Potato interview fungjaizine ชุดที่เจ็ด CHUDTEEJED

Article Interview

อัลบั้ม CHUDTEEJED สรุปเรื่องราว 7 ปีที่ผ่านมาของ Potato

  • Writer: Malaivee Swangpol
  • Photographer: Chavit Mayot

หลังจาก 18 ปี บนเส้นทางการเป็นศิลปินในชื่อ Potato ก็ได้ฤกษ์เข็นอัลบั้ม CHUDTEEJED มาให้แฟน ๆ ได้ฟังอัลบั้มชุดที่ 7 ของวง 7 ปีแห่งการผลิต ซึ่งอัดแน่นไปด้วย 15 เพลงที่ให้ครบทุกรส ซึ่งวันนี้ Fungjaizine ก็ได้พูดคุยกับพวกเขาอย่างเต็มอิ่มเกือบชั่วโมงครึ่ง มาอ่านเรื่องราวการเดินทางของ CHUDTEEJED กัน ว่าจะเข้มข้นและสนุกสนานขนาดไหน

ช่วงนี้ฟังศิลปินคนไหนเป็นพิเศษ

ปั๊บ: ฟัง Potato ได้ไหม (หัวเราะ) ถ้าของผม ผมฟังพี่ ๆ The Parkinson แล้วก็แวะเวียนไปทาง Polycat บ้าง นอกจากนี้ก็อยู่ในเทือก ๆ r&b ครับ ฟังนนท์ ธนนท์ด้วย

หั่ง: ปกติที่อยู่ในรถประจำยังเป็น John Mayer อยู่ ได้ไปดูมาด้วย ชอบมากครับ น้อยแต่มาก กำไรมากครับ (หัวเราะ) แล้วก็ช่วงนี้ย้อนกลับไปฟังยุคที่เราเริ่มหัดเล่นดนตรีอย่าง Guns N’ Roses, Mr. Big เป็นแฮร์แบนด์หน่อย เหมือนพอเราเคลียร์อัลบั้มเสร็จก็หาอะไรเก่า ๆ มารับความรู้สึก ความทรงจำเก่า ๆ มา

กานต์: ของผมก็ทั่วไป คล้าย ๆ ของพี่หั่ง มีหลายอย่าง (หัวเราะ) ฮิปฮอปด้วย ฟังไปเรื่อย พอเราเริ่มซ้อมกลอง เราก็จะเปิดเพลงอื่น ๆ ฟัง ซ้อมไปด้วย

หั่ง: กานต์บ้า Metallica มากตอนนี้ (หัวเราะ)​ ชวนไปดูไม่ยอมไป นี่ผมซื้อบัตรเรียบร้อยแล้ว

โอม: ผมฟังหมดเลยครับ ถ้าเอาล่าสุดเมื่อเช้าฟัง Norah Jones (เพื่อน ๆ พร้อมใจกันแซว) Metallica ก็ฟัง คือมันเปิดมาเจออะไรก็ฟัง

หั่ง: ไม่มีใครบอกฟัง Potato เลย (หัวเราะ)

ปั๊บ: ขอตอบฟังเพลงร็อกบ้างด้วยได้ไหม นี่ตอบไปฟังหวานเชียว (หัวเราะ)

โอม: กลายเป็นทุกวันนี้ติด The Rapper ทุกซีซั่นมากกว่า พอวันอังคารเราค่อยมาเปิดดูไง ผมชอบฟิต มิตร ด้าม ตลก ชอบ ดูอะไรให้มันคลายเครียด

แล้วช่วงทำ CHUDTEEJED ฟังวงอะไรบ้าง

กานต์: พี่ปั๊บเอามาให้ฟัง (หัวเราะ)

ปั๊บ: ช่วงนั้นมันนานมากเลยเนอะ ช่วงทำอัลบั้ม CHUDTEEJED มันคือ 7 ปี เพราะฉะนั้นการฟังอัลบั้มค่อนข้างต่างกัน มีฟังเพลงจากซีรีส์การ์ตูนเรื่อง ‘Eureka Seven’ ครับ มันเป็นการ์ตูนเกี่ยวกับเด็กผู้ชายเอเลี่ยนที่ขับหุ่นยนต์แล้วมาหลงรักกับเด็กผู้หญิงที่เป็นชาวโลก แล้วเพลงประกอบซีรีส์เพราะมาก (เน้นเสียง) เป็นฟังก์ มีฮิปฮอป มีแร็ปด้วย แล้วการ์ตูนเรื่องนี้มีมานานแล้วด้วยนะ จนผมตั้งชื่อห้องซ้อมว่า Eureka เลย อินมาก แล้วก็วง Mutemath ครับ สมัยนั้นก็ไล่ฟังวงพวกนั้น แล้วก็จะกลับมาฟังเมนสตรีมทั่วไป วงร็อกไทย Moderndog บ้าง พี่ ๆ Bodyslam ช่วงทำเพลงก็จะฟังรวม ๆ แล้วก็มาขยี้บอกเพื่อน ๆ อีกที

หั่ง: เป็นช่วงที่เราคุยกันว่าอยากหาอะไรใหม่ ๆ คือจริง ๆ หลายวงที่ปั๊บเอามานำเสนอ บางทีผมไม่รู้จักเลย ผมอาจจะเป็นคนที่ค่อนข้างยึดติดกับการฟังเพลง เพราะวงที่เราชอบเราก็จะเอาใส่รถไว้เลย ฟังวนไปวนมา จะได้มีโอกาสได้ฟังวงใหม่ ๆ หรือรุ่นใหม่ ๆ ก็จากกานต์บ้าง จากปั๊บบ้าง เค้าก็จะแบบ พี่ เอาวงนี้ไปฟังดู ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ง่ายขึ้น มีทั้ง Spotify, YouTube, Joox ก็ส่งมาฟังกัน แต่ว่าส่วนตัวช่วงที่ผมทำเพลง ผมจะฟังเพลงน้อยมาก (เน้นเสียง) เพราะว่าเราอยู่กับเสียงตลอด อย่างผมจะนั่งทำงานหน้าคอมเยอะ ช่วงทำงานเพลงจะเป็นช่วงที่ผมขึ้นรถแล้วจะไม่เปิดเพลง เพราะว่าเราอยากอยู่เงียบ ๆ จะไม่มีโหมดเอาหูฟังใส่หูเลย เพราะว่าเราต้องปล่อยสมองให้โล่ง ๆ พร้อมทำงาน ก็จะมีโอกาสได้ฟังเฉพาะตอนที่เราทำงานจริง ๆ แต่ก็จะเป็นเทือก ๆ นี้ ช่วงนั้นก็จะเป็นพวกนี้ คือเอาจริง ๆ ผมเป็นคนฟังเพลงอเมริกันเยอะ ก็จะได้ฟังเพลงอังกฤษตอนปั๊บเอามาให้ฟัง อย่าง Coldplay เพราะว่าเมื่อก่อนตอนเล่นดนตรีกลางคืน ผมจะฟังเฉพาะเพลงฮิตเพราะต้องเล่น แต่พอปั๊บบอก เอ๊ย เอาอัลบั้มไปฟังมั้ย เลยได้ฟัง วงพวกนี้ช่วงก่อนหน้าผมก็ได้ฟังน้อยมาก อย่างกานต์ก็น่าจะได้ฟังน้อยเหมือนกัน กานต์เป็นสายเมทัล

ปั๊บ: มี Muse ด้วย แล้วก็มีพวกเพลงซาวด์แทร็คที่ผมเอามาเปิด พวกที่มีกีตาร์นอยด์ ๆ หน่อย ลอย ๆ ที่มันร้องวน ๆ ด้วย อธิบายไม่ถูก (หัวเราะ)​ ของผมคือจะชอบด้วยความบังเอิญ เพราะผมชอบดูอนิเมะ แล้วก็จะชอบมีเพลงเท่ ๆ เพลงที่เราฟังตอนดูแล้วอิน ก็ไปหามาว่าใครเล่น วงอะไร ก็จะเป็นเพลงที่เราไม่รู้จักหรอก แต่แพตเทิร์นกับกรูฟบางอย่างก็น่าสนใจดี ก็เอามาแชร์กัน แล้วก็เอามาปรับ

กานต์: ที่เหลือก็ประมาณกันเลยครับ เพราะถ้าผมได้ฟังอะไรใหม่ ๆ ก็จะได้ฟังจากพี่ปั๊บนี่แหละครับ (ปั๊บ: จริงเหรอ ไม่จริงหรอก (หัวเราะ)​)

หั่ง: ผมว่าปั๊บเป็นคนไม่ยึดติดเรื่องแนวเพลง อย่างของผมยอมรับว่ามีความหัวเก่า คือเราชอบอะไรเราก็จะชอบอยู่อย่างนั้น ก็จะได้ฟังจากปั๊บ ที่นำเสนออะไรใหม่ ๆ

กานต์: คล้าย ๆ กัน เพราะพี่ปั๊บชอบดูการ์ตูน ก็จะมีอะไรโผล่มา อย่างผมเวลาเล่นกีฬาก็จะมีกลุ่มที่ชอบฟังเพลงหรือเป็นดีเจ เราก็จะไปหาฟังต่อกันไป

mv เพลง อรุณ เท่มาก ๆ เลย วงมีส่วนร่วมอะไรใน mv ด้วยหรือเปล่า

ปั๊บ: เฮย จริงปะ! ทำไมมีแต่พวกคุณที่ชอบ ชอบมากเลย (หัวเราะ)​ แต่ผมดีใจมากนะ เพราะว่าพี่หั่งก็เป็นคนช่วยคิดเรื่อง mv นี้ด้วย แต่หลัก ๆ เนี่ย คือพี่ด๊าส Sadust ของ Genie Records คือพี่ด๊าสทำงานอยู่กับเรามานาน เจอกันมานาน แล้วเพลงนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการลุกขึ้นสู้ทุกวัน คือถึงแม้จะดีหรือไม่ดีแต่ทุก ๆ วันก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมา ก็เหมือนอรุณ การเริ่มต้นใหม่ ก็ไปคิดเป็นพล็อตมา ไปถ่ายกันมาแล้วเสร็จปุ๊บมาคุยกับพี่ด๊าส แกก็รู้สึกว่ายังมีบางอย่างที่ยังหายไป ทีนี้ก็เลยมาดูฝั่ง art direction ของอัลบั้มเรา ซึ่งมาจากการที่น้องอ๊อด art director ได้ฟังเพลงทั้งหมดของอัลบั้ม แล้วเขาก็เห็นเป็นสี บวกกับอัลบั้มนี้เราไม่อยากใช้รูปตัวเองอยู่บนหน้าปก แต่ก็ดูซิ ค่ายเขาก็เอามาใส่ข้างหลัง (หัวเราะ) อ๊อดก็เลยดีไซน์จากที่เห็นเป็นสีเยอะ ๆ มันก็เลยลามไปถึง mv ที่เป็นสีรุ้ง ๆ แฉก ๆ อันนี้แรงบันดาลใจต้องถามพี่หั่งด้วยส่วนหนึ่ง

หั่ง: อ๊อดเอามานำเสนอ แล้วเราก็รู้สึกถึงยุค 80s ที่เทคโนโลยีการพิมพ์ภาพมันยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เค้าก็จะเน้นเป็นสีสัน สีสด ๆ หน่อย แล้วมันตรงใจดี สรุป mv อรุณก็เลยได้หยิบ key art สีสันตรงนี้ไปใส่ด้วย ตอนแรก mv จะทำเป็นเรื่องราว เพราะคิดว่าแบบเพลงเป็นอีโมชัน เราน่าหาเรื่องราวมาใส่ คนจะได้กินง่ายหน่อย สรุป กลายเป็นกินยากกว่าเดิม (หัวเราะ)

ปั๊บ: จริง ๆ คือหนักกว่าเดิม ก็เลยใส่เป็นสัญลักษณ์พวก ดอกไม้บาน พระอาทิตย์ ดินสอที่กดเหมือนการบีบมือ น้ำตา แทนค่าความรู้สึกของคนที่เขาต้องฝ่าฟัน แล้วก็มีเด็กที่เขาปาจรวดด้วย ที่เป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ เป็น symbolic เป็นการทดลองของวงที่พวกผมมีความสุขมากเลย กับ mv ตัวนี้ ผมว่าเวลาเห็นเด็ก ต่อให้เห็นข้างหลัง เราก็รู้สึกว่ามีพลังบางอย่าง พลังของเด็กมันทำให้เราสดชื่น 

หั่ง: จริง ๆ กดดินสอนี่ของพี่ด๊าสเลย ก็อาจจะส่วนตัวเอง (ปั๊บ: ไม่ไหวแล้วพวกมึง! (หัวเราะ) ไม่ผ่านซะที มึงไม่เอาซักที) อันนั้นอาจจะมาจากอินเนอร์ส่วนตัว (หัวเราะ)

ปั๊บ: แต่ผมดีใจมากที่เป็นพี่ด๊าสกำกับ คือบอกเลยว่าต้องพี่ด๊าส ตอนคุยกันที่วงก็บอกเลยต้องเป็นพี่ด๊าส แกก็ ‘จะดีเหรอ’ ก็บอกว่าต้องพี่ด๊าส (หั่ง: เหมือนเราพยายามสร้างบรรยากาศการทำงานให้ผู้กำกับอินจริง เพราะว่ายากมากเลย ทำไมมันยาก ก็เลยต้องตื่นเช้ามาเพื่อทำงาน (หัวเราะ)) ต้องขอบคุณพี่ด๊าสจริง ๆ ครับ ก็ยังอยากให้แกกำกับอยู่ เพราะก่อนหน้านี้ก็มี ทุกด้านทุกมุม แกก็เป็นคนอีดิตไลน์ซิงก์ของเรา

หั่ง: สไตล์พี่ด๊าสจะเป็นสาย performance นิดนึง เหมือนเขาเป็นคนเสพงานเมืองนอก พวกที่แอ็กติ้งจัด ๆ ตัดต่อให้มันลงจังหวะแล้วก็ใช้พวกเอฟเฟกต์ช่วย พี่ด๊าสจะเก่งด้านนี้ หลังจากทำ ทุกด้านทุกมุม เสร็จก็เลยทาบทามมาทำเพลงนี้ต่อ เพลงนี้ก็จะกรีดกราย ๆ แอ็กชั่นเยอะ ๆ หน่อย แล้วก็เป็นเพลงเร็ว แต่ตอนแรกมีความผิดพลาดตรงที่ อยากทำเป็นเส้นเรื่องกัน ก็เลยกว่าจะลงตัวมาเป็นลักษณะแบบนี้ได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร โชคดีที่ได้คนที่เค้าทำ key art ของอัลบั้มมาช่วยทำให้ตัว mv มันก็เลยดูมีสีสันขึ้นมา

ปั๊บ: ชอบจริง ๆ ใช่ไหม ที่บริษัท (หัวเราะ) (FJZ: ชอบ ๆ ดูแล้วมันว้าว) จริงปะ โหดีใจอะ ผมดีใจมากเลยนะเนี่ย ขอบคุณมากครับ

หั่ง: ถ้าเป็นบทแบบเดิมที่มีป้ามาขายก๋วยเตี๋ยว ขายของชำ อาจจะไม่ค่อย (หัวเราะ)​

Potato on running

นอกจากเพลงที่ปล่อยก่อนเป็นซิงเกิ้ล เพลงอื่น ๆ ในอัลบั้มนี้อัดกันแบบรวดเดียวหรือค่อย ๆ ทยอยอัด

โอม: ทยอยทำเป็นชุด ๆ ทำเสร็จซัก 4-5 เพลง ก็อัดป็นชุด

หั่ง: มันจะแยกกันครับ ก็คือ ทำเดโม่ เราจะทำเป็นชุดเดียว สมัยก่อน Potato ทำงานกันแบบมีโปรดิวเซอร์นั่งอยู่ตรงกลาง แล้วก็งานทุกอย่างจะขึ้นในคอม เพราะฉะนั้นเวลาทำงานมันจะง่ายกว่าช่วงที่เราทำอัลบั้มนี้ตรงที่ว่า เวลามีการแก้ไข เราแก้จากในคอม ตัดต่อ เปลี่ยนแปลง ดึง ลบ ออก ตัด มันง่าย แต่พอชุดนี้เราไม่มีคอมเลย เราทำงานกันในห้องซ้อม โชคดีว่ายังมีมิกซ์สำหรับอัดอยู่ แต่สุดท้ายเวลามาอัดใหม่หรือมีการแก้ไข มันก็คือการเรียกทุกคนมาซ้อม แล้วก็อัดเข้าไปใหม่อยู่ดี เพราะฉะนั้นเวลาเราทำเดโม่ ก่อนที่เราจะเข้าไปอัด เราจะทำเป็นเซ็ตเลย อย่างเซ็ต อรุณ เป็นเพลงแรกเลยที่เราปักธงทำอัลบั้มชุดนี้เมื่อ 7 ปีที่แล้วตอนที่ปั๊บสร้างห้องซ้อมขึ้นมา ปั๊บบอกว่า ‘ผมจะสร้างห้องซ้อมในบ้าน มาทำงานกัน’ แล้วเพลงนี้เป็นเพลงที่ขึ้น แต้ง แต้ง เพลงแรกเลยในห้องซ้อม

FJZ: 7 ปีแล้วก็ยังมีความใหม่อยู่เลย (ปั๊บ: จริงเหรอ คือผมอยากมีเพลงแบบนี้บ้าง (หัวเราะ)​ รู้สึกใหม่จริงเหรอ) ยิ่งคู่กับ mv ดูใหม่มาก

ปั๊บ: นี่เรียกมาให้กำลังใจชัด ๆ (หัวเราะ)

โอม: ใหม่เค้า เก่าเรา (หัวเราะ)​

หั่ง: แต่จริง ๆ เพลงนี้ถูกตัดขอบมาเยอะ เพลง อรุณ ตอนแรกยาวประมาณ 8 นาที 7 นาทีกว่า ถูกตัดขอบมาจนเป็นแบบนี้

กานต์: พวกเพลงที่ยังไม่ได้โปรโมตในอัลบั้มเป็นเพลงเซ็ตแรก ๆ ที่ทำทั้งหมดเลย

ปั๊บ: เป็นเพลงที่ถูกสร้างไว้นานแล้ว ซึ่งเรามองว่าน่าจะพอดีกับจังหวะเวลาที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ในวันนั้นตอนทำกันเหมือนจังหวะมันยังไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องทฤษฎีหรือเหตุผล มันเป็นเรื่องความรู้สึกของคนและภาพรวมของคนทำงานด้วยที่ไม่ใช่แค่เราอย่างเดียว คือเราจะทำแต่พวกเราอย่างเดียวก็จะเครียดเกินไป เราก็ทำงานกับค่ายด้วย ถ้าเรากับค่ายยังไม่ได้เห็นตรงกัน การปล่อยงานที่ไม่เห็นด้วยกันออกไป มันก็มีผลกับความรู้สึกของคนทำงานทุกคน ไม่ว่าจะเรื่องจังหวะและเวลาที่มันใช่ โอเค คือเราก็ยังเชื่อในเพลงของเราแหละ ที่จังหวะและเวลานึงมันจะคลิกกัน ถึงเวลาแล้ว (หัวเราะ) ก็คงถึงเวลาของเค้าแล้ว เพลงล็อตนั้นก็เลยได้เอามาเขย่าให้มันกลมกล่อมยิ่งขึ้น

หั่ง: ช่วงนั้นทำทีเดียวพร้อมกัน ทำเดโม่ 10 กว่าเพลง แล้วจริง ๆ เรา record ไว้แล้ว จะมีแค่เรื่องเนื้อเพลง ที่มีขาด ๆ ไปบ้าง จริง ๆ เพลง อรุณ ก็เป็นชุดแรก ๆ ที่เราเข้าห้องอัด แล้วเราก็เก็บ data นั้นไว้ คือตอนแรกที่เพลงล็อตนี้ถูกหยิบขึ้นมา ใน 7 ปีหลัง ก็รู้สึกเหมือนย้อนเวลา (ปั๊บ: เหมือนนั่งไทม์แมชชีน) ก็คุยกันว่าหรือเราจะไปอัดใหม่ เพราะเพลงบางเพลงเราอัดไปตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว ด้วย source ดนตรีที่เราไปนั่งฟังเช็ก data ทุกอย่างในห้องแล้วก็รู้สึกว่า ถ้าอัดใหม่ มันจะไม่ได้แบบนี้ คือ เสียงดีกว่าแน่ ๆ เพราะเทคโนโลยีดีกว่า ดีกว่าแน่นอน แต่ฟีลลิ่งไม่ได้ ตอน 5 ปีหลังมีน้องเบนซ์ โปรดิวเซอร์มาช่วยละ เขาก็บอกว่า ‘พี่ ผมว่าฟีลลิ่งความรู้สึกมันได้มากกว่า ถ้าพี่มาอัดตอนนี้ความสด ความดิบจะไม่ได้แบบนี้นะ’ ก็เลยตัดสินใจว่า โอเค เราจะใช้อันที่ record ไว้ตอนนั้นแหละ แต่จะอัดร้องใหม่ อัดประสานใหม่ อัด dubbing บางอย่างใหม่นิดหน่อย ส่วน ทิ้งไว้กลางทาง สมดุล รอย นั้นก็จะอีกล็อตนึง อันนั้นก็จะไปอัดอีกห้องอัดนึง ไปเช่าบ้านที่หัวหินที่มีโถงใหญ่ ๆ แล้วก็ไปอัดกันในบ้าน ตอนนั้นมันมาก สนุกมาก ไปอยู่กันเดือนนึง ไปตั้งกลองอัดกันในบ้าน เอาโซฟามานั่งบุ เป็น diffuser ห้องอัด ส่วน Karma Sound Studios ก็จะเป็นอีกล็อตนึง ที่เป็น เท่าไหร่ไม่จำ ทุกด้านทุกมุม อัลบั้มนี้จะทยอยอัดมาเป็นเซ็ต ๆ เพราะว่ามีตั้ง 15 เพลง จริง ๆ มี 17 นะ เราเก็บไว้อีก 2 เพลง สำหรับอะไรพิเศษ ๆ เดี๋ยวน่าจะมีออกมา

ปั๊บ: สมองไหล (หัวเราะ)​ มีคนบอกว่าเราเอาเป็นการเอาเพลงเก่ามารวมหรือเปล่า ทำไมมันถึงกระจายแบบนี้ คือตอนที่เราสร้างเราคิดงานจากอัลบั้มจริง ๆ ไม่ได้คิดงานจากซิงเกิ้ลว่าเราจะเลือกเพลงที่ดีที่สุด ไม่ใช่แบบนั้น คือเรามองฟังก์ชั่นหมดเลย เพลงนี้เป็นเพลงเร็วที่ให้กำลังใจ เป็นเพลงช้าที่เกี่ยวกับความรัก เป็นเพลงจังหวะกลาง ๆ ที่ให้ความรู้สึกแบบนี้ คือในฟังก์ชั่น 11-12 เพลงที่วางไว้คือพยายามจะให้ positioning ของมันเหมือนกัน คือเวลาฟังเพลงหนึ่งอัลบั้ม แล้วเวลาเพลงมันพูดเรื่องเดิม ดนตรีแบบเดิม คล้าย ๆ กัน มันก็ดีแหละ ชัดเจนดี แต่ในสิ่งที่เราเป็น เราอยากให้มันมีหลายความรู้สึก หลายความชัดเจนในแต่ละอัน แต่มันอยู่ในวงกลมเดียวกัน ซึ่งในวงกลมนั้นก็จะพูดต่างกัน เพลงมันก็เลยจะถูกสร้างตั้งแต่วันนั้น ณ​ วันที่ระบบมันถูกเปลี่ยนเป็นซิงเกิ้ล เราก็ยังใช้ชุดความคิดแบบนี้ในการสร้างเพลงอยู่ เพราะฉะนั้นการรวมอัลบั้มครั้งนี้มันคือชุดความคิดเดิมตั้งแต่วันที่เริ่ม จนมาถึงตรงนี้ ส่วนตัวผมก็เลยไม่รู้สึกว่ามันคือการรวมของเก่าครับ เพราะว่าสำหรับผมมันมี meaning ลึก ๆ ที่ซ้อนอยู่เยอะพอสมควร คิดมาแล้ว ทั้งเซ็ต ก็เลยจะบอกเสมอว่า ถ้ารวมอัลบั้ม ผมก็จะเอาเพลงที่เราคิดในห้องซ้อมนั้นมาอยู่ด้วยจริง ๆ ไม่อยากให้ดีดเค้าออกไป จริง ๆ เรื่องนี้ก็ถกกันเยอะเหมือนกัน

หั่ง: ถ้าพูดในเชิงการค้าขาย การมีเพลงในหนึ่งอัลบั้มเยอะ ๆ มันคือการเพิ่มต้นทุนการผลิตอยู่แล้ว เรายัด 15 เพลงลงไปใน 1 ซีดี เราก็ต้องขอนุญาตค่าย ผู้ใหญ่ พอสมควร แต่พี่ ๆ ที่ค่ายก็ใจดี ถ้าจะเอามาให้ได้ 15 เพลงก็ยินดี ถ้ามันเป็นเรื่องของคุณค่าทางจิตใจ อยากให้เข้าใจถึงทัศนคติ เจตนารมณ์ที่ทำอัลบั้มนี้ขึ้นมา ก็เลยได้ทำ แต่ต้นทุนอัลบั้มนี้คือสูงมากเพราะเพลงมันเยอะ แล้วขายแค่ 250 บาท! (ปั๊บ: คือถ้าคิดนะ แต่ถ้าไม่คิดก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอคิด เอ้อ ทิ้งไว้กลางทาง กี่บาทวะ) แพง ๆ มีค่ามิกซ์เมืองนอก ไรงี้ด้วย ถ้ามองเป็นเรื่องต้นทุน ก็นะ… (หัวเราะ)

ปั๊บ: อย่าให้พูดเรื่องต้นทุนเลยครับ ก็จะอึกอัก ๆ (หัวเราะ)​

หั่ง: บางคนบอก เอ้ย เพลงเก่าเยอะ เราก็จะรู้สึกว่า ถ้ามันแค่อัลบั้ม 10 เพลงอะ เราเพิ่มแค่เพลงเดียวก็ครบอัลบั้มแล้ว อัลบั้มนี้อยากเอาชุดความคิดตลอด 7 ปี เหมือนเราปิดเล่มได้สมบูรณ์ ไม่อยากให้ช่วงเวลาที่หายไปตอนนั้นมัน blank ไป อยากให้มันอยู่ในนี้ด้วย

เซ็ตเพลงไหนเป็นเซ็ตสุดท้ายที่อัดก่อนลงอัลบั้ม

โอม: น่าจะเป็นเพลง ยังคง

ปั๊บ: เพลงช้าเลย

หั่ง: ถ้าเป็นดนตรีเพลงสุดท้ายเลยน่าจะเป็นเพลง ยังคง ที่อัดนะครับ เพลง ยังคง เป็นเพลงที่ถูกคิดมาตั้งแต่ ทิ้งไว้กลางทาง แต่ถูกวางเป็นเดโม่เก็บเอาไว้

ปั๊บ: พูดตามตรงดีกว่าว่าถูกทิ้งแล้ว เป็นเพลงที่ถูกลืม คือเพลงมันเยอะบางทีอัดในฮาร์ดดิสก​์ก็เก็บเอาไว้ แต่ช่วงที่เราคุยกับค่ายว่าจะทำ CHUDTEEJED แล้วพี่หั่งก็เลยไปรื้อ ผมก็ถามว่า พี่ เพลงเก่า ๆ มันมีอะไรบ้าง ไฟล์ไหนที่เราต้องทำบ้าง แล้วมีไฟล์ไหนที่เราต้องเขียนใหม่บ้าง

หั่ง: คือใช้คำว่ารื้อเนี่ย มันเยอะมากครับ คือเพลงเดโม่ช่วงที่เราทำกัน 7 ปีมันเยอะมาก แล้วเราก็ไปเปิดฮาร์ดดิสก์เหมือนเราเปิดแฟ้ม ได้เพลงมาหลายเพลงอยู่ แล้วพอดีเพลงนี้มันเด้งขึ้นมาก็เลยหยิบขึ้นมาปัดฝุ่น ตอนนั้นยังอัดไว้แค่เปียโน แล้วก็มีที่ปั๊บร้องไกด์ไว้

ปั๊บ: (ทำเสียงตื่นเต้น) ผมร้องไกด์ไว้แล้วด้วย! บางเพลงร้องไว้ตั้งแต่ 7 ปีที่แล้วเลย แล้วก็ไม่ได้ร้องใหม่เพราะพี่หั่งก็บอก ฟีลลิ่งมันไม่ได้ละ วันนั้นมันมีความสดใหม่มากกว่า ถ้าร้องวันนี้มันก็จะเริ่มประดิษฐ์ คิดเยอะ

หั่ง: แต่เพลงที่ร้องเพลงสุดท้ายในอัลบั้มคือเพลง แค่นี้ แทร็คที่ 14 เป็นเพลงที่เนื้อเพลงมาสุดท้ายในอัลบั้ม แล้วมีที่แบบทับไลน์กัน มีที่ดนตรีเหมือนกันอบู่หลายเพลง อย่าง แค่นี้ ก็จะมีอีก 2 เพลงทับไลน์กันอยู่ ก็เลยเลือก แล้วก็ ยังคง คือจริง ๆ มีเพลง medium อีกหลายเพลงเลย กับเพลงช้าอีกสองเพลงก็ต้องถูกคัดออกมาเหลือเท่านี้ ก็มีเยอะครับ (ปั๊บ: สู้รบตบตีกันเองพอสมควร ทำไมไม่เอาเพลงนี้ล่ะครับ พอแล้วว) แต่ทุกเพลงมันเกิดจากชุดความคิดเดียวกันแหละครับ เพราะว่าเราจะเข้าห้องซ้อมกันทุกเย็น ช่วงที่ยังมีห้องซ้อมเราก็มีสระว่ายน้ำ แล้วเราก็จะบอกกันว่า ปิดอัลบั้มนี้เมื่อไหร่ เราจะกระโดดน้ำตรงนี้ สุดท้ายไม่ได้กระโดด ทุบทิ้งไปเรียบร้อย (หัวเราะ)

ปั๊บ: เดี๋ยวทำบ้านใหม่ครับ (FJZ: ไว้กระโดดอัลบั้มหน้า) ไม่มีสระแล้วครับ กระโดดปูน (หัวเราะ)

เจอเดโม่ประมาณกี่เพลง

หั่ง: 10 เพลงที่เป็นเดโม่

เพลงที่เหลือจากอัลบั้มนี้จะโละเลยใช่ไหม

หั่ง: น่าจะโละเลยครับ เพราะว่าตรงนั้นก็จะคล้าย ๆ กับเป็น short note คือชุดความคิดนี้มันถูกรวมออกมาทำอัลบั้มเรียบร้อยแล้ว เป็นแค่ช่วงเวลา แต่ว่าเดโม่ยังเก็บอยู่

ปั๊บ: มันเป็นบุคลิกภาพของคนหนึ่งคนเลย ถ้าลองฟังดี ๆ ก็จะเห็นว่าคน ๆ นี้เป็นยังไง บุคลิกภาพของเค้าเป็นยังไง CHUDTEEJED คือคุยกันว่าต้องปิดอัลบั้มแล้วจริง ๆ ไม่งั้นมันก็ไหลไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด แล้วในหนึ่งอัลบั้มเนี่ย ผมว่า ก็เหมือนหนังสือหนึ่งเล่ม คือเพลงหนึ่งเพลงมันไม่สามารถบอกความเป็นอะไรบางอย่างได้ทั้งหมด มันไม่ครอบคลุม ยิ่งในยุคที่ปล่อยเป็นซิงเกิ้ล การที่ซิงเกิ้ลนี้เป็นแบบนี้ คือเราเป็นแบบนี้ใช่ไหม? คือมันบอกว่าเราเป็นยังไง แบบนี้เหรอ? คือผมว่าคนหนึ่งคนเราต้องดูทุกองค์ประกอบ มุมหวาน มุมจริงจัง มุมชีวิต มันก็เลยจะเป็นเหตุผลที่เป็น CHUDTEEJED ที่มันเป็นแบบนี้

Potato หั่ง

เห็นว่ามี ทิ้งไว้กลางทาง รอย เท่าไหร่ไม่จำ ที่ส่งไปมิกซ์/มาสเตอร์ริ่งที่สตูดิโอในอเมริกา ก่อนหน้านี้เคยมีเพลงไหนส่งไปมิกซ์ที่นู่นบ้าง

หั่ง: เราไม่เคยมิกซ์เพลงที่อเมริกาเลย เคยแต่ส่งไปมาสเตอริ่งตอนที่ทำเพลง ยื้อ ตอนนั้นผมมิกซ์เองด้วย มิกซ์เสร็จปุ๊บส่งไปมาสเตอริ่งที่อเมริกา ที่ Sterling Sound แต่คนมาสเตอร์ตายไปแล้ว เขาเป็นคนทำมาสเตอริ่งให้ Metallica พอตอนที่เราจะทำมาสเตอริ่งอีกรอบ เพลง ฮู้ ฮู เราก็จะส่ง George Marino คนเดิมอีก เราก็เข้าไปหาในเว็บ Sterling จะส่งไป เจอ R.I.P. George Marino ตายแล้ว ทำไงดีวะ (หัวเราะ) ​งั้นหาใหม่ ก็เลยเสิร์ช ๆ แล้วก่อนหน้าผมเคยทำงานให้ เอ็ม อรรถพล แล้วส่งไปให้ Tom Coyne คนนี้ก็โปรไฟล์ดี สรุปเราก็เลยเลือก Tom Coyne ก็จะเอา ฮู้ ฮู ส่งให้เขามาสเตอร์ แล้วพอล็อตหลังเราจะมาสเตอริ่งอีก 5 เพลงเราจะส่งไป Sterling ก็เลยกะจะส่งให้ Tom Coyne อีก พอเข้าไปเสิร์ช R.I.P. Tom Coyne (หัวเราะ) (ปั๊บ: คนมาสเตอร์ตายไปสองคนแล้วอะ (หัวเราะ)) คือเราไม่อยากจะคิดเลยนะว่าทำไม (หัวเราะ)

FJZ: เดี๋ยว Ted Jensen เป็นรายต่อไป แง (หัวเราะ) 

หั่ง: ก็เลยส่งให้ Ted มาสเตอริ่งครับ แล้วก็ สมดุล ทิ้งไว้กลางทาง รอย  3 เพลงนี้มิกซ์ที่ LA กับ Chris Lord-Alge มือมิกซ์รางวัลแผ่นเสียงทองคำ

กระบวนการมีความยุ่งยากอะไรไหม

หั่ง: มิกซ์ไม่เคยส่ง มีความยุ่งยากนิดนึงตรงที่ว่า เราไม่รู้ process งานว่าฝรั่งเค้าต้องการอะไรบ้าง ข่วงนั้นก็เลยวุ่นวายพอสมควร ส่งอีเมล์กันวุ่นวายมาก แต่ผมไม่ได้คุยเองนะ ผมให้น้องคุย ผมไม่เก่งภาษาอังกฤษ น้องก็คุยถามการจัดแทร็คอะไรทุกอย่าง ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี คือทำให้รู้ว่าเราต้องเรียงแทร็คไปยังไง เราต้องคลีนแทร็คไปแบบไหน แต่เอาจริง ๆ สุดท้ายแล้วตอนที่มีฟีดแบ็คกลับมาก็คือเราทำไปค่อนข้างโอเคมาก เพราะว่าเรากังวล แต่ถ้าฝรั่งด้วยกันเองคงชิว ๆ คือตัว Chris เขาเองก็มีผู้ช่วยอยู่แล้ว เวลาเราส่ง data ไป ถ้ามันไม่คลีนหรือไม่โอเค จะมีผู้ช่วยเค้าคอยจัดให้ คอยไปเคลียร์ให้อยู่แล้ว สรุปก็คือไม่มีปัญหา แต่ก็มีตรง ทิ้งไว้กลางทาง ที่เรามาคิดว่า เอาไงดี ร้องใหม่ดีมั้ย หรือว่าเอาอันนี้แหละ คือเรามีความไม่คลีนของเสียงนิดนึง เพราะ environment ด้วย

ปั๊บ: ห้องอัดมันไม่ได้ถูกสร้างมาให้เป็นห้องอัดจริง ๆ อะครับ เวลาเรา recording มันก็จะมีเสียง noise มีเสียงซ่า เสียงจี่ แล้วมันก็แทรกไปอยู่ในเนื้อเสียงอยู่แล้วอะครับ มันตัดออกไม่ได้ (หั่ง: ผมกังวลมาก ผมจำได้ว่าเอาไงดีวะ เราจะส่งให้มือมิกซ์แผ่นเสียงทองคำด่าเรากลับมาหรือเปล่าวะ) พี่หั่งเป็นคนละเอียดอยู่แล้วครับ บอกเลยผมฟังไม่ออก ผมแบบ โอเค แล้วแต่ลูกพี่เลย (หัวเราะ)

หั่ง: ปั๊บร้องทิ้งไว้กลางทางได้แบบโอเคมากแล้ว สรุปพอส่งไปเค้าก็ทำกลับมาได้แบบโอเค คือฝรั่งเค้าเคลียร์เรื่องพวกนี้ได้หมดเลย สนุกดี ไม่มีความยากลำบากอะไรเลยเอาจริง ๆ ส่งไปถึงปุ๊บ เค้าส่งมาให้เราเช็ครอบนึง รู้สึกจะแก้ไปแค่รอบเดียวอะครับ แล้วเค้าก็มีชอยส์มาให้เราเลือกอยู่แล้ว พอเราโอเค เค้าก็ process ออกมา แล้วที่ Mix LA ก็คือส่งตรงให้ Ted Jensen เลย เพราะว่า Chris กับ Ted Jensen เค้า co กันอยู่แล้ว คือ Chris เค้าบอกเลยว่า คุณจะเอาไปมาสเตอริ่งกับใครก็ได้ แต่ถ้าถามผม ผมให้ Ted คนเดียว เพราะว่า Ted เค้าทำมาสเตอริ่งผมดีที่สุดในโลก เค้าบอกงี้นะ แต่สุดท้ายแล้ว ก็แอบมีเมนชั่นมาว่า แต่ก็ยังไม่ดีที่สุดนะ เพราะเค้าก็ยังรู้สึกว่า mix ของเค้ามัน loss อยู่ดีตอนมาสเตอริ่ง แต่มันก็เป็นธรรมชาติของคนมิกซ์อยู่แล้ว ไดนามิกมันหายไป

ปั๊บ: ผมเข้าใจมากเลย ผมเป็นคนไม่ชอบมาสเตอริ่งเลย ทุกครั้งที่เวลามาสเตอร์ผมก็จะพยายามไม่ฟัง จะฟังแต่มิกซ์ที่พี่หั่งส่งมาให้ผม

หั่ง: มันจะมีความอึดอัดอยู่ มิกซ์มันมีความยืดหยุ่น พอมาสเตอริ่งทุกอย่างมันก็หลุดไป ซึ่งจริง ๆ เพลงสไตล์แจ๊ส บลูส์ เค้าจะมาสเตอริ่งแบบน้อยมากหรือแทบจะไม่มาสเตอริ่งเลย คือเค้าจะปล่อยให้ไดนามิกมันอยู่ในแบบของมันจริง ๆ เวลาคนมิกซ์ก็จะตีกับคนมาสเตอริ่งนิดนึง (หัวเราะ) ​ได้อย่างเสียอย่าง

ใช้เวลานานไหม

หั่ง: กระบวนการนานที่เรา กว่าจะจัดแทร็ค กว่าจะอะไรเสร็จ ตอนส่ง data ไป Chris มิกซ์ 1 วัน ส่งปุ๊บ อีกวันเค้าส่งมาเลย ส่วนมาสเตอริ่งก็ไม่นาน 1 วัน แต่ว่าแค่รอคิวนาน ต้องนัดคิว คือจากที่คุยเค้าจะมิกซ์วันละ 3 เพลง เค้าจะเข้าที่ Mix LA ปุ๊บ ที่สตูเค้าจะมิกซ์ 3 เพลง หนึ่งวัน แล้วแต่คิวเค้า

Potato blue sky

เพลงที่ชอบเป็นการส่วนตัวในอัลบั้ม CHUDTEEJED

ปั๊บ: ชอบทุกเพลง (หัวเราะ) เป็นคำตอบที่เคยได้ยินคนตอบแล้วรู้สึกว่า ไม่จริงหรอก แต่กลายเป็นว่ามันจริงว่ะ (หัวเราะ)​ ผมก็ชอบเพลงที่ 7 ครับ เธอคือเรื่องจริง (ใคร) ชอบดนตรี ชอบวิธีการเล่าเรื่องเพลงนี้เป็นพิเศษ ชอบความหมาย ชอบที่มาที่ไปของเพลง คือเวลาทำเพลงผมจะร้องเมโลดี้ลงไปด้วย แล้วเมโลดี้ที่ร้องส่วนใหญ่จะเป็นภาษาไทย คำไทย ก็จะแล้วแต่ว่ามีคำไหนโผล่ขึ้นมา ตอนที่ร้องเพลง เธอคือเรื่องจริง (ใคร) มันมีเรื่องเกี่ยวกับความโหดร้าย เพราะว่าช่วงนั้นเราเจอความเปลี่ยนแปลงเยอะ ก็เลยมีประโยคที่ว่า ‘ความสวยงามบนความโหดร้าย’ แล้วมันถูกเอามาขยายเป็นเพลง ก็เลยประทับใจเพลงนี้เป็นพิเศษ ยิ่งตอนเล่าก็ไม่ได้เล่าเป็นแพตเทิร์น แบบ A B hook A B hook มันก็คือเล่าไปเรื่อย ๆ ว่าคน ๆ นี้เดินทางด้วยความรู้สึกแบบนี้แล้วเค้าเป็นยังไง มีใครมาช่วยทำให้เค้ารู้สึกว่า เค้าจะเดินทางต่อ คอนเซ็ปต์มันก็ดีตรงที่ว่า ผมชอบได้ยินคนบอกว่า ‘โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว’ ‘โลกมันโหดร้ายขึ้น’ เราก็มองว่า ที่เราผ่านปัญหามาได้ส่วนใหญ่ มันเป็นเรื่องการมองเห็นจุดขาวในกระดาษดำซะมากกว่า แน่นอนทุกอย่างมันก็ต้องแย่ เวลาทำงานก็ต้องจริงจัง แต่ว่าเราจะจับจุดเจอจุดเล็ก ๆ ที่ทำให้เราเดินต่อไปได้มั้ย แล้วจุดนี้ ก็คือใครล่ะ ใครคนนั้นก็คือเธอ เธอคนนั้นก็คือคนที่เป็นคนฟัง ก็คือแฟนเพลง เวลาร้องหรือฟังเพลงนี้ก็จะมีภาพคนเยอะ ๆ แฟนเพลง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เพลงนี้เขียนถึงแฟนเพลงนะครับ แต่มันเป็นความรู้สึกลึก ๆ ที่ เออ คุณคือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในวันที่แย่ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าทำมันต่อไป เราจะฝันอะไรก็ได้เต็มไปหมด ฝันอยากเป็นนักบิน อยากจะเป็นร็อกสตาร์ อยากจะ มีบ้านหลังใหญ่ มีสระว่ายน้ำ มีรถสปอร์ต หรืออะไรก็ได้ ฝันมันไม่มีวันสิ้นสุดเลย แต่ในความเป็นจริง มันหยุดลงตรงนี้เลย ก็คือมีเค้านี่แหละ สิ่งที่ดูเป็นเรื่องจริงที่สุด ในความฝันทั้งหมด ต้องลองไปฟังดู

หั่ง: จริง ๆ เพลง ๆ นี้ถ้าฟังดี ๆ คือมาจากที่ Potato เจอเรื่อง bully เยอะมาก (ปั๊บ: สมัยก่อนมันไม่มีคำนี้หรอก ในคนไทย) ก็จะเป็นเว็บบอร์ด อะไรพวกนี้ เพราะวงก็มีเรื่องที่เปลี่ยนแปลงเยอะ มีทั้งแบบไปทำร้ายความรู้สึกแฟนเพลงด้วย เปลี่ยนแปลงทีนึง แฟนเพลงก็เศร้าทีนึง แต่สุดท้ายแล้ว คนที่ยังเปิดใจ ยังคอยฟังตลอด ก็คือแฟนเพลงเหมือนกัน ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ว่าจะแบบไหนก็เข้าใจทุกอย่าง จะโดนด่า จะโดนอะไร ก็ยังมีแฟนเพลงด้วยกันนี่แหละทีให้กำลังใจ เพลงนี้ก็เกิดมาจากความรู้สึกแบบนี้ แล้วเนื้อเพลงพี่โจเค้าเขียนมาตอนนั้นก็คือมาจากปั๊บ ปั๊บเค้าจะพูดคำนี้เวลาเราอยู่ด้วยกันบ่อย ๆ ที่แบบว่า คนเราแม่งชอบไปมองจุดดำในกระดาษขาว จริง ๆ ถ้าเปลี่ยนมาเป็นกระดาษดำทั้งหมด มีจุดขาวจุดเดียวก็ต้องหาให้เจอ ในทุกความโหดร้ายก็มีความสวยงามซ่อนอยู่ พี่โจก็เลยเอาไปเขียนเป็นเพลงนี้ ซึ่งตอนแรกผมกังวลมาก ว่าเพลงมันยากจัง แต่พอเรารับรู้ความรู้สึก เราคิดภาพตาม ว่าจริง ๆ แล้วมันคือแฟนเพลงจริง ๆ นะ คือตอนแรกจะมาแก้ด้วย มีความพยายามที่จะแบบ แก้เนื้อเหอะ ให้มันเข้าใจง่ายกว่านี้หน่อยมั้ย สุดท้ายก็ไม่แก้เลย แล้วเพลงนี้ก็เป็นอีกเพลงที่ร้องไว้ตั้งแต่ตอน 7 ปีที่แล้ว

ชอบเพลงไหนในอัลบั้ม

หั่ง: เอาจริง ๆ ผมอยู่กับทุกเพลงมาระดับพันรอบ ผมรู้สึกชอบทุกเพลงแหละครับ เพราะว่าเราฟังมันบ่อยมาก แต่ว่าถ้าเอาด้วยความรู้สึกที่ผมรู้สึกจริง ๆ ผมชอบเพลง ทิ้งไว้กลางทาง มากที่สุด คือผมชอบด้วยฟีลลิ่งของการทำงาน ความรู้สึกของการทำงานตอนนั้น ตอนที่เพลงทิ้งไว้กลางทางมีขึ้นมา ทุกอย่างมันคลี่คลาย ตั้งแต่ตอนที่เราเริ่มต้น เรามีความพยายาม ความต้องการที่จะหาอะไรใหม่ ๆ หรือพิสูจน์อะไรเยอะมาก จะมีความเครียดด้วย กดดัน มี pressure แต่พอ ทิ้งไว้กลางทาง กลับมาอยู่บ้านหลังเก่า Genie Records กลับมาทำงานกับทีมงานที่เหมือนระดมสมองกัน ไม่ใช่แบบไปอยู่ในมุมมืดแล้วคิดคนเดียว มีหลาย ๆ หน้าที่คอยช่วย บรรยากาศการทำงานทุกอย่าง มันพอดี แล้วช่วงนั้นมันคลี่คลาย กำลังไปในทิศทางที่มันควรจะเป็น ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นนิมิตหมายที่ดีนะช่วงเวลานั้น ที่ทำให้เส้นทางมันมาถึงทุกวันนี้ ก็เลยรู้สึกว่าเพลงนี้มัน.. (ปั๊บ: เป็นบทพิสูจน์หลายอย่าง) แล้วเราก็ได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่างในเวลานั้น ทั้งเรื่องการทำเพลง อะไรต่าง ๆ มันเหมาะสมทุกอย่าง

ปั๊บ: รวมถึงคนเขียนเพลงด้วยนะ (หั่ง: ตอนนั้นทะเลาะกับพี่โจแบบมีน้ำตาน้ำตากันแล้ว แล้วเพลงนี้มันออกมาคือทุกอย่างมันเปิดประตูบานใหม่เลย) ต้องขอเพิ่มในเรื่องนี้นิดนึง คือคนเขียนเพลงเค้าก็กดดันไง เพราะว่าเราเคยทำงานกับพี่ฟองเบียร์มานานเกือบครึ่งชีวิตเลยครับ เกือบ 10 ปี แล้ววันนึงก็เกิดการทำงานด้วยกันไม่ได้ คนที่เค้าเข้ามาช่วยผมทำงานเขียนเพลง ลึก ๆ เค้าก็เครียด แล้วก็โดนเปรียบเทียบมาโดยตลอดว่าจะทำได้มั้ย คนจะชอบหรือเปล่า พอเพลงนี้ออกไป มันก็เหมือนแก้โจทย์ได้ แต่เราก็ต้องพิสูจน์อะไรบางอย่างต่อไป

หั่ง: ก็ประมาณนั้นเลยครับ คือเรื่องการทำเพลง ทำงาน จากที่มันเอียง ๆ นิดนึงมันก็กลับมาสมดุล มีการหยิบการทำงานในแบบเก่ามาช่วย แล้วก็ผสมกับการทำงานใหนแบบใหม่ ผมว่ามันพอดี แล้วก็รู้สึกถึงความแฮปปี้ในช่วงเวลาที่เพลงนี้มันเกิดมา ก็เลยรู้สึกว่าผมชอบเพลงนี้มากที่สุด

กานต์: พี่อะตอบกันซะลึกซึ้งเลย (หัวเราะ)​ ตอนแรกผมชอบ ดวง ที่สุดนะ แต่ตอนนี้ชอบเพลง อรุณ ที่สุด เพราะว่าเวลาเล่นสดเหมือนเป็นเพลงเรียกพลังส่วนตัวของผม ตั้งแต่เพลงแรก ๆ เริ่มมีแรงตก พอถึงเพลงนี้ก็ฮึ้บ มันเหมือนมันบิลด์ตัวเองขึ้นมา แล้วฟังแล้วมันก็ดูจริงจังดีกับชีวิตเรา

โอม: ผมชอบเพลง แค่นั้น

Potato: แค่นี้! (หัวเราะ)​

หั่ง: นี่คุณตอบแค่นั้นหลายคลื่นแล้วนะ (หัวเราะ)​

ปั๊บ: ไม่เคยร้อง ‘แค่นั้น’ เลย ในเพลงไม่มีท่อนนี้! (หัวเราะ)

โอม: แค่นั้น แค่นู้น แค่นี้ (หัวเราะ) คือเพลงมันสนุก น่าจะเป็นเพลงที่เล่นแล้วเดือด ๆ ร็อก ๆ หน่อย ชอบดนตรีเพลงนี้ แต่ถ้าเนื้อร้องชอบเพลงยังคง

ปั๊บ: (ร้องเพลง) ‘อยากจับมือเธอ….’


Potato chudteejed

เคยมีชื่ออื่นนอกจาก CHUDTEEJED ไหม

โอม: ต้องถามว่า ก่อนจะเป็นชุดที่ 7 มีกี่ชื่อ (หัวเราะ)​

ปั๊บ: มีหลายชื่อเลยครับ ตอนเย็น คือหนึ่งในชื่อที่คิดไว้ ตอนแรกจะชื่ออัลบั้มว่าตอนเย็น เพราะเราทำอัลบั้มช่วงเวลาเย็น ที่สำคัญก็คือช่วงที่เย็นใจ ทำอะไรก็มีความสุข ทำอะไรก็ดี แต่นั่นมันคือนานมาแล้ว พอหลังจากนั้นมันเจอเรื่องนู่นนั่นนี่ การเปลี่ยนแปลง การย้ายบ้าน หลากหลายความรู้สึก ก็รู้สึกแบบ มา เรามาเริ่มใหม่กันอีกที เรามาทำงานใหม่ ๆ กัน พอมันอย่างนี้ ผมว่าคำหนึ่งคำมันไม่สามารถอธิบายภาพรวมได้เลย คิดแล้ว คิดซ้ำคิดซ้อน แบบจะคิดให้มันเท่ คิด อาทิตย์ขึ้น, Begin Again, Sunrise มันก็โอเคแหละ มันก็ดี แต่พอ สุดท้ายแล้วเราก็คิดได้ว่ากำลังเดินทางมาถึงชุดที่เจ็ดแล้วนะ (หั่ง: จำได้ตอนนั้นเป็นช่วงนั้นโทรคุยกันเยอะมาก เอาไงดี ต้องสรุปชื่ออัลบั้มแล้วนะ) ‘งั้นชุดที่เจ็ดมั้ยพี่’ อยากได้ชื่อเป็นภาษาไทยมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะเราเป็นภาษาอังกฤษมาตลอด Life บ้าง Sense บ้าง Human บ้าง Circle บ้าง เรารู้สึกว่าอยากมีชื่ออัลบั้มเป็นภาษาไทยบ้าง ก็เลยชื่อชุดที่เจ็ดครับ แค่นั้นแหละ แล้วก็ใส่ความแรดลงไปตรง CHUDTEEJED แบบคาราโอเกะลงไปให้มันสนุก ๆ

หั่ง: ตอนที่สรุปกันว่าป็น CHUDTEEJED ตัวผมเองในฐานะคนทำงานก็แอบกังวลนิดนึงว่า จะดูตื้นไปหรือเปล่า แต่ว่าคำนึงที่ตอนที่ตัดสินใจกัน ปั๊บบอกว่า ‘คำนี้แหละพี่ ผมว่าแม่งจริงใจสุดแล้ว’ ก็เลยรู้สึกว่าพอเรามองย้อนกลับไปแต่ละอัลบั้ม แล้วเราเริ่ม go on มา ผมว่ามันมีความหมายในเชิงแฝง ๆ อยู่ตลอดทั้ง Life ทั้ง Human ทั้ง Circle ทุก ๆ อัลบั้มมันมีแฝงอยู่ พอคำว่า CHUDTEEJED มันออกมา มันเหมือนจะไม่มีอะไรแฝง แต่พอปั๊บพูดมาคำนึงว่า ‘แม่งจริงใจสุดแล้วพี่’ ผมว่ามันก็เลยแบบ มีความหมายอยู่เหมือนกัน เราไม่ต้องไปแบบ โห ‘music of my life’ หรืออะไรขนาดนั้น คือ 7 ปีมันเยอะ (ปั๊บ: เย้อะะ มันไม่พอออออ) ช่วงเวลานั้นมันก็จริงครับ ช่วงเวลาที่มันเป็น music of my life ก็มี ช่วงเวลาช่วงต้นมันก็มี มันเยอะมากเลย (ปั๊บ: อยากได้นะ Music of My Life, ตอนเย็น, Sunrise, Begin Again)

หั่ง: มันเยอะมากครับ งั้นเรารวมเป็นเนี่ยแหละ CHUDTEEJED  มันมีความจริงใจสุดแล้ว ก็เลยรวบรวมมาเป็นคำนี้ แล้วก็ไปฟังข้างในเอา แต่คนมักจะแบบว่า เอางี้เลยเหรอ กำปั้นทุบดิน ไม่คิดกันเลยเหรอ (หัวเราะ) คือคิดมาจนแบบว่า…

ปั๊บ: คุณนึกถึงคนที่แบบว่า คิดๆๆๆ คิดๆๆๆๆ คิดๆๆๆ โอ๊ย ไม่คิดแล้ว! แต่ว่าความคิดนั้น มันก็ยังอยู่ในตัวเรา เพียงแต่เราแปรรูปออกมาว่า แค่นี้แหละ สุดท้ายคิดไปมันก็ไม่ได้อย่างที่เรารู้สึกอยู่ดี

คิดว่า CHUDTEEJED ควรฟังตอนอรุณ​ หรือ ตอนเย็น มากที่สุด

ปั๊บ: ถ้าเพลง อรุณ ก็ฟังตอนอรุณได้เลยครับ

โอม: CHUDTEEJED ฟังตอนไหนก็ได้ครับ

หั่ง: นี่เป็นคำถามที่ดี เป็นคำถามของคนที่ต้องฟังตั้งแต่เพลงแรกจนถึงเพลงสุดท้าย

โอม: ผมคิดถึงเกมนี่เลยอะ คุณปัญญา ปริศนาฟ้าแลบ มันฟังตอนไหนก็ได้ครับ

ปั๊บ: อ๋อ คือไม่ต้องตอบให้ตรงคำถามก็ได้ เป็นคำถามปลายเปิด

หั่ง: ฟังได้ทุกตอนครับ เอางี้ ฟังตอนกลางวันละกันครับ อยู่ตรงกลาง (หัวเราะ)​

ปั๊บ: ฟังตอนเย็นก็ดีนะ สำหรับผม ชอบฟังตอนเย็น

Potato กานต์

วงรุ่นเดียวกันที่พักวงไปแล้ว คิดถึงวงไหนที่สุด

กานต์: กลับมาแล้ว ก็คือวง Clash

โอม: ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ผมอยากให้ Silly Fools กลับมารวมตัวกัน

กานต์: ตอนนั้นมันมีอยู่ช่วงนึงที่ผมอยู่ดี ๆ ก็มาฟังวง Clash เพราะเวลาเราขับรถไป เวลาที่เราเสียบ mp3 ปุ๊บ เพลง กอด จะเป็นเพลงแรกที่ขึ้นมาในรถผมเวลาที่เราเสียบโทรศัพท์ น่าจะเพราะเป็นก.ไก่ ก็ยังคุยกับแม่คุยกับแฟนอยู่เลย ว่าเออ เพลงนี้แม่งตั้งแต่หัดเล่นดนตรีแรก ๆ เลย แล้วซักพักเค้าก็มารวมตัวกัน

หั่ง: Lazy Day ครับ (หัวเราะ) พูดเล่น ๆ รวมไม่ได้ครับ ๆ Silly Fools

โอม: เอาจริง ๆ ก็ยังอยู่ แต่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ผมก็ยังคิดถึงกลิ่นอายอะไรจากยุคนั้นอยู่ ภาษาด้วย

หั่ง: UHT ครับ (หัวเราะ)

วง Potato ยังฝึกซ้อมดนตรีกันไหม อยากแนะนำน้อง ๆ ในการฝึกซ้อมอย่างไรบ้าง

ปั๊บ: ซ้อมนะ ผมซ้อม คือเราไม่มีแพตเทิร์นในการซ้อมแบบชัดเจนด้วย เพราะว่าไม่ได้มีมีทฤษฎีเยอะ คือเน้นว่า ถ้าเราชอบเพลง ไม่ว่าจะชอบเพลงเดิม ๆ ก็คือชอบเพลงอยู่ดี เวลาเราชอบอะไร เดี๋ยวมันก็จะไปเจอประตูใหม่ ๆ สมมติว่า อย่างของผมเองชอบร้องเพลง เวลาเราชอบร้องเพลงเราก็จะเริ่มฟังหลาย ๆ แนว เพราะว่าเราอยากรู้ว่าเวลาออกเสียงในแนวนี้ เค้าใช้วิธีการแบบไหน แต่ก็อยู่ในจริตที่เราชอบนะ ไม่ใช่ว่า ชั้นอยากจะทดลองแบบอื่น เอาให้เราชอบจริง ๆ อย่างชอบเพลงป๊อป เพลงเพราะ ก็ร้องตาม ครูของผมก็คือ พี่ ๆ เพื่อน ๆ นักดนตรีหลาย ๆ คน ทั้งวงรุ่นใหม่ และวงรุ่นเก่า คือฟังหมดแหละ ฟังว่าเค้ามีเทคนิคในการร้องยังไง แล้วก็ฝึกร้องตาม แบบไม่ได้เลียนแบบเสียง แต่เอาเทคนิคการออกเสียงบางอย่างที่เราสามาารถทำได้ ไม่ให้มันเกินไป แล้วเดี๋ยวมันก็จะเจอช่องเสียงใหม่ ๆ ผมก็มาจากตรงนี้อะครับ สนุก ซ้อม ช่วงนี้ชอบฟัง r&b ร้อง r&b ช่วงนี้เบื่อ กลับไปฟังเพลงร็อกใหม่ หรือฟังเพลงแจ๊ส เพลงบลูส์ อันนั้นก็จะยากหน่อย ช่วงนี้ก็จะฝึกร้องเองนี่แหละครับ ในห้องน้ำ ถ้าให้แนะนำ ต้องเอาสนุกไว้ก่อน ขอให้สนุกกับการซ้อมก็จะทำให้เราเพลิดเพลิน  แต่ถ้าเกิดซ้อมเมื่อไหร่แล้วรู้สึก ต้องซ้อมอะ! ผมว่ามันจะไม่เกิดการพัฒนา แต่ถ้าระหว่างซ้อมมันเกิดความสนุกสนาน มันจะทำให้เราพัฒนาได้เร็ว

กานต์: ตอนนี้ผมเป็นอย่างนี้เลย พอเรารู้สึกสนุก เราจะรูัสึกย้อนกลับไปสมัยที่หัดเล่นใหม่ ๆ เราจะต้องแบบ แกะเพลงเยอะ ๆ ซ้อมเยอะ ๆ มันเป็นวิธีของเรา เวลาเล่นแบบนี้จะไม่รู้สึกดดันตัวเอง เราอยากเล่นเพลงนี้เราก็ฟังเพลงนี้ ตีเพลงวงนี้ มันจะมีช่วงกลาง ๆ ครับ ผมเหนื่อยตอนที่ซ้อมแบบ พยายามที่จะไปหาโน้ตมาตี ตอนที่รู้สึกว่าแม่งยาก ผมวางเลย กลายเป็นว่าพอเราย้อนกลับไปถึงเมื่อก่อน แกะเพลงเล่น มันจะทำให้เราอยู่กับกลองนานขึ้น เมื่อก่อนเรารู้สึกว่าเราซ้อมแค่นี้ 20 นาที พอละไม่ไหวว่ะ ยาก ตอนนี้ผมนั่งตีเป็นชั่วโมง สองชั่วโมง แกะ อยู่สองสามเพลง เล่นเพลงตัวเองบ้าง สนุก พอรู้สึกสนุกมันก็อยู่ได้ยาว ๆ ต้องสนุก

หั่ง: ตอบจริงจังได้ป่าวอันนี้ (หัวเราะ) คือเมื่อก่อนซ้อมเยอะ (ปั๊บ: ซ้อมวันละเจ็ดชั่วโมงคร้าบ) คือส่วนตัวผมซ้อมเยอะมาก จริง ๆ ผมว่ามือกีตาร์ที่รักการซ้อมส่วนใหญ่ก็เก่ง ๆ เยอะมาก แล้วคนที่เล่นกีตาร์เก่ง ๆ ส่วนใหญ่ ซ้อมวันนึง 7-8 ชั่วโมงทั้งนั้น แต่หลังจากที่มาทำงานดนตรีจริง ๆ จัง ๆ แล้วก็ยิ่งได้เข้ามาอยู่ในวง ผมบอกเลยว่า Potato เป็นวงที่เล่นดนตรี แต่ไม่ได้แสดงความสามารถทางด้านดนตรี ถ้าพูดแบบนี้อาจจะงง แต่เหมือนกับเราไปประกวดดนตรี เราไปแสดงความสามารถทางด้านดนตรี แต่ถ้าเราไปเล่นดนตรี คอนเสิร์ตบนเวที เราไปแสดงดนตรี เพราะฉะนั้นผมว่ามันเกือบจะเหมือนกัน แต่มันไม่เหมือนกัน เวลาเราไปแสดงดนตรี เราไปสร้างความสุขให้กับคนดู แต่ถ้าเราไปแสดงความสามารถทางด้านดนตรี เราไปเล่นดนตรีที่มันเจ๋ง ๆ โชว์ความสามารถให้คนดู เพราะฉะนั้นคิดไม่เหมือนกัน ทุกวันนี้ผมซ้อมน้อยลงด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าผมซ้อมมาก ผมซ้อมสเกลทุกวัน ผมหาความรู้ทางด้านดนตรีมาใส่หัวตัวเองทุกวัน มันจะปลูกฝังความรู้สึกที่ต้องเป๊ะ ต้องเนียน ต้องดี มันจะเป็นการแสดงความสามารถ เราจะติดนิสัยของการยืนแข็ง ๆ เล่นให้มันดี ๆ เน้น ๆ ขึ้นไปบนเวที ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นคือ performance ของการแสดงบนเวทีของวงมันจะเอียงเลยทันที เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ผมเน้นซ้อม เวลาไปทัวร์ทุกคนจะรู้ว่าในกรุ๊ปผมจะขอกีตาร์ละ ‘ขอกีตาร์ห้องนี้หน่อย’ ผมซ้อมก่อนขึ้นเวทีทุกวัน แต่ผมไม่ถึงขั้นว่าซ้อมสเกลแบบแหลกลาญ นอกเสียจากอย่างช่วงนี้ตอนทำอัลบั้มเสร็จ ผมรู้สึกว่า ผมอยากไปเรียนแจ๊สเพิ่ม เราอยากหาความรู้เพิ่ม อันนี้คือนอกเหนือเวลา เพราะฉะนั้นถ้าให้แนะนำคนซ้อมก็คือ ต้องถามตัวเองก่อนว่า เราอยากเล่นแบบไหน ถ้าเราอยากเล่นเป็นฮีโร่ คุณตั้งตารางซ้อมไปเลย วันละ 8 ชั่วโมงเป็นขั้นต่ำ แต่ถ้าคุณอยากเล่นดนตรีเพื่อความสนุก เช่าห้องซ้อม ไปซ้อมกับเพื่อน บางทีแค่หนังสือเพลงอันเดียว เข้าไปซ้อม แล้วเล่นแบบเดิมทุกวัน มี setlist ซักอาทิตย์ละสามเพลง แล้วก็ซ้อม อาทิตย์นั้นก็ซ้อมมัน 3 เพลงเนี่ย แค่ซ้อมวงไปวนมา ผมบอกเลยว่า โคตรสนุก โคตรมีความสุข แล้วเล่นทุกวัน ๆๆๆ มันก็จะเกิดความเคยชิน หลับตาเล่นก็ได้แล้ว ให้ถามตัวเองก่อนว่าเราเป็นแบบไหน ไม่ต้องหมกมุ่นมาก

กานต์: แบบเมื่อก่อนเป็นแบบนั้น ก็ต้องฝึก เพราะเจอเด็กรุ่นใหม่ ๆ เก่งขึ้นมาก แบบฮีโร่ตีคนเดียว แล้วเราจะรู้สึกกดดัน เพราะชอบมีคนมาบอกว่า ‘เนี่ย ตีกลองเพราะพี่ ๆ ‘ เราก็จะต้องพยายามอัพสกิลตัวเอง แต่กลายเป็นว่าเราทำแล้วเราไม่มีความสุขอะ เราแฮปปี้กับการเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์มากกว่า มากกว่าที่จะเป็นอาจารย์ที่ทฤษฎีหนาปึ้ก

ปั๊บ: แต่ช่วงที่ชอบฝึก ก็คือสนุกที่ได้ฝึกอยู่ดี

หั่ง: ซ้อมแบบที่เราต้องการ เราวางตัวเองไว้ตรงไหน ก็ซ้อมไปแบบนั้น อย่างพี่โอมเนี่ย พี่โอมเค้าซ้อมโยกหัวครับ (หัวเราะ)​

กานต์: เคยซ้อมอยู่หน้ากระจกด้วย ตีกลองไปแบบ ท่อนนี้ต้องควงไม้กลอง

หั่ง: พี่โอมเค้าเปิด dvd Slipknot แล้วก็ อ๋ออ ต้องโยกแบบนี้ (หัวเราะ)

โอม: ทุกวันนี้กลายเป็นดูทุกแบบ กลายเป็นชอบดูโชว์มากกว่าที่จะไปซ้อม เพราะแต่ก่อนผมโตมาด้วยการแกะเพลงแล้วไม่มีคนเล่นด้วย แล้วแบบ ไอ้เหี้ยเอ้ย แกะมาทำไมวะเนี่ย (หัวเราะ) เดี๋ยวนี้กลายเป็นชอบดูคอนเสิร์ต ชอบดูหลาย ๆ อย่าง ดูโชว์ ดูยันฉ่อย ดูมันทุกอย่างที่มันรู้สึกว่าอันนี้ดูแล้วเอ็นเตอร์เทน ​พยายามฟังเพลงเยอะ ๆ อยากเล่นอะไรก็ไปแกะ หาความชอบของตัวเอง แล้วก็ลองฝึก

ปั๊บ: ยิ่งนักร้องอะครับ ควรอัดวิดีโอ อัดเสียง ดีดกีตาร์ด้วยก็ได้ครับ อัดเสียงแล้วก็กดเพลย์ฟัง เห็นข้อผิดพลาดเต็มเลยครับ จะรู้เลยว่าแบบ ที่เราคิดว่าดีแล้ว ฟีลมากเลย แล้วมันฟังแล้วเป็นยังไง (หัวเราะ) คือมันก็สะท้อนได้ ยุคนี้มันง่ายแล้ว เมื่อก่อนต้องกดเทป แล้วก็กรอมาฟัง คือผมอะจะทำการบ้านตัวเองจากอัดเสียง

Potato โอม

รับมือยังไงกับคอมเมนต์ในโลกออนไลน์ แล้วอยากแนะนำน้อง ๆ ศิลปินว่าอย่างไร

หั่ง: คือถ้าขึ้นชื่อว่า bully เลยเนี่ย ผมใช้วิธีปิดเลย เพราะว่าเวลาเราอ่านข้อความเราสัมผัสได้ว่าอันไหนคือ bully อันไหนคือวิจารณ์ เวลาที่เรารู้สึกถึงคำวิจารณ์ ต่อให้มันเป็นทางไม่ดี เราโอเคนะ แต่เวลา bully เราสัมผัสได้จากประโยค เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเจอเราเลือกที่จะไม่เข้าไปยุ่งดีกว่า มันมีถึงแบบ คำหยาบคายด้วย เราเคยพยายามที่จะอธิบาย แต่เราก็รู้สึกว่า อธิบายไปเท่าไหร่ก็คงไม่เกิดประโยชน์ เลยเลือกที่จะอยู่ในมุมของเราดีกว่า มันมีช่วงนึงผมโดนในอินบอกซ์เยอะ เราเลือกที่จะปิดอินบอกซ์ไปเลย ช่วงนั้นก็ต้องจัดการไม่งั้นผมจะทำงานต่อไม่ได้ เราก็จะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องพวกนี้ มองไปข้างหน้าดีกว่า ของกานต์น่าจะคล้าย ๆ กันเพราะเราเคยคุยกันอยู่

ปั๊บ: ของผมมันโดนเรื่อย ๆ เป็นระยะ ๆ คือก่อนมี cyberbully มันก็เป็น bully อยู่แล้ว แต่มันแค่ไม่ได้อยู่ในโซเชียลเท่านั้นเอง ตั้งแต่อัลบั้มแรก ไปเล่นคอนเสิร์ตก็คือปะทะเลย โห่เลย ไล่เลย ไม่เอา โดนรำคาญ ก็อธิบายยากเนอะ วิธีการแก้ปัญหาของแต่ละคนก็คงแตกต่างกัน บางคนก็แก้ด้วยการ aggressive ประชัดประชัน แต่วงผมจะโชคดีที่สมัยเด็ก ๆ คือ เราก็มีหน้าที่เล่นดนตรี เราก็เล่นดนตรีไป อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด มันก็เหมือนสงครามตัวหนังสือ เราหนีมันไม่พ้นอยู่แล้ว คือจะเลือกรับก็ได้ เลือกไม่รับก็ได้ ตัวผมเองก็คล้าย ๆ พี่หั่ง แต่เราก็จะรู้ว่า อันนี้คือวิจารณ์ อันนี้คืออยากด่าละ สนุกปาก อันนี้คือต้องการอะไรซักอย่าง เราก็จะต้องแยกของตัวเองออกมา คือเราก็ต้องอยู่ให้ได้ เพราะว่าสุดท้ายแล้ววิ่งหนียังไงก็ต้องเจออยู่ดี หนียังไงก็ไม่พ้น เราอยู่กันเป็นเพื่อนกันไปเลย เอาเลย เนี่ย อยู่ข้าง ๆ กัน มันก็โดนกันมาตลอดอยู่แล้ว เราก็มีหน้าที่เล่นดนตรี เราก็เล่นไป ไม่ใช่แบบว่า ไม่แคร์เว้ย ไม่ใช่อย่างนั้น ก็รู้สึกนะครับ แต่เราก็มีหน้าที่เรา เราก็ต้องทำงานต่อไป ก็กลืนเลือด เราไปห้ามเค้าก็ไม่ได้ มันก็ปากเค้า นิ้วเค้า สมองเค้า จะดจตนาไม่เจตนา ก็เข้าใจมันดีกว่า ว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว

โอม: ของผมไม่ค่อยอ่าน ไม่ค่อยรู้ คงมีมั้ง แต่ผมขี้เกียจตอบ ไม่ใส่ใจ แค่นั้นเอง แล้วก็เป็นคนเล่นน้อยด้วยก็เลยไม่ค่อยรู้ เล่นแต่ไลน์ (ปั๊บ: เล่นแต่แชตส่วนตัว ก็จะมีแต่เพื่อน ๆ) จะด่าก็ด่ากัน ก็มีแต่คนใน 

มองภาพตัวเองอีก 18 ปีทำอะไรอยู่

โอม: หนีน้ำท่วม

กานต์: แต่จริง ๆ ก่อนอยู่วงนี้ ถ้าพี่หั่งไม่ได้โทรหาผม ผมก็คงไปเป็นครูดนตรี ป่านนี้ก็คงยังเป็นครูอยู่ คือตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมจบครุศาสตร์ปี 4 พอดี กำลังรอรับปริญญา ตอนนั้นคิดแล้วว่าจะไปเป็นครูจังหวัดไหนดี ผมอาจจะไม่ได้ชอบเป็นครู แต่ผมเรียนดนตรีที่บ้านสมเด็จ ฯ มันไม่มีศิลปศาสตร์ มีแต่ครุ ฯ ​จบมาก็ คิดอย่างเดียวว่าคงเป็นครูแหละ ครูก็ได้

โอม: ผู้ปกครองช่างอันตรายจริง ๆ (หัวเราะ)​

หั่ง: อีก 18 ปีเหรอ กานต์กำลังปวดหัวกับลูกสาวอยู่หรือเปล่า (หัวเราะ)​

กานต์: เป็นผู้ชายเป็นผู้หญิงยังไม่รู้เลย (หัวเราะ)

ปั๊บ: เครียดแน่มึง (หัวเราะ)

โอม: พ่อ ขอตังค์ไปทำนมหน่อย

หั่ง: ของผมคิดว่าอีก 18 ปี ลูกสาวผมก็อายุ 30 แล้วครับ น่าจะแต่งงาน มีครอบครัวแล้ว เลี้ยงหลานหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้แล้วแต่เค้า ส่วนพ่อแม่ถ้าโชคดีก็ยังอยู่ แต่ว่าผมคิดว่าผมน่าจะได้ทำอะไรในแบบที่ไม่ต้องห่วงคนข้างหลัง  คนที่เรารู้สึกเป็นห่วงเวลาที่เราทำอะไรแผลง ๆ ไม่ได้แบบสมัยที่ลูกเล็ก เราอาจจะได้ไปท่องเที่ยว ได้ไปทำอะไรแบบที่คนอายุ 58 อยากจะไปทำ คือจินตนาการอีก 18 ปีของตัวเอง ตอนนั้นทุกอย่างน่าจะบรรลุไปมากกว่านี้เยอะ เพราะว่าย้อนกลับไป 18 ปีก่อนหน้านี้ เราก็รู้สึกว่ามีอะไรที่เราย้อนกลับไปคิดว่า ‘ตอนนั้นเราก็คิดแบบนั้นได้เนอะ’ ซึ่งอีก 18 ปีข้างหน้าน่าจะมีอะไรที่บรรเจิดขึ้นกว่านี้อีกเยอะ ไปกระโดดร่ม อยากทำแต่กลัวตาย เพราะว่าถ้าเราตายไปยังมีคนที่ต้องดูแลอยู่ แต่ถ้าตอนนั้นอาจจะแบบ ช่วงแม่งแล้วเว้ย! (หัวเราะ) แล้วก็ยังคงเล่นดนตรีต่อไป คิดว่านะ ยังไม่มีฟีลลิ่งนั้นเลยที่จะทิ้งไป

กานต์: ผมว่าพี่หั่งเที่ยวรอบโลกแน่นอน

ปั๊บ: ก็มีภาพอยู่ คิดว่าน่าจะไปจุดสำคัญที่อยากไปให้ครบแล้ว ก็มีที่ ๆ ชอบ ไม่ใช่ไปที่ชอบ ๆ นะ (หัวเราะ) แต่หมายถึงว่ามีที่ ๆ อยากเดินทางไปเยอะ ๆ อยากไปเห็นด้วยตาตัวเอง ในแผนที่โลกมันเปิดกว้างขึ้น เราเห็นผ่านจอคอมพิวเตอร์ เราก็อยากไปสัมผัสมันด้วยความรู้สึกของเราเอง ด้วยตาเนื้อของเราเองแบบครบมิติ แต่เมื่อกี้ก็ยังคิดอยู่ว่า ถ้าเป็นไปได้ ถ้าไม่เป็นการยึดติดเกินไป ผมก็ยังอยากอยู่เป็นเพื่อนคนฟังอยู่ แล้วก็ยังตื่นเต้นว่า Potato วันนั้นจะเป็นไงน้า จะเล่นดนตรีในลักษณะแบบไหน จะเล่าเรื่องอะไร จะเล่นแนวไหนน้า แล้วจะมีเพื่อนที่ยังฟังเพลงกับเราต่อไปอยู่มั้ย ผมก็ 56 ผมว่าน่าจะยังไหวนะ

หั่ง: โห 56 ยุคนี้มียาอายุวัฒนะเยอะ (หัวเราะ)

ปั๊บ: นี่พูดจริง ๆ นะ ผมก็ยังรู้สึกว่ายังมีเรื่องที่ยังอยากเล่าอยู่ ที่ไปเดินทาง ไปเจอคน ก็มีวิธีคิดที่มันเปลี่ยนไป

หั่ง: แต่หลายเพลงต้องปรับคีย์ (หัวเราะ)​

ปั๊บ: เป็นไปได้ครับพี่ (หัวเราะ) อาจจะเป็นโฟล์กร็อก เป็นอะคูสติคร็อกแล้ว ตีคอร์ดเปล่า ๆ ร้องเพลงสื่อสาร เล่าเรื่อง

กานต์: กลองไม่ต้องตีแล้วมั้ง (หัวเราะ)​ เปิดซินธ์กดปุ่มแล้วก็ อะ พี่เล่นไปเลย (หัวเราะ)

ปั๊บ: แต่คิดว่าน่าจะยังมีเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่ยังเป็นเพื่อนฟังเพลงกันต่อไป ยังรู้สึกว่ายังมีแรงแล้วก็มีไฟที่ยังอยากทำอยู่ แล้วก็มีครอบครัว แน่นอน แต่ลูกนี่ เดี๋ยวว่ากัน ยังไม่กล้าบอก

โอม: นั่นแหละครับ อาจจะยังนั่งรถเข็นอยู่ก็ได้ครับ อีก 18 ปี ถ้ายังไม่ไปไหน ยังไม่ได้เป็นอะไรก็คงยังเล่นดนตรีอยู่ แต่น่าจะนั่งรถเข็น (หัวเราะ)

หั่ง: โอมไม่ตามคอนเซ็ปต์ตัวเองเลยอะ (หัวเราะ) โอมบอกว่า ‘โอมคิดแค่วันนี้ครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่คิดแล้ว’

โอม: ก็นี่แหละ ก็คงยังนั่งรถเข็นอยู่มั้ง (หัวเราะ) ชีวิตใช้ทุกวันนี้ก็โลดโผนทุกวัน ถึงตอนนั้นอาจจะแบบว่า ‘แฮ่ กูพลาดว่ะ’ (หัวเราะ) มันอาจจะมีก็ได้ไง (ปั๊บ: ยากมากเลยครับ เพราะโอมต้องอยู่เห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกอีกเยอะครับ) นั่นแหละครับ ขนของหนีน้ำท่วม (หัวเราะ)

Potato ปั๊บ

เห็นว่าปลายปีจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ มีอะไรเซอร์ไพรส์บ้าง

ปั๊บ: วันที่ 30 พฤศจิกายน กับวันที่ 1 ธันวาคม ยังไม่มีชื่อคอนเสิร์ต แต่มีคอนเสิร์ตสองวันนี้แน่นอน รอดูเซอร์ไพรส์ได้เลย

โอม: ถ้าบอกเซอร์ไพรส์ไม่เซอร์ไพรส์เลย เพราะทุกคนจะถามว่า จะมีเซอร์ไพรส์มั้ย แต่ถ้าบอกไปมันจะเซอร์ไพรส์มั้ย (หัวเราะ)​

ปั๊บ: อยากให้ไปดูจริง ๆ อะ มันก็ไม่เคยจัดใหญ่ขนาดนี้มาก่อน เป็นครั้งแรกที่จะลองทำอะไรแบบใหญ่ ๆ เต็มที่ แล้วก็คิดแบบไม่มีกำแพง ไม่มีข้อแม้อีกต่อไป จะสานฝันทุกอย่างที่เคยเก็บมาทั้งหมด ทุ่มใส่พี่ ๆ ที่ Genie Records ดูแล้วรอดูว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เอาเท่าที่เป็นไปได้ แต่น่าจะเป็นคอนเสิร์ตที่เราได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแขกรับเชิญด้วย เรื่องของสคริปต์โชว์ด้วย ผมว่ามันคงสนุกมากเลยครับ วันนี้พวกผมเล่นดนตรีกันด้วยความสนุกสนานคนละแบบกับในช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วย ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน ไม่ได้รู้สึกว่า เราเก๋าแล้ว แต่คือรู้สึกว่า สนุกจังเลย เหมือนมีอะไรให้ทำอีกเยอะแยะไปหมดเลย ก็อาจจะมีอะไรตื่นเต้นเกิดขึ้นอีกก็ได้ ตอนนี้เดาไม่ออกจริง ๆ ยาวเต็มอิ่มแน่นอน อ้วกเลยอะ เอาให้อ้วกเลย สองวัน เตรียมหมอนไว้เลยอะ แบบ อ๊าาาาา (หัวเราะ)

ฝากผลงาน

ปั๊บ: ฝากอัลบั้ม CHUDTEEJED ด้วยครับ ลองหาฟังดูครับ ถ้าเป็นซีดีก็ผลิตไม่เยอะ แต่ว่าถ้าตามสตรีมมิ่งต่าง ๆ ก็หาฟังได้ทั่วไปแล้ว ฝากเพลงด้วยครับ ฝากอัลบั้ม มาช่วยกัน

โอม: ในอัลบั้มยังมีเพลงที่คนน่าจะชอบ คนฟังน่าจะชอบที่ยังไม่ได้โปรโมตออกไป ก็เลยจะฝากอัลบั้ม CHUDTEEJED ด้วยครับ

ปั๊บ: ฝากแฟน ๆ ฟังใจด้วยครับ เดี๋ยวนี้จะหาฟังเป็นอัลบั้มยาก ส่วนใหญ่จะเป็น EP 5 เพลง 6 เพลง อยากจะให้ลองครับ ฟังใจ สำหรับวง Potato ก็​อยากให้ลองใช้ใจฟังอัลบั้มนี้ดูครับ ว่ามันเป็นยังไง ผมว่าต้องมีซักเพลงแหละที่ทุกคนเอาไปเป็นส่วนประกอบของความชื่นชอบได้ ลองดูครับ

Potato band in front of lockers

 

ติดตาม Potato ได้ที่ Facebook: Potato


อ่านต่อ

16 ปีบนเส้นทางดนตรีของ ‘ปั๊บ Potato’ กับชีวิตทุกด้านทุกมุมที่เราอยากให้คุณได้รู้

ข่าวดี! ปลายปีนี้ POTATO จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ 2 รอบ

Facebook Comments

Next:


Malaivee Swangpol

มิว (เรียกลัยก็ได้)​ โตมาข้าง ๆ วงมอชแต่ตอนนี้ฟังทุกแนว ชอบอ่านหนังสือ ตามหาของกินอร่อย ๆ และตอนนี้ก็คงกำลังวางแผนเที่ยวรอบโลกอยู่