บ แล้วส่ง Fyah Burning และ B-King ออกมาแร็ป

dsc_0248

มีเพลงนึงที่เป็น 8 bit minimal dub ด้วย น่ารักมาก จนทุกคนร่วมกันเล่นอย่างพร้อมเพรียง มีผลัดกันโซโล่บ้างเป็นพัก แม้จะเกิดปัญหาทางเทคนิคที่จู่ ซินธ์เงียบไปเลยต้องให้ B King กับ Fyah Burning มาบิ๊วคนดูเฉพาะหน้าไปก่อน สร้างความเพลิดเพลินมากทีเดียว แต่โชว์โดยรวมถือว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตในเฟสติวัลได้อย่างถูกต้อง เพราะ vibes ดีมาก ใช้เวลาอยู่ที่นี่ตั้งแต่พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำจนฟ้ามืด คนดูหลายคนโยกกันแบบไม่ลืมหูลืมตา เคล้าไปด้วยสโมคที่พวยพุ่งมาจากเวทีและกลิ่นสมุนไพรจาง ในอากาศ

dsc_0237

จบจากโชว์นี้เราก็เดินผ่านจุดที่มีนักแสดงควงไฟที่อยู่ด้านข้าง Solar Stage อย่างพอดิบพอดี มีคนมุงดูกันเนืองแน่น ก่อนจะไปสำรวจจุดต่าง ภายในงาน ด้านหน้าสุดตั้งแต่ซุ้มทางเข้าจะมีจุดให้เติมเงินในริสต์แบนด์ของเรา กับ official goods stall ขายของที่ระลึกของเทศกาลพวกเสื้อ ผ้าพันคอ หมวก ร่มกระดาษ ที่พิเศษคือมีแก้วน้ำ/ กระติกน้ำสเตนเลส ถ้าซื้อไว้ใส่เครื่องดื่มในงานจะสามารถใช้เป็นส่วนลด 20% ในแก้วต่อ ไปได้

dsc_0268

พอเดินต่อมาอีกหน่อยก็จะเจอกับ Forbidden Fruit หรือผับที่อยู่หน้าสุดของงานในปีนี้ถูกประดับไปด้วยหลอดไฟสีแดงฉาน ถัดมาที่โดยปกติจะเป็น Rocket Fruit หรือซุ้มของร้าน Rocket Coffee Bar ปีนี้ได้กลายเป็น Marcel แทน ซึ่งกิมมิกของเขาก็คล้าย กัน ตรงที่ถ้าซื้อเครื่องดื่มแล้วเพิ่มเงิน 50 บาทจะได้ถ้วยสเตนเลส (หน้าตาแบบถ้วยตราหัวม้าลาย) ใช้เติมน้ำฟรีภายในงาน เนื่องด้วยเขาห้ามนำขวดพลาสติกใช้แล้วทิ้งเข้ามาในงานเพราะจะเป็นการสร้างขยะ แต่ถ้าเป็นกระติกก็ไม่ว่ากัน ปีนี้เขามีมาเป็นเครื่องกรองน้ำประจำที่จุดต่าง สะดวกมาก ฝั่งตรงข้ามมาร์เซลเป็นบรรดา instllation ซึ่งก็มีทั้งชิงช้าไม้ไผ่ (The Cloud Temple) Sustainability Pavilion ที่เป็นที่จัดแสดงนิทรรศการ Living Stage ซึ่งเป็นเวทีใหญ่อยู่ด้านหลัง Someday Everyday หรือซุ้มยาดองของ Knack Market (The Jam Factory) ที่ข้าง ก็จะมี Shackfruit หรือที่เคยเป็น Moon Shack หรือบาร์ของแสงโสม ที่ตอนนี้ย้ายไปอยู่ Moonlight Lounge ด้านหลังโซนขายอาหารนั่นเอง

dsc_0276

ถัดมาตรงกลางยังคงเป็น The Ziggurat ที่จำหน่ายเบียร์สิงห์เอนกายหลบร้อนช่วงกลางวันและที่สนุกไปกับดีเจยามค่ำคืน ตรงนี้มีที่นั่งพักทำจากกระดาษลังที่หน้าตาเหมือนงูยักษ์เลื้อยอยู่บนพื้นหญ้า ข้าง กันก็มี Solar Stage และโซนใหม่ ALTN8 ที่หน้าตาเหมือนโรงละครสัตว์ มีประภาคารสูงกว่า 6 เมตรที่เรียกว่า Helter Skelter เป็นบูธดีเจ ทั้งสองที่นี้คุณสามารถคาดหวังดนตรีอิเล็กทรอนิกดี จากดีเจมือฉมังจากทั่วโลก (โดยเฉพาะเบอร์ลิน) เลยไปอีกหน่อยจะเป็น Theatre of Feasts ที่เราสามารถจองคอร์สอาหารกลางวัน/ เย็น จากภัตตาคารชั้นเยี่ยม และ Molam Bus ที่คัดสรรวงหมอลำทั้งแบบพื้นบ้านแท้ และวงฟิวชันมาเปิดประสบการณ์อีสาน ควบคู่กับ Tent of Unusual Tipple ที่มีเครื่องดื่มจากเทพบาร์ และร้านอาหารไทยเหนือ ใต้ กลาง อีสาน คอยให้บริการ ไม่ห่างไปนักก็มี Sawasdee Craft เป็นบูธที่ให้เราทำมงกุฎจากใบตอง เพนต์หน้ากากกระดาษ และทำผ้าบาติก

dsc_0336

เขยิบไปอีกนิดก่อนจะข้ามไปอีกฟากของงาน มี Wonder Salon ที่สำหรับแปลงโฉมแต่งหน้า ทำผม ตั่งต่าง กับ A Taste of Wonder ที่เป็นโซนขายเสื้อผ้า ซึ่งปีนี้เขาขยายสเกลเพิ่มร้านมากขึ้นเท่าตัว แต่หน้าตาปีนี้ไม่ได้แฟนซีสวยงาม กลับเล่นกิมมิกสำเพ็ง ผ้าใบขึงสีสด ให้ชาวต่างชาติได้ลองซึมซับบรรยากาศ market street ของบ้านเรา ส่วนเกาะกลางน้ำที่ปีที่แล้วเป็นระฆังลมท่อโลหะขนาดใหญ่ ปีนี้ทำเป็น Rhizome Colony โดยทำเป็นสะพาน 4 แฉกยืนออกไปกลางน้ำ ประดับด้วยไฟเฉดสีต่าง เป็นอีกโซนที่เราชอบ พอข้ามไปอีกฝั่งเราจะเจอกับ Tiki Bar ติดริมน้ำ กับดีเจที่เน้นเพลงเร็กเก้ tropical house ตลอดทั้งวันทั้งคืน มีเวคบอร์ด แพดเดิลบอร์ด และบอร์ดโยคะให้เล่น ใกล้ กันก็เป็น Camp Wonder ซึ่งเป็นโซนเด็กเล่น ปีที่แล้วซุ้มทางเข้าเขาเป็นนกยักษ์ แต่ปีนี้เป็นหุ่นไล่กาสองตัวจับมือกัน น่ารักมากกกก เขยิบไปทางซ้ายก็เป็นโซนเพื่อสุขภาพและเพิ่มพลังจิตวิญญาณ Wonder Garden มีที่นวดแผนโบราณ สปา โยคะ เวิร์กช็อปเต้นต่าง เดินเลยมาอีกนิดจะพบกับ Farm Stage ที่ปกติจะมีวงดนตรีสดมาเล่น แต่ปีนี้เปลี่ยนให้เป็นเวทีเสวนาเข้มข้น ประดับประดาด้วยผ้าผืนยักษ์ที่ขึงระโยงระยางเหมือนตาข่ายสีม่วงชมพูสวย มีร้านขายของ eco friendly มี The Hive ที่เป็นซุ้มขายของคราฟต์/แฮนด์เมด มีเวิร์กช็อปจัดดอกไม้ ทำต้นไม้ในขวดโหล caligraphy และวาดภาพสีน้ำ และแน่นอน Rainforest Pavilion ที่ปกติเป็น talk กับ workshop แต่ปีนี้เขาเน้นให้ดีเจมาเล่นเป็นพิเศษ

img_1055

หลังจากพาสำรวจกันทั่วทั้งงานแล้วก็ได้เวลาเดินกลับมาที่เวทีการแสดง Living Stage ที่ตอนนี้ Rasmee Isan Soul กำลังขึ้นแสดง ด้วยจำนวนผู้ชมที่ไม่หนาตามากนักเราจึงถือโอกาสยึด front row รอบนี้รัสมีจัดเต็มจริง เพราะมาแบบ full band มีก้อง สาธุการ มือกีตาร์ และ ต้นตระกูล แก้วหย่อง มือโหวด/ พิณ/ แคน แล้ว ยังได้นักดนตรีหน้าตาคุ้นเคยจาก Asia 7 มาช่วยเล่น ตัวแป้งเองก็มาในชุดเดรสยาวสีดำมี fringe กรุยกรายดูสวยสง่า พร้อมเปิดเพลงแรกด้วย อ้ายอยู่ไส ที่เสียงร้องของเธอยังสะกดคนดูได้ไม่เปลี่ยนแปลง ต่อด้วยปะกาปรูย ที่เป็นผลงานเพลงของพ่อผู้ล่วงลับ ตามด้วยลำดวน เพลงอินโทรกีตาร์เท่ ที่เธอแต่งถึงชีวิตรักสุดระทมของคุณยาย พอเป็นฟูลแบนด์แล้วเพลงนี้ยิ่งขลังขึ้นอีกหลายเท่าตัว

img_6835

ตามด้วย มายา กับท่อน ‘เฮ้ยย่ะ’ ที่ไม่ได้กระแทกกระทั้นเร้าอารมณ์ เพราะกลุ่มคนดูไม่ได้ energatic ขนาดนั้น และเธอก็เล่นเพลงจากอัลบั้มใหม่ที่กำลังจะปล่อยออกมาในปีหน้า เล่าถึงความลำบากของเด็กหญิงที่ต้องหาบน้ำจากที่ไกล กลับมาบ้านอย่างเหนื่อยยาก ไม่แน่ใจว่าชื่อ สาวน้อย หรือเปล่า แต่เป็น afro music ที่พูดถึงความสำคัญของการศึกษาที่ใช้พัฒนาชีวิตคนคนนึงได้อย่างแยบยล เราเชื่อเหลือเกินว่าเด็กหญิงในเรื่องหมายถึงตัวเธอในอดีตและเด็กอีกหลายคนในหมู่บ้านที่คล้ายคลึงกับเธอ จากนั้นเป็นเพลงคัฟเวอร์ของ ต่าย อภิรมย์ ที่ทำให้ เฌิ้บ มิวสิค ชื่อ เด๋อนางเด่อ เกี่ยวกับคู่รักที่คนนึงต้องเข้าไปทำงานในเมือง แล้วถ้าพูดสำเนียงถิ่นก็กลัวคนจะหัวเราะ อีกคนที่อยู่ต่างถิ่นเลยบอกว่า แต่ถ้ากลับบ้านมาก็เว่าลาวกันเถอะนะ เป็นเพลงง้องอนที่น่ารักแต่เล่นออกมาเป็นฟังก์ที่เท่มาก ตามด้วย สวยไทย และปิดท้ายกันที่ เมืองชุดดำ ที่แอบแถมท่อนฮิก ให้กันด้วย สังเกตว่าแต่ละโชว์ของรัสมีจะเปลี่ยนไปตามกลุ่มคนดู คือถ้าคนดูคึกมาก นี่แทบจะชวนกันเซิ้ง (ตอนงานเห็ดสดคือซิ่งสุด) แต่ถ้าคนดูเหนียม หน่อยแบบงานนี้ก็จะเน้นขับอารมณ์ โชว์ความ emotional ในพาร์ตดนตรีและเทคนิคการร้อง ซึ่งน่าประทับใจในแบบที่ต่างกัน

dsc_0284

จบจากโชว์ของรัสมี ก็ได้เวลาไปแวะกินดื่มตามบูธต่าง แต่จากจุดที่เราอยู่ บูธที่ใกล้ที่สุดก็น่าจะเป็น Knack Market ก็จัดยาดองสูตรพิเศษกันไปคนละเป๊ก ของเราเป็นยาดองลูกฟิกแห้ง ลูกเกด และวานิลลา ของเพื่อนอีกสองคนเป็น สับปะรด+มะพร้าวคั่ว และส้ม+อบเชย+กระวาน ล้วนเป็นรสชาติหอมหวานทั้งสิน และปีนี้เขามีสารพัดมะแช่อิ่ม ทั้งมะยม มะม่วง มะกอก มะขาม มาให้กินแกล้มฟรี พร้อมด้วยป๊อปคอร์นรสพะโล้ แปลกไปอีกแบบ ข้าง กันปกติจะเป็นซุปครีม ปีนี้มาเป็นแกงไทยต่าง ทั้งแกงเขียวหวาน มัสมั่น เป็นต้น และระหว่างนั้นเองก็มีโชว์จากแดเนียล วง Penny Time คอยเล่นเพลงกลิ่นอายบริตร็อกผสม experimental หน่อย ขับกล่อมคนในบูธไปด้วย พลัง performance ของเขาเอาคนดูอยู่จริง ๆ ส่วนวันอื่น ๆ ก็รอพบกับ The 10th Saturday และ Notep

dsc_0338

เวลา 20.45 เราก็ออกเดินกันต่อไปยัง Molam Bus ขณะนั้นมีวงดนตรี Ohn Kankiaw and Friends เล่นเพลงหมอลำซิ่งอยู่ ถามว่าซิ่งเบอร์ไหน มีตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน เต้นนำกับเพื่อนอยู่ข้างหน้า เรากับเพื่อนเห็นถึงกับต้องออกสเต็ปตาม บอกเลยว่าเหนื่อยมาก แต่สนุกมาก นี่แหละไฮไลต์ที่แท้ทรูของงาน พอจบไปได้หลายเพลง นักร้องถึงกับออกไมค์ชวนตุ๊กกี้ขึ้นไปโชว์ เธอก็ไม่ปฏิเสธและส่งเพลง โบว์รักสีดำ จาก ศิริพร อำไพพงษ์ งานคลาสสิกที่ไม่ว่าจะถูกเล่นที่ไหน ชั้นนี่แหละจะต้องไปอยู่แถวหน้า แถมด้วย ชมรมคนผัวเผลอ ของ สาวมาด เมกะแดนซ์ โอ้โหหหหห ผู้สาวอินกันถ้วนหน้า ม่วนคั่ก เด้ออออ

img_6867

หลังจากเซิ้งกันจนเอวเคล็ดก็คิดว่าควรพักหาอะไรกินกันสักหน่อย ตอนนั้นเราเดินผ่าน SOT ก็ได้ยินเขาเปิดเพลงคล้าย ของ Gym & Swim ก็รู้สึกว่า เหย เขาให้โอกาสวงสายนี้ด้วยแฮะ แต่พอฟังดี เอ๊ะ เหมือนเล่นสดเลย ปรากฏว่าวงมาเล่นสดตัวจริงเสียงจริงเลยค่า ภาพที่เห็นคือฝรั่งกำลังแดนซ์อย่างเมามัน คุณเหลิมก็นำเต้นแบบสุดตัว รู้สึกว่าโชว์ช่วงหลัง มาของวงนี้เขาสนุกจริง ก็เต้นเพลินจนลืมเดินหาของกินเลย เพลงที่เล่นวันนี้ก็มี Seagal Punch, Bunny House, American Highschool Sweetheart ซึ่งพอจบจากเพลงนี้เราจำต้องจรลีกลับไป Living Stage เพราะวงที่รอคอยกำลังจะขึ้นเล่นในอีกไม่ช้า

img_6874

น่าแปลกที่แม้ในเวลาสามทุ่มครึ่งที่วงกำลังจะขึ้นแสดงบนเวทีหลัก ผู้ชมยังบางตาเรียกว่ามีอยู่ 5-6 หัวได้ เราเลยเกาะพื้นที่หน้าเวทีอีกเช่นเคยเพราะวงนี้รักมากจริง Khruangbin ที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้ดู ในที่สุดก็จะได้ดูแล้ววววววว พวกเขาคือวงดนตรีสามชิ้นจากเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ที่ทำเพลงบรรเลงโซล ฟังก์ ไซคีเดลิก แต่ได้อิทธิพลกลิ่นอายทางดนตรีมาจากเพลงไทยเดิมและหมอลำบ้านเราอย่างหนักหน่วง โดยมีกิมมิกให้มือกีตาร์ใส่วิกผมยาว และมือเบสใส่วิกผมบ็อบคล้ายคลีโอพัตรา ส่วนพี่มือกลองก็จะโชว์โหดอยู่บนสเตจตรงกลางที่ยกขึ้นไปอีกขั้น

img_6890

แม้ว่าจู่ ๆ ฝนจะเทลงมาอย่างหนักหน่วงแต่เราก็ไม่สามารถหยุดขยับเขยื้อนร่างกายได้เพราะโชว์ของพวกเขาสนุกมาก โชว์ถูกดีไซน์มาอย่างเพลิดเพลินโดยมือกีตาร์กับมือเบสจะโยกย้ายตามจังหวะเพลง มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นถือแก้วค็อกเทลแล้วมาชนแก้วกันกลางเวทีพร้อมจิบให้คนดูคอแห้งเล่น หรือการเต้นท่าเต้นพิเศษในบางเพลงอย่างพร้อมเพรียงกัน และมีการเอาขวดสาโทมาเคาะตามจังหวะ เป็นอะไรที่น่ารักมาก โดยเพลงที่พวกเขาหยิบมาเล่นในวันนี้ก็มีทั้งงาน August Twelve, A Calf Born in Winter, Mr. White, Two Fish and an Elephant และงานใหม่ล่าสุด Maria También หรือ Dance of Maria ต้นฉบับเป็นของ Elias Rahbani ในปี 1974 ที่ซาวด์ดนตรีเขยิบไปทางตะวันออกกลางมากขึ้น เพราะแรงบันดาลใจของเพลงนี้คือการยกย่องสตรีที่สร้างงานศิลปะในอิหร่านอย่างอิสระและมีชีวิตชีวาก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติอิสลามในปี 1979 รวมถึงเพลงที่ทำให้เรารู้จักกับพวกเขาเป็นครั้งแรกอย่าง White Gloves ที่ฟังแล้วขนลุกเกรียวในความละมุนของบทเพลงที่มักจะเปิดฟังวนไม่รู้จบเพลงนี้ มีหลายเพลงทีเดียวที่เขาหยิบเอาซาวด์ของเพลงไทยเดิมไปใช้ ซึ่งเขามักจะพูดเสมอว่านี่สำหรับคุณที่สำคัญคือ เขาไหว้สวยมาก พูดว่าขอบคุณครับชัดมาก และพูดเสมอ ว่ารู้สึกพิเศษมาก ดีใจที่ได้มาเล่นที่นี่ เขาคงจะอินกับวัฒนธรรมบ้านเราจริง โชว์ดีงามมากถึงขนาดคนดูร้องขออังกอร์แม้จะเลยเวลาเล่นมาแล้ว พวกเขาเลยจัดสปีชแนะนำสมาชิกบรรยายความประทับใจให้เราเต็ม

dsc_0275

จากนั้นฝนก็ซาลง เราเลยคิดว่าน่าจะไปเดินเล่นรอวง headliner วงสุดท้ายจะขึ้น ตอนเดินผ่าน Wonder Garden ก็เห็นเวิร์กช็อป Sircle Dance หรือการเต้นเป็นวงกลม ก็แอบเข้าไปเต้นกับเขานิดนึง เรียกว่าสนุกได้เหงื่อ แต่มึนหัวมากจ้า แล้วเราก็นั่งสังเกตการณ์ห่าง ๆ เห็นว่าพอเขาเต้นกันเสร็จก็นั่งล้อมวงทำพิธีอะไรกันก็ไม่รู้ เหมือนทำสมาธิแล้วมีคนเดินวนรอบ ๆ สั่นกระพรวน spiritual ไปอีก จากนั้นก็เดินแวะชิมสาโทกับอูเมะชูตรง Thailand Young Farmers มีอีกอย่างที่เด็ดมากคือกล้วยไซเดอร์ คล้าย น้ำหมักกล้วยรสหวานอมเปรี้ยว หอมสดชื่อ แล้วเดินกลับมาซื้อ pork skewer ไม้เบิ้ม ไปนั่งกินที่บูธ Tent of Unusual Tipple แล้วนั่งฟังเพลง drum n bass จนเวลา 23.00 Roots Manuva ขึ้นเล่น คนดูเนืองแน่นหน้าเวที ส่วนเราก็จับจองพื้นที่บริเวณกลาง เราไม่เคยได้ยินชื่อพวกเขามาก่อนแต่คิดว่าถ้าได้เล่นงานนี้คงมีอะไรไม่ธรรมดา ปรากฏว่าพวกเขาคือวงเร็กเก้ ดั๊บ โอลด์สคูลฮิปฮอป กับโชว์ที่ชวนโยกมาก ส่วนตัวเราชอบพาร์ตที่พวกเขาเล่นเป็นเร็กเก้ แต่พอกลับมาเป็น r&b แล้วจะกร่อย ลงไปนิดเพราะไม่ค่อยอินกับแนวเพลง แต่ก็บอกได้ว่าเขาสามารถดึงซาวด์ของยุคปลาย 90s มาใช้ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

img_6908

ด้วยความที่เราขับรถมาเองเลยมิอาจหาญกล้าอยู่ดึกและเมามากนักเพราะทั้งต่างถิ่นและมีความหญิงล้วน พอโชว์ไม่จบดีเรากับเพื่อน ก็ตัดสินใจพากันขับรถกลับที่พัก แม้ในใจจะอยากดู Gui Boratto กับ Richie Hawtin ดีเจมินิมัลเทคโนที่เวที The Quarry หรือผับอโคจรที่เราเรียกกันแค่ไหนก็ตาม เรื่องของเรื่องคือเวทีนี้ตั้งอยู่ไกลจากโซนหลักของงานมาก เรียกว่ากลางป่า ใช้เวลาเดิน 15 นาทีเมาโดยประมาณ แล้วพอไปถึง (ประสบการณ์จากปีก่อน ) เราจะพบกับแสงสีและควันชนิดหนาแน่นกว่าโซนทั่วไป เรียกว่าทุกคนพร้อมใจกันมาเมาเละกันที่นี่ยันหว่างเลยทีเดียว

img_7001

16 ธันวาคม 2560

img_1087

วันที่สองของพวกเรา หรือก็คือวันที่สามของเทศกาลได้เริ่มต้นขึ้นโดยตัดสินใจไม่เอารถมาที่งานแล้วจ้า คือขามามีญาติของเพื่อนขับรถมาส่งถือเป็นบุญ ขากลับก็กะจะนั่ง Grab กัน (เขามีบริการด้วยนะเอ้อ แต่เป็นราคาเหมาอยู่ที่ 800 บาท ถ้าใช้โปรโมโค้ดจะเหลือ 700 บาท) ในวันนี้เราเข้างานมาช่วงบ่ายก็ได้นั่ง กิน นอน กันแบบหยุดไม่ได้ เพราะของกินละลานตามาก แล้วก็เดินเล่นชมนกชมไม้อะไรไปตามเรื่อง จนได้เวลาห้าโมงเย็นที่ Izzy Bizu จะขึ้นแสดงที่ Solar Stage เรากับเพื่อนพากันปีนขึ้นไปบนเวทีที่ทำเป็นชั้นลอยทรงกลมสำหรับนั่งมีประมาณ 3-4 ชั้นทำจากไม้แผ่นที่ดูคร่าว แล้วไม่น่ารับน้ำหนักได้มากขนาดนี้ แต่เชื่อเถอะว่ามันแข็งแรงมาก มีคนหลายสิบชีวิตที่อยู่บนโครงนี้จับจ้องลงไปบนเวทีที่อิซซี่กำลังขับกล่อมเพลง r&b ด้วยเสียงทรงเสน่ห์ของเธอ เรารู้จักกับนักร้องสาวคนนี้จากเพลงของ Honne โดยไม่เคยรู้มาก่อนว่าเพลงจริง ของเธอเป็นแบบไหน พอได้มาฟังจริง ก็อยู่ได้ไม่นานนักเพราะไม่ถูกจริตเอง แต่คนดูคนอื่น ดูชอบมาก แล้วก็เอ็นดูในความ deary ของแม่สาวกันสุด

img_6993

เราเลยปีนลงจากโครงไม้ ตั้งใจจะไปดู Yuppadee สาวสาย r&b เสียงดีจาก The Voice ร้องคู่กับ Casinotone ศิลปินอิเล็กทรอนิกที่เราชื่นชอบที่ SOT

dsc_0387

ก่อนจะเดินไปถึงโซนนั้น เราก็ได้แวะที่ A Taste of Wonder เดินดูเสื้อผ้า เครื่องประดับต่าง ให้เกิดกิเลสเล่น ส่วนใหญ่จะเป็นสไตล์ tribal, hippie, vintage, bohemian มัดย้อม ย้อมครามต่าง และชอบมากที่ปีนี้มีร้านขายเสื้อโยคะด้วย จากนั้นก็ได้เวลาที่ต้องมูฟ เราไปถึง SOT ตอนหกโมงตรง แต่ก็พบว่าวงดนตรีกำลังเซ็ตอัพอยู่ จนแล้วเวลาใกล้หกโมงครึ่งเราไม่สามารถอยู่รอดูได้แล้วเพราะอีกวงที่อยากดูมาก กำลังจะขึ้นที่ Living Stage นั่นคือ Songhoy Blues

dsc_0337

เรามาถึงเวทีตรงเวลา และวงก็เริ่มบรรเลง (แน่นอนว่าฟรอนต์โรวยังคงเป็นของฉัน) วงบลูส์ ร็อกแอนด์โรล จากประเทศมาลี เปิดโชว์สุดเท่กับเพลงที่ผสมผสานวัฒนธรรมแอโฟรพื้นถิ่น เข้ากับเพลงของชายเศร้าได้อย่างมีเอกลักษณ์ แต่เชื่อไหมว่าลองฟังเผิน มันมีความหมอลำบ้านเราสุด ด้วยริฟฟ์กีตาร์และเมโลดี้ที่คล้ายคลึงกันจนน่าตกใจ อันที่จริงเราเคยดูโชว์ของพวกเขาครั้งนึงที่ Neon Lights สิงคโปร์ปีแรกมาแล้ว จำได้ว่าโชว์สนุกมาก คนดูลุกขึ้นมาเต้นหน้าเวทีกันตั้งแต่บ่ายโมงที่แดดเปรี้ยง (หนึ่งในนั้นมีฉันเอง เหงื่อแตกพลั่ก) บอกเลยว่าฟรอนต์แมนเต้นพริ้วทุกเพลง รอบนี้พวกเขาหยิบเพลงอย่าง Ai Tchere Bele, Sahara ที่โปรดิวซ์โดย Iggy Pop มาเล่น และแน่นอน พวกเขาไม่ลืมที่จะนำคนดูเต้นท่าของแต่ละเพลง แต่คนดูเหมือนจะไม่ได้ให้ความร่วมมือมากขนาดนั้นเลยลดเหลือเพลงนำเต้นแค่สองเพลงเท่านั้น

img_7005

แล้วก็เล่นเพลง Mali Nord ที่พูดเกี่ยวกับความรักของเพื่อนมนุษย์ พวกเขาเล่าให้ฟังว่าเมื่อห้าปีก่อน คนทำเพลงในมาลีโดนแบนด้วยเหตุผลทางศาสนา เลยแต่งเพลงนี้ขึ้นมาบอกว่าความจริงแล้วศาสนาควรจะเกี่ยวกับเรื่องดี ทำให้คนสมัครสมานรักกันไม่ใช่เหรอ เพราะดนตรีก็เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาด้วยปัจจัยเดียวกัน จากนั้นก็เป็นเพลง One Colour ที่ก็พูดเรื่องสีผิว มีความเป็นเร็กเก้หน่อย ตามด้วยเพลงที่เล่นเป็น Ir Ma Sobay กลองแบบแมธเท่ กับ Irganda ที่เป็นฟังก์จังหวะสนุก ต่อกันที่ Al Hassidi Terei เพลงดังของพวกเขาที่ต้องขอตะโกนร้องแบบสุดเสียง และปิดท้ายกันที่เพลงร็อกแอนด์โรลแบบ Soubour และ Voter ที่ทำเอาโยกในท่อนริฟฟ์กีตาร์สุดโหดจนหัวเกือบหลุด

img_7036

เวลาทุ่มครึ่งเราเดินกลับมาที่ SOT กะว่าจะได้ดูวงที่รอเมื่อกี้สักนิด แต่ปรากฏว่าไม่ทันแล้ว เป็น Cyndi Seui กับ Gramaphone Children เล่นอยู่พอดี ซึ่งเซ็ตลิสต์ก็คล้าย กับทุกโชว์ที่ผ่านมา มี Silent Sigh รีมิกซ์ ต่าง แต่โชว์กลับดูสนุกกว่าโชว์อื่น อาจเพราะด้วยกลุ่มคนดูพร้อมใจกันเต้นไปกับเพลงก็เป็นได้ แล้วเราก็เดินไปส่องที่ Solar Stage ที่มี Hernandez Brothers เล่น percussion ท้องถิ่นอย่างคองก้า รวมกับดนตรีอิเล็กทรอนิกที่บรรเลงคลอ ฟังไกล ก็จัดว่าเอาเรื่องแล้วเพราะเป็นบีตเวิร์ลมิวสิกเร้า เห็นคนดู lively มาก แต่คงไม่เข้าไปเพราะคนดูก็แน่นมากเช่นกัน แล้วเราก็เดินไปเช็กที่ ALTN8 ก็ได้ยิน Midas 104 อยู่ไกล เป็น deep house ที่มาอยู่เหมือนกัน เสียงเบสหนักหน่วงเอาเรื่อง จริง ก็อยากจะเข้าไปเต้นด้วยนะแต่ตอนนั้นเป็นเวลาที่ Fellow Yang กำลังจะเล่นแล้ว

img_7028

ใครที่คิดว่าเรากำลังพิมพ์ผิด ไม่ใช่นะ ถูกแล้ว นี่คืออิเล็กทรอนิกเซ็ตของวงสามชิ้นหญิงล้วนสุดเท่ Yellow Fang พวกเธอนำเพลงฮิตต่าง ไม่ว่าจะเป็นห่มผ้า หรือ พลั้ง มาบรรเลงด้วยซินธ์ ดรัมแพด กีตาร์ไฟฟ้าโดย เท็ดดี้ Flure และเปลี่ยนมาใช้เสียงร้องใส ของแพรวา สร้างบรรยากาศสุดกรูฟกว่าเวอร์ชันปกติที่เน้นดิบกร้านเร้าอารมณ์ เป็นความแปลกใหม่ที่เราไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนสำหรับวงนี้ ต้องยอมรับตรงนี้ว่าชอบมาก ถ้าเซ็ตนี้ไปเล่นที่ไหนอีกสัญญาว่าจะตามไปดูแบบเต็ม โชว์ เพราะก่อนหน้านี้เราแวะมาก็เห็นว่ายังเซ็ตเครื่องกันอยู่และเกิดปัญหานิดหน่อยเลยไปหาอะไรกิน (ไปเฟสติวัลนี้มาสามวันถึงกับกลิ้งกลับบ้านเลยฮะ)

img_7043

ดูเยลโล่วแฟงเพลินไปหน่อย เหลือบดูนาฬิกาก็เห็นว่าเลยสามทุ่มครึ่งไปแล้ว เรารีบพุ่งไปที่ Living Stage เพื่อดูอีกวงในตำนานอย่าง Nerve อิเล็กโทรนิก้า ฟิวชัน แจ๊ส ทดลอง ที่เน้นลูกดรัมแอนด์เบส ทำเอาขวัญหนีดีฝ่อ หลอนสั่นประสาทกับความเก่งของนักดนตรีวงนี้เขาล่ะ Jojo Mayer เป็นมือกลองชาวสวิสที่ฝีมือร้ายกาจ มีลูกคร่อมที่ส่งเข้าท่อนต่าง ร่วมกับมือคีย์บอร์ด/ซินธ์และมือเบสได้อย่างรู้จังหวะ ปลุกเร้าอารมณ์คนดูได้ตลอดเวลาด้วยไดนามิกของเพลงที่ไม่คงที่ และเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเพลงของเขาจะพาเราไปถึงจุดไหน มีเพลงนึงที่จู่ ก็ใส่ดั๊บไลน์เข้ามา แบบ บ้าไปแล้วววววว แค่นี้ก็ฟินเต้นจนตัวบิดจะตายแล้วเนี่ย ขอยกให้เป็นโชว์ที่ดีที่สุดที่ดูมาในเฟสติวัลปีนี้เลย

Processed with VSCO with p5 preset

ก่อนที่จะถึงอีกวงที่รอดู เราก็แวบไปที่หมอลำบัส ขณะนั้นเป็นวงชื่อ All Thidsa ที่ตอนนั้นเล่นหมอลำดั๊บอยู่พอดี จนเวลาห้าทุ่มตรงเราถึงวิ่งกลับไปดู Wild Beasts หลังจากที่วงปล่อยอัลบั้มใหม่มาได้ไม่กี่เดือน ไม่นานนักก็ประกาศว่าพวกเขาจะเลิกทำวงร่วมกัน โชว์นี้จึงกลายเป็นโชว์ท้าย ของพวกเขาไปโดยปริยาย

img_7052

พวกเขาคือวงอิเล็กโทรร็อกของยุคมิลเลนเนียมต้น ที่เด็กฟังเพลงรุ่นราวคราวเดียวกับเราน่าจะได้ยินเพลงผ่านหูกันบ้าง แต่สำหรับบางคนพวกเขาถือเป็นไอคอนในการสร้างสรรค์งานเพลงแนวนี้ทีเดียว โดยวันนี้พวกเขาหยิบเพลงอย่าง Big Cat ต่อด้วย A Simple Beautiful Truth, We Still Got The Taste Dancin’ On Our Tongues, He the Colossus, Hooting & Howling, Mecca, Ponytail, Alpha Female เพลงดังอย่าง Wanderlust และที่กรี๊ดมาก คือเล่น This Is Our Lot ซึ่งเป็นเพลงที่ไลน์กีตาร์กับกลองเท่ชะมัดยาก แล้วท่อนโซโล่นี่คือ หื้มมมม โยกนัวไปจ้า ตามด้วย Get My Bang, All the King’s Men และส่งท้ายกันด้วย Celestial Creatures

Processed with VSCO with m5 preset

สำหรับเราคิดว่า Wild Beasts เป็นวงที่เล่นแน่นเล่นเนี้ยบตามมาตรฐานของวง ก็เป็นอีกโชว์ที่ควรได้ดู ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าพวกเขายังจะมีไลฟ์ในเอเชียอีกไหม หวังว่าคนที่ยังไม่เคยดูจะได้ตามดูกันก่อนที่พวกเขาจะหยุดพักไปนะ

17 ธันวาคม 2560

dsc_0345

และก็มาถึงวันสุดท้ายของเราและของงานแล้ว วันนี้เรามาถึงงานกันตอนสี่โมงเย็น ก็ตั้งใจว่าระหว่างที่โนแพลน เพลงเวทีไหนดึงดูดสุดก็เข้าไปอันนั้น ซึ่งเวทีแรกที่ดูดเราได้สำเร็จคือ Forbidden Fruit ที่ขณะนั้นเป็นดีเจ KFC จากสิงคโปร์ เปิดเพลงเฮาส์/ทรอปิคัลเฮาส์/ฟังก์ สนุกสนานดีงามสดใสยามบ่ายตามท้องเรื่อง

img_0982

พอเต้นไปได้สักพักก็ถึงเวลามูฟไปสำรวจที่อื่น อย่าง Tiki Bar ตอนนั้นก็เป็นดีเจ Sarayu จาก More Rice และที่ Solar Stage ก็มี Cacao Ceremony ที่ทุกคนที่ไปร่วมจะได้รับแจกโกโก้คนละแก้วเพื่อชำระจิตใจด้วยการรักษาแบบมายันโบราณ แล้วทุกคนจะมาร่วมสวดมนต์บูชาพระอาทิตย์กัน เปิดคลอไปด้วยเพลง deep house, tech house, world music เพลิดเพลินจำเริญใจ

dsc_0306

จนตอนทุ่มนึงถึงได้มูฟไปดูยัง SOT มีวงบลูส์อย่าง Southern Boys เล่นอยู่ คนดูดูเอนจอยกันมาก ส่วนเราก็นั่งกิน Shawarma เป็นอาหารคล้าย เคบับของชาวอิสราเอล แล้วก็ลุกไปดู Yeasayer วง electro experimental, world beat กับสารพัดเพลงน่ารักรวมซาวด์ท้องถิ่นจากหลากหลายประเทศมาไว้ด้วยกัน พอดูไปได้พักนึงเราก็วิ่งไปที่ Tiki Bar เพื่อเต้นกับเพลงเร็กเก้ ดั๊บ แดนซ์ฮอล อุ่นเครื่องรออีกวงที่อยากดูวงถัดไป

1

บรรยากาศที่ Tiki Bar สุดแสนจะเงียบเหงา มีเพียงเรา ฝรั่งหญิง และฝรั่งชายอีกคน เต้นกันอยู่หน้าบูธดีเจ เราไม่แน่ใจว่าพวกเขาคือใคร แต่เปิดเพลงได้ดีทีเดียว จากนั้นเราก็เดินผ่านเวิร์กช็อป Ecstatic Dance คือทุกคนเต้นตามบีตเวิร์ลมิวสิกอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เรียกว่าใส่พลังจากภายในแบบเต็มเหนี่ยว อยากจะเข้าไปแจมนะ แต่วงที่อยากดูใกล้ขึ้นเล่นแล้ว เราเลยวิ่งไปกดค็อกเทลสุดอร่อยที่ Marcel นางชื่อ Tropical Cunt ใส่ว้อดก้า มะม่วง เสาวรส และโซดา เจ้มจ้น (อร่อยและมึนกว่าน้ำพันช์เมื่อเช้าราคา 400 แต่ไม่รู้สึกอะไรเลย) เอาจริงว่างานนี้ถ้างบน้อยจะหาเหล้าอร่อยเจอยากมาก ต้องลงทุนกันหน่อยแล้วพุ่งไปที่ SOT เพราะมีร้านอย่าง Peppina, 80/20 หรือ Morimoto ที่การันตีค็อกเทลได้ (เรารัก yuzushu ของโมริโมโตะมาก กินปีนี้เป็นปีที่สองแล้ว)

Processed with VSCO with c1 preset

เรามาประจำที่ Living Stage เราค่อนข้างแปลกใจที่ปีนี้เราสามารถแทรกตัวเข้ามาที่โซนด้านหน้าของเวทีได้อย่างง่ายดายในหลาย โชว์ ทั้งที่หลาย วงที่มาเล่นในปีนี้ก็ล้วนแต่เป็นวงมากความสามารถแต่คนดูกลับบางตา บางทีก็เป็นไปได้ว่า dj act อาจจะตอบโจทย์คนดูในปีนี้มากกว่าก็เป็นได้ เพราะส่วนใหญ่ถ้ามาดูกันจริง จะเป็นวงสาย world music, reggae dub dancehall ซะเยอะ ส่วนดีเจก็ชื่อโหดหลายคน โดยเฉพาะกับเวที ALTN8 ที่แทบจะขนมาจากคลับในเบอร์ลินหมดเมืองเลยมั้ง พอสามทุ่มตรง นักดนตรีทุกคนประจำตำแหน่งตัวเอง Chronixx & Zincfence Redemption เริ่มบรรเลง ‘reggae music from Jamaica’ ให้พวกเราฟัง บอกเลยว่าทุกคนแถวหน้าเต้นยับ งานเอวงานตูดต้องมา ใส่เต็มสเต็ปอย่างพร้อมเพรียง กลิ่นสมุนไพรคละคลุ้งอีกครั้งตามสูตร เราล่องลอยไปกับเสียงดนตรีจังหวะหนุบหนับที่โอบอุ้มเราไว้ เพลงของเขามีทั้งที่เป็นจาไมกันเร็กเก้แท้ แล้วที่เหวอมาก คือเร็กเก้ผสมนีโอโซล ที่เล่นออกมาแล้วมีคลาสสุด ยิ่งถ้าเขาร้องแบบ r&b คือ fine voice มาก บางครั้งก็มี dancehall มาให้โยกย้ายส่ายสะโพกด้วย

img_7196

อย่างครั้งนี้ครอนิกซ์และผองเพื่อนส่งเพลงอย่าง Majesty, Perfect Tree, Smile Jamaica, Who Knows, Ghetto People และปิดท้ายกันที่เพลงหนักหน่วงผสมผสานเร็กเก้และเมทัลสุดโหดอย่าง Blaze Up Di Fire ตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งสุดยาวนานกลับไม่เพียงพอสำหรับพวกเรา เป็นโชว์ที่ปิดท้ายเฟสติวัลได้อย่างสมคำร่ำลือและงดงาม ด้วยการที่เขาจะพูดเสมอ ในความภาคภูมิใจกับดนตรีเร็กเก้ที่เป็นสมบัติของสายเลือดจาไมกัน และเป็นดนตรีสำหรับทุกคน

img_7018

หลังจากฟินกับครอนิกซ์และผองเพื่อนเรียบร้อยแล้วก็ถึงคราวที่ต้องบอกว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราเราเลือก ALTN8 เป็นที่สุดท้ายของค่ำคืนนี้ ในขณะที่เพื่อน คนอื่น มุ่งหน้าไปที่ SOT โดยนัดกันว่าเที่ยงคืนต้องกลับแล้วเพราะวันรุ่งขึ้นต้องออกเดินทางกลับกรุงเทพ แต่เช้า (และเราเป็นคนขับรถ เลยต้องโนแอล โนดึก จะให้นั่ง Grab กลับเที่ยวละ 800 ก็ไม่ไหว ได้แต่เศร้าทำใจยอมรับกันไป)

img_6914

ก่อนหน้านี้ทั้งสองวัน เราได้แต่เดินเฉียด เวทีแห่งนี้โดยไม่ได้เข้ามาดื่มด่ำบรรยากาศของมันจริง นี่จึงเป็นโอกาสดีที่เสียงเบสและซาวด์อิเล็กทรอนิกจะช่วยปิดฉากชีวิตเฟสติวัลในปีนี้ของเราได้อย่างสมบูรณ์ เราก้าวเข้ามาในโรงละครสัตว์คลุกฝุ่นใช่ ผู้คนพากันเต้นไปกับเพลงเทคโนกันแบบไม่ได้สนใจว่าปอดจะกรองฝุ่นเข้าไปมากน้อยขนาดไหน เราก็เป็นหนึ่งในนั้น ลูปของบีตยังคงดำเนินไปแบบไม่มีท่าทีว่าจะหยุดได้ง่าย มันสนุกจนเกินห้ามใจไหว เหมือนยก BE<M มาไว้ที่ Wonderfruit (เพราะเจอคนหน้าคุ้นที่ไปบีมบ่อย ที่เวทีนี้) จนเพื่อนต้องเมสเสจมาหาบอกว่ามา SOT เร็ว เขาเปิด 80s’ แต่เอาจริงว่าส่วนตัวเราอินกับเพลงที่กำลังเต้นอยู่ขณะนี้มากกว่า

img_7116

เวลาเที่ยงคืนนิด เราจำต้องบอกลา vibes สุดแสนประทับใจนี้ ผู้คนเต้นรำไปกับเพลงจังหวะเร้า ภาพตรงหน้าคือสีสันของไฟวับวามที่สาดแสงไปบนประภาคารที่เป็นบูธดีเจ คู่รักเดินขึ้นไปอยู่บนยอดของมันและเต้นรำอย่างสนุกสนาน เราไม่อยากให้ค่ำคืนนี้จบลงเลยจริง แต่แน่นอน เราห้ามเวลาไม่ได้

แต่เมื่อเราเดินไปถึง SOT เพลงที่ได้ยินถึงกับทำเราอ้าปากค้างและคิดในใจว่า กูจะกลับไป ALTN8 เดี๋ยวนี้!!!! มันคือเพลง Happy ของ Pharrell Williams ที่เปิดอยู่เว่ย ไหนคือ 80s มึง!!!! แต่พอจบจากนั้นแล้วเป็น Hit the Road Jack เวอร์ชันรีมิกซ์ก็ค่อยยังชั่วหน่อย แล้วตามด้วย big band jazz อีกเพลง ตอนพากันเดินออกมาเพื่อนเล่าให้ฟังว่ามันเปิด 80s จริง แต่เปิดเพลงละท่อนเป็น mashed up Thriller กับ Beat It ของ Michael Jackson ก่อนหน้านี้เปิด Shake it Off ของ Taylor Swifts อีก ขอคอนเซปต์การเปิดเพลงของพี่ด้วยค่าาาาา ฮือออออ เอาง่าย เราว่าเวทีนี้คือช่วงก่อนหน้าจะเป็นวงสด พอค่ำหน่อยก็จะเปิดฮิปฮอป แต่พอดึก ก็เปิดเอาฮิต เอามันละ คนเมาเพลงอะไรมามันก็เต้นหมดแหละ แล้วพิเศษสุดในคืนสุดท้ายคือได้ ขันเงิน Thaitanium มาเป็น mc คอยตะโกนใส่ฝูงชนว่า ‘You guys make some fucking noiseeeee’

img_7121

สำหรับ Wonderfruit ในปีนี้เรารู้สึกว่ามีความ lively ขึ้นกว่าปีก่อน ด้วยโทนสี คอนเซปต์การตกแต่ง ทำให้รู้สึกว่ามันน่ารักกรุบกริบสดใส ที่สำคัญคือพวกเขามีความใส่ใจรายละเอียดของแต่ละเวทีเช่นเคย อย่าง Living Stage นี่เห็นเป็นซี่ไม้เรียงกัน หรือ Solar Stage ก็ทำเป็นผ้าขึงสีทองขลิบฟ้าสวยงาม Farm Stage ก็เป็นผ้าที่ใช้เทคนิคพับและตัด พอกางออกมาก็ดูเหมือนเป็นตาข่ายยักษ์สีสวยสด สำหรับ live band ก็ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรเพราะความบางเบาของประชากรหน้าเวที รวมถึงขนาดเวทีที่เล็กลงถนัดตา อาจเป็นเพราะมีเวทีย่อยเพิ่มเข้ามาและมีดีเจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนแบบเลือกดูไม่ถูก ทั้งยังมีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก ด้วยความที่เราเริ่มเล่นโยคะในปีนี้เลยรู้สึก involve กับพาร์ตนี้ของงานมากขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เล่นเพราะพอไม่ได้นอนที่ campsite มันก็มีความขี้เกียจตื่นเช้า แล้วเราเป็นคนขับรถก็ต้องรอให้ผองเพื่อนทุกคนตื่น อาบน้ำ แต่งตัว เตรียมตัวมางานอย่างพร้อมเพรียงกัน หรือเวทีอย่าง The Quarry ก็ไม่ได้ไป เพราะมันทั้งไกลและมืดไปหน่อย (ในกรณีเดินกลับออกมา เพราะคนส่วนใหญ่เขาไปสิงที่นั่นกันจนเช้าเลยไม่เป็นปัญหาตรงนี้) ก็คิดว่าปีหน้าถ้ามีโอกาสได้ไปอีกเราคงนอนแคมป์ไซต์แบบตอนปีแรกที่ไปแล้วล่ะ อาจจะไม่ค่อยสะดวกสบายแต่คล่องตัวกว่ากันเยอะเลย ของกินก็เยอะขึ้น ร้านค้าเสื้อผ้าก็เยอะขึ้น คนมางานก็เยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถือว่างานก็ประสบความสำเร็จมากขึ้นทีเดียว หวังว่าในปีหน้า เทศกาล Wonderfruit จะยังคงจัดต่อไปและมีวงดนตรี ดีเจ รวมทั้งกิจกรรมต่าง ให้เราได้มา Live . Love . Wonder ไปด้วยกันอีกนะ

dsc_0347

dsc_0323

img_7102

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้