Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

โชว์สุดท้ายของ Yellowcard วงป๊อปพังก์ที่เราจะคิดถึงเสมอ

  • Story and photos by Krit Promjairux

Farewells are always difficult

ข้อความนี้ปรากฎขึ้นในซีนแรกของ music video เพลง Rest in Peace ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มชุดสุดท้ายของวง Yellowcard

24 มิถุนายน 2016 เวลา 23 นาฬิกา 58 นาที Yellowcard ได้โพสประกาศบนหน้าเฟซบุ๊กเพจของวงว่ามีเรื่องสำคัญมาก ๆ จะประกาศให้แฟน ๆ ทุกคนทราบผ่านทางเว็บไซต์หลักของวง

เมื่อคลิกเข้าไปคุณจะพบกับจดหมายเปิดผนึกความยาวประมาณหนึ่งหน้ากระดาษจากสมาชิกวง Yellowcard ประกาศยุติบทบาทในฐานะวงดนตรีหลังจากยืนหยัดอยู่ในวงการมายาวนานกว่า 20ปี โดยจะทิ้งทวนด้วยอัลบั้มชุดสุดท้ายที่มีชื่อเดียวกับวง และจะมี world tour รอบสุดท้ายแทนคำกล่าวอำลา

ผมจำได้ว่ารู้สึกค่อนข้างช็อกเมื่อได้อ่านจดหมายฉบับดังกล่าว จู่ ๆ วงดนตรีอีกวงที่เปรียบเสมือนเพื่อนที่คอยให้กำลังใจและพาเราผ่านช่วงเวลายากลำบากต่าง ๆ ในชีวิตมาได้ ได้ส่งจดหมายมาบอกลา ไม่น่าเชื่อว่าการประกาศแยกตัวของกลุ่มคนกลุ่มนึงที่มีชีวิตห่างไกลออกไปหลายพันไมล์ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามีตัวตนอยู่บนโลก จะสามารถสร้างความสะเทือนใจให้กับคนอยู่อีกฟากได้ขนาดนี้ แม้ว่าสำหรับผม Yellowcard จะไม่ใช่วงดนตรีที่สร้างแรงบัดดาลใจจนผมต้องลุกขึ้นมาจับกีตาร์และหัดเล่นดนตรีอย่างจริงอย่างที่ Bodyslam หรือ Greenday ได้มอบพลังนั้นแก่ผม แม้ผมจะรู้จัก Yellowcard หลังจากกระบวนการนั้นได้เกิดไปขึ้นไปแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็คือวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมเสมอ

yctik

ผมได้มีโอกาสได้ร่วมเติบโตและผ่านวันและเวลาไปด้วยกันกับ Yellowcard จากตอนม.ปลายที่ผมชื่นชอบในความพระเอกของวงนี้ จากเนื้อเพลงที่หล่อซึ้งหวานเจี๊ยบในเพลง Gifts and Curses ที่เขียนออกมาจากมุมมองความรักของ Peter Parker ที่มีต่อ Mary Jane Watson ในภาพยนตร์เรื่อง Spider-Man 2 สู่ช่วงที่ผมพึ่งย้ายเข้ามาเรียนต่อมหาลัยที่กรุงเทพ ฯ ซึ่งถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของชีวิต เพลง Be The Young ช่วยปลอบประโลมและบอกกับผมว่าผมไม่ได้รู้สึกสับสนและหวาดกลัวการโตเป็นผู้ใหญ่อยู่คนเดียว จนถึงเป็นซาวด์แทร็คประกอบการผจญภัยในเพลง Southern Air ที่ผมเปิดฟังขณะยืนเอาเท้าจุ่มน้ำทะเลยอยู่ที่ริมหาดที่ฮอยอันในประเทศเวียดนามเพื่อเป็นการฉลองให้กับความกล้าของตัวเองที่แบกออกเป้ออกมาเที่ยวต่างประเทศคนเดียวเป็นครั้งแรก

ycq

ที่แย่ก็คือ กว่า 10 ปีที่ผมได้มีโอกาสได้รู้จักและฟังเพลงของพวกเขามา ผมไม่เคยมีโอกาสได้ดูพวกเราเล่นสดสักครั้งเลย จริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรที่วงดนตรีจากฟลอริด้าวงนี้จะบินข้ามน่านฟ้าประเทศไทยไปเปิดการแสดงที่อื่นแทนที่จะแวะมาบ้านเรา แต่ทุกครั้งที่วงเฉี่ยวมาเปิดการแสดงในประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงกับเราอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย ผมก็มักมีเหตุติดขัดที่ทำให้ต้องพลาดการแสดงสดของพวกเขาอยู่ร่ำไป ทั้งติดสอบ ติดทำค่ายอาสา รวมถึงลางานไปไม่ได้เพราะตอนนั้นเพิ่งเริ่มงานใหม่ จนกระทั่งเช้าวันนั้นเองที่ผมได้สัญญากับตัวเองไว้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมจะต้องไปดูพวกเขาสำแดงเดชใน world tour รอบสุดท้ายครั้งนี้ให้ได้

meattheconcert

หลังจากที่วงประกาศทัวร์เอเชียออกมา ผมเลือกไปดูโชว์ที่สิงคโปร์ ที่แม้ค่าครองชีพและค่าตั๋วคอนเสิร์ตอาจจะแพงกว่าที่อื่น (นอกจากญี่ปุ่น ประเทศในเอเชียที่วงเลือกไปทัวร์ครั้งนี้คือฮ่องกง และฟิลิปปินส์) แต่ก็เป็นประเทศที่สามารถบินจากกรุงเทพ ฯ ได้ในราคาถูกที่สุด Yellowcard – Final Word Tour in Singapore จัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2017 ที่ The Coliseum, Hard Rock Hotel บนเกาะ Sentosa Island  หลังจากเพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่แปลกตา อาหารอร่อย ๆ จากหลากเชื้อชาติ ลุยงาน underground ที่นู่นไปหนึ่งโชว์ ก่อนปิดท้ายด้วยการเล่น Skyline Luge ไปอีก 3 รอบ เราก็มาถึงบริเวณหน้าสถานที่จัดงาน บรรยากาศหน้างานเป็นไปอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีการยืนออดื่มเบียร์กันหน้างานเหมือนบ้านเรา เดาว่าน่าจะเพราะไม่มีขาย ผมไปถึงหน้างานประมาณ 6 โมงเย็น แถวของแฟนเพลงที่กำลังรอเข้าไปชมคอนเสิร์ตตอนนี้ถือว่ายาวทีเดียว เนื่องจากสถานที่จัดงานอยู่ในส่วนที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศ ทางงานจึงมีการจัดระเบียบแถวเป็นอย่างดีเพื่อที่จะได้ไม่รบกวนนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ทุกอย่างดูเป็นระเบียบเป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศมาก ผู้คนในแถวก็นั่งรอกันอย่างสงบเสงี่ยม บางคนผมเห็นมารอตั้งแต่บ่ายเพื่อจะได้เข้าคิวแรก ๆ อดทนนั่งอยู่ในแถวไม่ไปไหน นอกจากนั้นหน้างานยังมีบูธขาย merchandise เล็ก ๆ ของทางวงประกอบด้วยเสื้อทัวร์และอัลบั้มต่าง ๆ ของวงให้แฟน ๆ ได้ซื้อเก็บเป็นที่ระลึก ผมเลือกสอยซีดีอัลบั้ม self-titled ซึ่งเป็นอัลบั้มสุดท้ายของทางวงสนนราคาอยู่ที่ 25 เหรียญสิงคโปร์เป็นที่ระลึกก่อนไปต่อแถวเข้างาน

merch

แฟนเพลงของ Yellowcard ที่นี่ทำให้ผมรู้สึกแปลกตามาก ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับคนดูคอนเสิร์ตต่างประเทศที่บ้านเรา สำหรับบ้านเรา คนที่เลือกมาดูคอนเสิร์ตวงร็อกต่างประเทศฝั่งบ้านเราส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ไม่ได้เสพดนตรีหรือสื่อกระแสหลักเพียงอย่างเดียว สรุปสั้น ๆ คือ คนสายแมสคงไม่ได้เลือกมาดูคอนเสิร์ตอย่าง MxPx หรือ New Found Glory แน่ ๆ ในทางตรงกันข้าม ดูจากหน้าตาอาตี๋อาหมวยที่มาต่อแถวเข้างานและการสอบถามจากคนที่นี่แล้วคำตอบดูเหมือนจะตรงข้ามกัน ดูเหมือนภาษาราชการหรือภาษาหลักที่คนสิงค์โปรใช้ในตอนนี้จะเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้วัยรุ่นที่นี่ฟังเพลงจาก Billboard และตามเทรนด์ดนตรีฝั่งตะวันตกกันเป็นเรื่องปกติ การมาดูวงอย่าง Yellowcard ของคนหนุ่มสาวที่นี่คงจะเหมือนกับมาดู Potato หรือ Big Ass บ้านเรานี่แหละ คือเป็นวัยรุ่นทั่วไปของที่นี่ จำนวนผู้หญิงและผู้ชายพอ ๆ กันค่อนไปทางผู้หญิงเยอะกว่าด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามด้วยความที่นี่คือ world tour รอบสุดท้ายทำให้มีคนดูมากันจากหลาย ๆ ช่วงวัยทั้งจากในสิงคโปร์และประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซียอีกด้วย

wrsitbrand

เมื่อเข้าไปในตัว The Coliseum สถานที่จัดงาน ที่เป็นคล้ายโลงละครกึ่ง ๆ outdoor ที่ตั้งอยู่หน้า Hard Rock Hotel ผู้คนก็ไปยืนจับจองพื้นที่ จำนวนคนที่ในบริเวณงานตอนนี้ค่อนข้างเยอะแล้ว แต่ก็ถือว่าไม่แน่น มีที่ยืนสำหรับทุกคนโดยไม่ต้องเบียดกันนักและมีลมพัดผ่านอยู่ตลอดทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด ภายในงานที่มีการแจกเครื่องชูกำลัง Monster Energy Drink ให้กับคนดูทุกคนที่เข้างานคนละหนึ่งแก้วมาให้ซดแก้กระหาย และมีบูธขายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์อยู่ด้านหลัง บรรยากาศดูสบาย ๆ จนกระทั่งประมาณทุ่มครึ่งไฟบนเวทีก็ดับลง ได้เวลาสำหรับวงเปิดของงานวันนี้

thesummerstate1

The Summer State วงดนตรีป๊อปพังก์เจ้าถิ่นถูกเลือกให้รับหน้าที่เป็นวงเปิดในวันนี้ ซาวด์ดนตรีของพวกเขาเป็นดนตรีป๊อปพังก์ที่มีความเป็นเมโลดิกสูงคือ เป็นวงที่มีเมโลดี้แบบเพลงป๊อป ไพเราะ ฟังง่าย บวกกับกีตาร์พาวเวอร์คอร์ดและสัดส่วนกลองที่ชวนโดด ก่อนจะตบด้วยท่อนเบรกดาวน์นิดหน่อยตามสมัยนิยม ถ้าใครชื่นชอบวงอย่าง Mayday Parade, Hit The Lights, State Champ etc. รับรองถูกใจแน่นอน ทางวงเลือกเปิดโชว์ด้วย Trying Was My Only Regret” แทร็คแรกจาก EP ชุดแรกของทางวง สมาชิกทุกคนใส่กันยับตั้งแต่เพลงแรกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Victoria Chew มือกีตาร์สาวสวยยอดฝีมือของวง แม้ว่าคนดูยังคงนิ่งอยู่แต่ทุกคนก็เล่นกันเต็มที่ไม่เสียกำลังใจ ต่อด้วย Love, That’s What They Call It These Days อีกผลงานออริจินอลของวงที่ทำให้ทุกคนต่างโยกหัวตามกับจังหวะเบรกดาวน์ที่ทางวงจัดให้กับทุกคน

yc1

ผมประทับใจมาก ๆ กับการได้ดู The Summer State เล่นสดในวันนี้เป็นครั้งแรกเนื่องได้ยินชื่อและติดตามผลงานมาอยู่เนือง ๆ เรียกได้ว่าไม่ทำให้ผิดหวัง คุณภาพของการเขียนเพลงและการเล่นสดสามารถสู้กับวงฝั่งอเมริกาได้สบาย ๆ เลยจริง ๆ ทางวงจัดต่อไปอีก 2เพลง ก่อนที่จะปิดการแสดงด้วย I Do, I Don’t เพลงพาวเวอร์บัลลาดที่ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลแรกของทางวง รู้สึกโคตรดีที่ได้ฟังเพลงนี้สด ๆ สักที เป็นอีกวงที่อยากแนะนำให้ทุกคนฟังหากคุณอยากจะลองฟังวงในแถบอาเซียน ประทับใจขนาดตอนคอนเสิร์ตเลิกต้องตามซื้ออัลบั้มมาเก็บไว้กันเลยทีเดียว

“Everything is gonna be alright
Everything is gonna be alright
Everything is gonna be alright
Be strong. Believe.”

From Believe อัลบั้ม Ocean Avenue (2003)

ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา Yellowcard พระเอกของงานก็ถึงคิวขึ้นแสดง สมาชิกทุกคนเดินขึ้นเวทีด้วยแถวตอนเรียงหนึ่งนำโดย Sean Mackin มือไวโอลินและผู้เรียบเรียงเครื่องสายประจำวง ตามมาด้วยฟรอนต์แมน/กีตาร์ Ryan Keys, Josh Portman เบส และ Ryan Mendez ลีดกีตาร์  ตามลำดับ เมื่อทุกคนเข้าประจำตำแหน่งเรียบร้อย ริฟฟ์ไวโอลินจากอินโทรเพลงแรกถูกบรรเลงขึ้นเป็นสัญญานให้ทุกคนเตรียมพร้อมก่อนที่ไฟสปอตไลต์จากเวทีลุกวาบขึ้นมาพร้อมกับโน้ตกีตาร์ตัวแรก Believe บทเพลงแรกในคอนเสิร์ตสุดท้ายของพวกเขาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากอัลบั้ม Ocean Avenue ผลงานคลาสสิกของทางวงที่ทำให้เกิดจลาจลขนาดย่อม ๆ กลางคอนเสิร์ตในทันที

yc3

ต่อด้วย Light and Sounds, Way Away และ Always Summer ที่เพิ่มดีกรีความเดือดให้กับแฟน ๆ อย่างต่อเนื่อง คนดูต่างพากันกู่ร้องอย่างสุดเสียงโดดกันแบบไม่คิดชีวิต วงพิทเริ่มขยายใหญ่และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนเพลงที่เล่นก่อนจะนำมาซึ่งความโกลาหลแบบสุดขีดในเพลง  Five Becomes Four เพลงที่เร็วที่สุดในอัลบั้ม Paper Walls ที่ทำให้เกิด circle pit วงใหญ่ขึ้นกลางฝูงชน ในจังหวะเดียวกัน กลุ่มคนดูที่ยืนอยู่ด้านหลังอาศัยจังหวะนี้ดันตัวเพื่อจะไปด้านหน้าเวที ผมขอสารภาพว่าไม่ค่อยได้ enjoy หรือซึมซับบทเพลงที่เล่นอยู่บนเวทีในช่วงแรกได้อย่างเต็มที่นัก เพราะต้องคอยทรงตัวและไหลไปกับฝูงชนเพื่อไม่ให้ล้มด้วยแรงดันจากคนดูที่อยู่ด้านหลัง กว่าจะอยู่ตัวก็ผ่านไปแล้ว 5 เพลง

We came down to watch the world walk by
And all she found was trouble in my eyes
From the sky she pulled me down tonight
Let her go

From Rough Landing, Holly อัลบั้ม Lights And Sounds (2006)

หลังจากกดไป 5 เพลงแบบ non-stop ไรอัน คีย์ ฟรอนต์แมนต์ของวงก็ได้กล่าวทักทายแฟนเพลงอย่างเป็นทางการไรอันบอกว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นเสมือนการรวมแฟนเพลง Yellowcard จากทุกยุคเพื่อมาสร้างความทรงจำร่วมกันและยังกล่าวขอบคุณแฟนเพลงชาวสิงคโปร์ว่าตัวพวกเขาเองโชคดีแค่ไหนที่กลับมาเล่นที่นี่หลายต่อหลายครั้ง ก่อนที่จะลุยกันต่อกับ Rest in Peace บรรยกาศคอนเสิร์ตเริ่มอยู่ตัวไม่ได้กระแทกกระทั้นเหมือนช่วงแรก คนดูโยกไปตามจังหวะของดนตรีและร้องตามอย่างพร้อมเพียง ต่อด้วยอีกหนึ่งเพลงจากอัลบั้มล่าสุด What Appears และ Rough Landing, Holly ที่ผมยกให้เป็นเพลงจุดชนวนของคอนเสิร์ตในค่ำคืนนี้ ด้วยจังหวะกลองที่ปลุกเร้า กีตาร์ไลน์ประสานที่ควบทะยานไปพร้อมกับไวโอลิน ตบด้วยเสียงร้องและเนื้อเพลงของไรอัน คีย์ ทำให้บรรยากาศเดือดขึ้นมาอีกครั้ง ต่อด้วยเพลงที่คนทั้งฮอลต่างพร้อมใจกันโดดสุดตัวกันทั้งฮอลอย่าง Awakening ที่ทำเอาผมน้ำตาเล็ด คุณไม่รู้หรอกว่าผมรอช่วงเวลาที่จะได้กระโดดโลดเต้นแหกปากไปกับเพลงนี้แบบสด ๆ มานานแค่ไหน และ Light Up The Sky ที่น่าจะซิงเกิ้ลที่คนชอบน้อยที่สุดของวงแต่พอได้มาฟังสด ๆ แล้วไม่ขี้เหร่เลย

Say tomorrow
I can follow you there
Just close your eyes
And sing for me

From Sing For Me อัลบั้ม When You’re Through Thinking, Say Yes (2011)

ถึงช่วงกลางคอนเสิร์ต ไรอัน คีย์พูดถึงเพลงที่กำลังจะเล่นต่อไปว่าเป็นเพลงที่เขาเขียนอุทิศให้แก่คุณป้าของเขาที่เป็นผู้ที่คอยสนับสนุนและเป็นแรงผลักดันให้เขาและ Yellowcard ให้ฝ่าฟันมาถึงทุกวันนี้ได้ ไรอันเล่าว่าพวกเขาได้มีโอกาสได้เล่นเพลงนี้ให้คุณป้าฟังครั้งนึงก่อนที่เธอจะจากไปหลังจากต่อสู้กับโรคมะเร็งมาหลายปี วันนี้เขาจึงอยากจะเล่นเพลงนี้อีกครั้งร่วมกับทุกคนเพื่ออุทิศให้กับใครก็ตามที่เรารักและไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้ว

“ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่กับพวกเราที่นี่ ในคืนนี้ มันไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถร้องเพลงนี้ให้สุดเสียงเพื่อให้จะทำให้พวกได้ยินได้ จริงมั้ย”

นี่คือประโยคที่ไรอันกล่าวก่อนที่วงจะเริ่มเล่นเพลง Sing For Me เป็นการแสดงสดที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ระหว่างที่ร้องเพลงร่วมไปกับวง แวบนึง ณ ตรงนั้น มันทำให้ผมนึกถึงรุ่นพี่สมัยมหาลัยของผมคนนึงที่ด่วนจากกันไปอย่างกระทัน คนที่ผมรู้ว่าถ้าเขายังอยู่ พี่คนนี้จะเป็นคนแรก ๆ ที่ผมจะเล่าเรื่องคอนเสิร์ตคืนนี้ให้เขาฟัง พอกวาดสายตาไปรอบ ๆ คนดูจำนวนไม่น้อยเลยที่น้ำตาซึมระหว่างร้องเพลงนี้ไปด้วยกัน มันช่างเป็นช่วงเวลาที่วิเศษที่ดนตรีมอบโอกาสให้เราได้นึกถึงใครสักคนอยากลึกซึ้ง ได้ปลดเปลื้องห่วงคำนึงและความคิดถึงที่อยู่ในใจ เป็นความทรงจำที่ทุกคนในคืนนี้จะจดจำไปอีกนาน ก่อนจะต่อด้วยยก 3 Life a Sail, A Place We Set Afire, With You Around, Cut Me, Mick และ Breathing เป็นเซ็ตที่จัดทุกคนได้โดดและแทคเคิลกันอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะผ่อนจังหวะให้คนดูได้พักอีกครั้งด้วยการหยิบเพลง Empty Apartment มาเล่นในแบบอะคูสติกที่คนดูทุกคนต่างร่วมกันร้องอย่างสุดเสียงแบบประโยคต่อประโยคทำให้เป็นเพลงทรงพลังมาก ๆ แม้จะมีเพียงอะคูสติกกีตาร์หนึ่งตัวและเสียงร้อง ก่อนจะตามด้วยเพลงกึ่งอะคูสติกอย่าง Hang You Up ที่คนดูร้องตามชัดถ้อยชัดคำไม่แพ้กัน แลวงจะลาเวทีไปด้วยสองเพลงหม่น ๆ อย่าง Be the Young และ Holly Wood Died

yc2

สมาชิกวงทั้งหมดเดินลงไปพักหลังเวทีแต่เราพวกรู้ดีความคอนเสิร์ตยังไม่จบแค่นี้ ในเมื่อพวกเขายังไม่ได้เล่นเพลงที่ฮิตที่สุดให้พวกเราได้ฟังกันเลยหลังจากคนดูร่วมกันตะโกนเรียกวงอยู่นาน พวกเขาก็กลับมาเวทีอีกครั้งในช่วงอังกอร์พร้อมเพลงโคตรของเด็กอีโมยุค early 2000 กับ Only One ที่วัยรุ่น(ตอนปลาย)ได้มีโอกาสแหกปากกันให้ปอดฉีกดังเช่นเนื้อเพลงท่อนคอรัสของเพลงนี้ ก่อนจะปิดท้ายด้วย Ocean Avenue ถึงตอนนี้เรียกได้ว่าใครมีแรงเหลือเท่าไหร่ก็ใส่กันเต็มที่กับเพลง ๆ นี้

I remember the look in your eyes
When I told you that this was goodbye
You were begging me not tonight
Not here, not now
We’re looking up at the same night sky
And keep pretending the sun will not rise
Be together for one more night
Somewhere, somehow

From Ocean Avenue อัลบั้ม Ocean Avenue (2003)

yc4

คนดูทุกคนร้องท่อนบริดจ์ราวกับอ้อนวอนให้พวกเขาอยู่ต่อ เล่นต่อไป อย่ายุบวงเลย นี่คงเป็นสิ่งที่เดียวที่แฟนเพลงอย่างพวกเราทำได้ คือร้องให้สุดเสียง สนุกให้เต็มที่เมื่อยังมีโอกาส ซัพพอร์ตศิลปินที่ตัวเองรัก ความเป็นสาวก Yellowcard ของผมได้ถูกเติมอย่างสมบูรณ์แล้วในวันนี้ ผมได้มีโอกาสได้ดูอีกวงดนตรีที่ผมรักและเป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ผมมีโอกาสได้ขอบคุณพวกเขาเป็นครั้งแรกและสุดท้ายที่บทเพลงของพวกเขาได้ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและช่วยให้ผมผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากในชีวิตมาตลอดช่วงชีวิตมหาลัย Yellowcard จะอีกวงดนตรีที่จะอยู่ในใจของผมตลอดไป

I don’t hear music anymore
My ears are tired of all the pictures in the words
Cause you are in them…still

From Hang You Up อัลบั้ม When You’re Through Thinking, Say Yes (2011)

#ripyc #yellowcard #singapore

 

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้