Article Interview

คุยกันก่อนไปลุยที่ Brew Heart คอนเสิร์ตเปิดตัวอัลบั้มแรกของ Ugoslabier สิ้นเดือนนี้

  • Writer: Krit Promjairux
  • Photographer: Nuttawoot Phaiboon

“Wreck It, Trash It, Fuck Shit Up” คือคำโปรยบนโปสเตอร์คอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มเต็มชุดแรกของวง Ugoslabier (อ่านว่า ยู-โก-สลา-เบียร์) สำหรับคนที่เคยดูพวกเขาเล่นสดจะรู้ดีว่าคำโปรยดังกล่าวมันไม่ได้ดูเกินจริงเลยกับความโกลาหลและสุดเหวี่ยงของคณะดนตรี post hardcore 5 ชีวิตกลุ่มนี้ หลังจากหมักบ่มสะสมประสบการณ์มานานกว่า 5 ปี ตอนนี้พวกเขาพร้อมแล้วที่ส่งงานชุดแรกในชีวิตของพวกเขาไปสู่โสตประสาทชาวโลก กับอัลบั้ม Brew Heart พร้อมกับคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มในวันที่ 30 กรกฎาคม 2017 ณ PLAY YARD By Studio Bar และต่อจากนี่คือบทสัมภาษณ์ที่จะไปเจาะลึกเกี่ยวการทำงานในอัลบั้มชุดนี้และแผนการในอนาคตของพวกเขา

dsc06856

สมาชิก
Paul Solis (ร้องนำ)
Oh – Whittavat Pisuttisup (กีตาร์)
Oat – Anawat Pisuttisup (กีตาร์)
Kun Tonglur (เบส, ร้อง)
Nammon – Narongpon Kespratoom (กลอง)

ที่มาของชื่ออัลบั้ม Brew Heart

น้ำมนต์: ก็เกี่ยวกับเบียร์ครับ (หัวเราะทั้งวง) เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่เราชอบดื่ม ซึ่งเพลงในอัลบั้มนี้มันก็เหมือนกับเบียร์ที่ผ่านการกลั่นออกมาจากหัวใจของพวกเรา แต่ด้วยความรับผิดชอบส่วนตัวกับเวลาที่ไม่ค่อยว่างตรงกันของแต่ละคน ทำให้ใช้เวลาค่อนข้างนาน

พอล: มันเป็นความอัดอั้นของเราที่ทำเพลงกันตั้งแต่ก่อตั้งวงกว่า 5 ปี บวกระยะเวลาในการทำอัลบั้มเต็มชุดนี้ที่ใช้เวลาร่วม 3 ปี ด้วยความที่มันใช้เวลานานก็ผ่านอะไรมาเยอะ อัลบั้มชุดนี้ก็จะรวมทุกอย่างที่หมักบ่มมานั่นแหละ

โอ๋: แล้วก็มันเข้ากับชื่อวงด้วย จริง ๆ อัลบั้มนี้เราเวลาประมาณสองปีในการทำ และใช้เวลาปีกว่าในการอัด

มีความแตกต่างหรือความต่อเนื่องจาก EP Republic of Ugoslabier ไหม

โอ๋: ถ้าตอบแบบเท่ ๆ อัลบั้มชุดนี้เราก็โตขึ้นครับ (หัวเราะทั้งวง)

พอล: อะไรโตครับ ช่วยอธิบายหน่อย

น้ำมนต์: ตอนช่วงทำ EP มันเหมือนของร้อน อยากปล่อยของ แต่เราก็ได้เรียนรู้มาจากงานชุดที่แล้วว่า บางอย่างที่เราควรจะทำ เราก็ไม่ได้ทำ หรือว่าทำแบบไหนดีหรือไม่ดี แต่พอเราอัดอัลบั้มชุดนี้เสร็จ เราก็ได้มารู้อีกว่า ตายละ ทำแบบนี้มันไม่ดีนี่หว่า มันก็เป็นการเรียนรู้ต่อยอดขึ้นไปอีก

โอ๊ต: มีอัลบั้มมันก็เหมือนโตขึ้น มันเป็นการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ

เนื้อหาของอัลบั้ม Brew Heart

พอล: ผมจะเขียนเนื้อเพลงแทนตัวเองเป็นหลัก อาจจะเป็นสิ่งที่เจอในชีวิต บางเรื่องก็มาจาก ไอ้นี่บ้าง ไอ้นี่บ้าง (ชี้ไปที่สมาชิกในวง) เรื่องรอบตัวที่เกิดขึ้น อย่างที่บอกว่ากว่าอัลบั้มจะเสร็จมันใช้เวลาพอสมควร ชีวิตมันก็เปลี่ยนในแต่ละช่วงเวลา

น้ำมนต์: ส่วนดนตรี มันจะมีความพิเศษและเฉพาะอยู่ในแต่บทเพลง ซึ่งระยะการทำที่นาน เวลาเราฟังเป็นอัลบั้มเราจะสามารถสังเกตเห็นว่ามันจะมีโทนของแต่ละช่วงเวลา จะมีทั้งที่แบบฉีกจากงานชุดในก่อนไปเลย กับแบบที่ยังมีกลิ่นจากงานชุดแรกอยู่บ้าง ด้วยความที่มันนาน แต่ละเพลงมันก็สะท้อนเรื่องราวที่เราผ่านกันมา อย่างในส่วนของเนื้อหาเนี่ย เราเริ่มทำเพลงตั้งแต่มันยังไม่มีลูก (หมายถึง พอล นักร้องนำ) พอมีลูกปุ๊ป เรื่องราวมันก็เปลี่ยนไป คอนเซปต์หลัก ๆ คือ ของจริง เป็นชีวิตจริงของพวกเราตามระยะเวลาที่ผ่านมา

dsc06879

การเปลี่ยนผ่านสถานะที่วันนึงกลายเป็นพ่อ มันเปลี่ยนวิธีคิดหรือวิธีการเขียนเพลงของเราอย่างไร

พอล: มันน่าจะเป็นเพลงสุดท้ายที่ผมเขียนก่อนจะจบอัลบั้มนี้ ชื่อเพลง Move ซึ่งจริง ๆ มันเป็นเพลงแรกที่เราทำด้วยซ้ำ ใช้ประกวด Hard Rock Rising เมื่อปีนู้น (2014) แต่กลายมาเป็นเพลงสุดท้ายที่ผมเขียนเสร็จ ที่จริงตอนแรกเขียนให้น้ำมนต์ เพลงมันพูดถึงเรื่องความรับผิดชอบของคน ๆ นึงที่โตขึ้นมา แล้วเราต้องส่งต่อให้กับคนอีกคนนึง แล้วชีวิตเราก็ต้องเปลี่ยนไป ปรากฏว่าพอผมมีลูกปั๊ป เนื้อเพลงมันก็เปลี่ยนไปอีกแบบนึง มันเหมือนว่าเราเข้าใจอะไรมากขึ้นไปด้วย ถือว่าเป็นเพลงที่ประหลาดดี บวกกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่พ่อผมป่วยด้วย มันเป็นเพลงที่เกี่ยวกับความรู้สึกของคนในครอบครัว จากรุ่นสู่รุ่น เรื่องความรับผิดชอบบางอย่างที่ทำให้เราต้องนึกถึงคนอื่น ใจเย็นขึ้น (วง: นี่ขนาดในเย็นแล้วนะ) เป็นเพลงที่ช้าที่สุดในอัลบั้มด้วย

โอ๋: จะเรียกว่าเพลงช้ามันก็ไม่ถูก เอาเป็นว่าเป็นที่มี tempo ช้าที่สุด อย่าพูดว่าเพลงช้าสิ ใจคอไม่ดีเลย (หัวเราะ)

พอล: อยากมีเพลงช้าบ้างไง

dsc06860

วีธีการทำงานในแบบของ Ugoslabier

โอ๋: พวกเรา ยูโกสลาเบียร์ โปรดิวซ์กันเอง คิดกันเอง เป็นวงดนตรีระบบอนาล็อก คือต้องมองหน้ากันถึงจะเล่นดนตรีได้ต้องด่ากัน มึงนับให้กูก่อน ไม่งั้นกูเล่นไม่ได้ (พอล: ทะเลาะกันบ่อยมาก) ไม่มีการขึ้นเดโม่อะไรในคอมมาก่อน (น้ำมนต์: ไม่มีการส่งไฟล์ผ่าน cloud แล้วมาแก้กัน) เราสามารถพูดได้เลยว่า เราเป็นหนึ่งในวงส่วนน้อยในยุคนี้ที่ใช้วิธีการแบบนี้อยู่ คือเพลงมันต้องมาจากคน 5 คน ไม่ได้มาจากคน ๆ เดียว

กัน: เพราะในยุคนี้ส่วนใหญ่ก็ทำเดโม่กันในคอมก่อนแล้วค่อยมานั่งแก้กัน

น้ำมนต์: หรือพูดตรง ๆ คือ พวกเราทำกันไม่เป็น (หัวเราะกันทั้งวง)

พอล: เกือบหล่อแล้ว (หัวเราะ) ถือว่าเป็นวงไง วงก็คือ 5 คน เหมือนตอนเริ่มบางคนมีริฟฟ์นี้มา มีกลองมาก่อน หรือเนื้อมาก่อน ก็งัดออกมาโชว์กัน

 

โอ๋: แล้วพอเราทำเพลงกันจากการแจม มันจะรู้อารมณ์เลยครับว่าเพลงนี้มันจะรอดหรือไม่รอด คือบางทีแบบเราเล่นกีตาร์มา ตัวเราเองเราชอบมาก แต่พอเราเห็นเพื่อนเรารู้เลยว่าไม่ผ่าน ก็ไม่เป็นไร เอาไว้ก่อน มันก็เลยจะมีเพลงที่โดนทิ้งไปเยอะ

น้ำมนต์: บางวันผมตีอะไรมั่ว ๆ โอ๋เล่นตาม กันเล่นตาม ถ้ามันคลิกปุ๊บ วันเดียวจบ

โอ๊ต: แต่อย่างเพลง Move ที่พอลพูดไป มันเป็นเพลงแรกที่เริ่มทำในอัลบั้ม แต่เป็นเพลงสุดท้ายที่เราเพิ่งทำเสร็จ ทั้งดนตรี ทั้งกระบวนการอัด ทุกอย่างมันไม่ได้ตายตัว

dsc06863

เป้าหมายและความคาดหวังในอัลบั้ม

โอ๋: มันก็เป็นความฝันของเราที่อย่างส่งงานออกไปให้กว้างที่สุดไม่ว่าจะเป็นนอกประเทศ หรือในจังหวัดอื่น ๆ ได้ฟังกัน ได้อินกับเรา ได้สนุกกับเรา เราก็ได้พยายามทดสอบในการเล่นสด บางที่ไปไม่รอดก็มี บางที่ก็เกินคาด ดีบ้างร้ายบ้าง วงมันก็ต้องเดินไปเจอเรื่องระหว่าง แต่จุดหมายของเราคือเราต้องไปต่อ เราต้องเล่นอีก ต้องทำเพลง ลองสังเกตดูได้เลยว่า เวลาคนจัดงานติดต่อมา มีน้อยครั้งมาก ๆ ที่จะปฏิเสธ (กัน: ถ้าไม่มี accident อะไรเราไม่ปฏิเสธเลย)

น้ำมนต์: แต่เอาจริง ๆ อย่างอัลบั้มชุดนี้ก็เป็น goal ในตัวมันเองอยู่แล้วในระดับนึง เพราะสมาชิกวงแต่ละคนก็เล่นดนตรีกันมานานแล้ว แค่ไม่เคยมีใครที่มีอัลบั้มเต็ม แล้วก็อย่างที่โอ๋บอกคือ เราต้องกระจายงานออกไป ส่วนคนจะชอบไม่ชอบยังไง เราไม่ได้คาดหวัง แต่เราก็อยากส่งงานของเราออกไปให้ไกลที่สุด อยากให้คนได้ยินได้ลองฟังให้มากที่สุด ก็เริ่มมีการวางแผนคร่าว ๆ ไว้บ้างแล้ว

โอ๋: ที่แน่ ๆ ก็มีวันที่ 30 นี้ งานเปิดอัลบั้ม และที่เราคุยกันไว้ก็คือเวียดนามที่เดี๋ยวเราจะกลับไปอีกรอบนึง เพราะคนดูที่นั่นค่อนข้างโอเคกับเรา

หลังจากนี้จะเริ่มเขียนเพลงใหม่ ๆ กันเลยหรือเปล่า

น้ำมนต์: พวกเราก็ยังเขียนเพลงใหม่ ๆ กันอยู่เรื่อย ๆ ฮะ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นอัลบั้มเลยไหม อย่างที่บอก ของร้อนน่ะ มันอยู่ไม่ได้

พอล: เรียกว่า ยิ่งโตยิ่งดุ

ช่วยเล่าที่ซีนอันเดอร์กราวน์ที่เวียดนามเท่าที่สัมผัสมาให้ฟังหน่อย

น้ำมนต์: ซีนดนตรีอันเดอร์กราวด์ในเวียดนามเป็นซีนที่ค่อนข้างใหม่ ถ้าคุยกับคนที่นู่นคือ วงที่มีอายุ 5 ปี นี่คือวงเก่าแล้ว เหมือนประเทศเขาเป็นคอมมิวนิสต์กันมานานแล้วเขาเพิ่งเปิด ทำให้เรานึกไปถึงบ้านเราเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ซีนดนตรีอันเดอร์กราวด์จะอยู่แถว ซอย 4 (รัชดาภิเษกซอย 4 เคยเป็นโซนที่จัดงานดนตรีอันเดอร์กราวด์ในยุค Myspace กล่าวได้ว่าเป็นยุคที่พีคที่สุดของซีนดนตรีอิสระสายหนักของบ้านเรา)

พอล: แค่เสียงกีตาร์ขึ้นมาบนเวทีตอนซาวน์เช็ก คนก็ออกมายืนกันหน้าเวทีแล้ว ปัจจุบันไม่มีภาพแบบนี้ให้เห็นเท่าไหร่ในบ้านเรา

โอ๋: ตอนที่ได้เล่นคราวนั้นมันเริ่มจากแค่ผมโพสต์ไปในเฟสบุ๊กของคนจัดเพื่อให้เขาลองฟัง ฝากแชร์ แต่เขาตอบกลับมาว่า มาเล่นสิ ซึ่งตอนแรกจะได้ไปเล่น 2 โชว์ คือที่ฮานอย และโฮจิมิน แต่มันติดช่วงปีใหม่เวียดนามพอดีเลยได้ไปเล่นแค่ที่ฮานอยที่เดียว

น้ำมนต์: แต่คนที่นู่นเขาค่อนข้างซัพพอร์ตซีนกันดี และตรงต่อเวลามาก วันนั้นเราไปถึงสถานที่เล่นตอน 6โมง งานเริ่มทุ่มนึง ตอนแรกไม่มีใครมาเลย เราก็คิดว่าดราม่าแน่เลย (พอล: อย่างเหงาเลย) แต่พอ 6 โมง 15 ปุ๊ป ประตูเปิด คนแม่งทยอยเข้ามาเต็มเลย แล้วคนที่นู่นเขาก็ไม่ค่อยมีโยเย ออกไปนั่ง ออกไปสูบบุหรี่ กินเบียร์

พอล: เพราะแม่งดูดกันในร้านไง (หัวเราะทั้งวง)

น้ำมนต์: แต่เขาอาจจะไม่ได้มีความเข้าใจในซีนอะไรมาก แบบ ฮาร์ดคอร์ มันต้องอย่างงั้นงี้ แต่ก็มีความสนุกในแบบของเขา แล้วก็ค่อนข้างจริงใจ

โอ๊ต: อย่างคนดูนี่บางคนที่มาก็เดธ บางคนก็พังก์ แต่เขาก็มาฟังกันหมดเลย

โอ๋: ซัพพอร์ตซื้อพวกเสื้อ ซีดี นู่นนี่ แล้วก็ไม่แบ่งแยก (พอล: ซื้อก่อนเล่นด้วย)

น้ำมนต์: และที่เด็ดที่สุดคือพอเล่นเสร็จปุ๊ป งานจบปุ๊ป แม่งกลับเลย (หัวเราะ) ไม่ค่อยมีต่อ จะมีแต่คนที่รู้จักกับวงหรือคนจัดนิดหน่อย ไม่รู้ว่ามีระเบียบ พรุ่งนี้มีสอบ หรือกลัวรถหมดรึเปล่า อะไรอย่างงี้

dsc06876

อธิบายซาวด์ของ Ugoslabier สำหรับคนที่ไม่เคยฟัง

น้ำมนต์: ถ้าจะให้พวกเราระบุแนวเพลงที่ตรงกับเรา 100% ก็คงไม่ได้ แต่ถ้าจะอธิบายให้มันใกล้เคียงที่สุดก็คงเรียกว่าเป็นโพสต์ฮาร์ดคอร์ จากที่เราลองฟังแล้วมันใกล้เคียงกับชาวบ้านเขา แต่จริง ๆ คำนิยามของพวกเรามันจะมีอยู่ประโยคนึงที่เราเคยสกรีนลงบนเสื้อวง “Wreck It, Trash It , Fuck Shit Up” ซึ่งมันก็คือคำโปรยที่ใช้โปรโมตคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มครั้งนี้ด้วย มันคือคำจำกัดความของวงเราด้วยคือ เอาไปสิ พังไปสิ ลุยไปสิ เอาแม่งให้เละ

โอ๊ต: อย่างซาวด์บางคนเขาฟังแล้วก็แบบ เฮ้ยทำไมมันดูตีกัน เช่น ไลน์กีตาร์อย่างผมและของโอ๋คือมันไม่มีการนัดกันเลยว่าท่อนนี้ต้องเล่นอย่างงี้ ต่อไปเล่นงี้ เหมือนพอแพตเทิร์นกลองมันมาแบบนี้ แต่ละคนก็มีภาพของตัวเองที่จะเล่น แต่พอเอามารวมกันแล้วแบบมันดูดี บางท่อน บางเพลง เราจับคอร์ดไม่เหมือนกันแต่ถ้าฟังแล้วมันลงตัว เราก็เอา

พอล: ถ้าถามโอ๋ว่าเขาจับคอร์ดอะไรเขาก็ยังไม่รู้เลยนะครับ (หัวเราะทั้งวง)

โอ๋: อย่างเวลาเล่นสดผู้จัดงานจะรู้ว่า วงนี้มึงไม่เคยเรื่องมากเรื่องของเลย เอาแค่แบบเสียงดังพอแล้ว ไม่ต้องมาแบบ ghost note อะไรงี้ เราแค่ต้องการสนุกกับมัน เต็มที่

dsc06866

อยากให้พูดถึงวงเปิดทั้งสามวงที่มาร่วมสนุกกันในงานเปิดอัลบั้ม Brew Heart 30 กรกฎาคมนี้ที่ PLAY YARD By Studio Bar (Carry On, สันดาน, The Darkest Romance)

โอ๋: เราก็เอาจากที่เราสนิทด้วยก่อนสำหรับงานนี้ เป็นเพื่อน พี่น้องในซีนที่รู้จักกันมาเป็นหลัก เราไม่ได้เอาวงที่ต้องเรียกคนมาได้ร้อยคนอะไรแบบนี้ อย่าง Carry On ก็มีโป๊ป เป็นรุ่นน้องที่เคยเล่นดนตรีด้วยกันมา ส่วน The Darkest Romance นี่คือเราเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเขาชอบพวกผมมาก

น้ำมนต์: คนที่เคยดู The Darkest Romance เล่นสดก็จะรู้ว่าอารมณ์เพลงแบบพัง ๆ เหมือนกัน

โอ๋: ใช่ แล้วก็ สันดาน อะ

พอล: อันนี้ สันดานจริง ๆ (หัวเราะทั้งวง)

โอ๋: เออ แม่งสันดานจริง ๆ เลย คือจากที่เมื่อก่อนตอนสมัยรัชดาซอย 4 พอผมถือกีตาร์มาจะเข้างานก็ต้องช้อนมือผมแล้วก็เดินตามผมเข้างานไปเลย (หัวเราะ) คือ เจฟ ต้องการแค่ตราปั๊มเข้างาน พอได้ตราปั๊มแล้วหายไปเลย คือสิบปีที่แล้วเป็นไง สิบปีที่แล้วก็ยังเหมือนเดิม

น้ำมนต์: คือที่เราเรียกวงนี้มาเนี่ย อาจจะไม่ได้เล่นนะ แต่เรียกมาตบหน้างาน (หัวเราะ) สรุปก็คือหลัก ๆ เป็นเพื่อน ๆ ที่รู้จักกันและมีแนวทางไปในทางทิศทางเดียวกันประมาณนึงด้วย

เชิญชวนผู้อ่านไปงานเปิดอัลบั้ม

19748887_1732647276763675_6919629581847883145_n

โอ๋: สำหรับงานนี้เป็นงานแรกที่พวกเราจัดกันเอง แล้วก็เป็นงานเปิดอัลบั้มเต็มครั้งแรกในชีวิตของพวกเราทั้งห้าคน ตั้งแต่พวกเราเล่นดนตรีมาสิบกว่าปี ไม่เคยมีอัลบั้มเต็มไม่เคยมาถึงจุดนั้นอ่ะครับ แล้วอีกไม่กี่วันก็จะถึงจุดตรงนั้นละ ซึ่งเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าคนจะมาเยอะ แต่เราก็อยากให้คนมาเยอะ ๆ (หัวเราะ) บัตรร้อยนึงเนี่ยถูกว่ามาโบโร่อีกอ่ะ บางทีจะไปสยามยังไปไม่ถึงเลย แต่มางานเราได้แล้วจะมีความหฤหรรษ์ให้

น้ำมนต์: แล้วก็ CD อัลบั้มวางขายหน้างานที่แรก 12 แทร็ค 10 เพลง ราคา 300 บาท ถ้าซื้อซีดีก็เข้างานฟรีไปเลย

กัน: มันแน่นอนครับ ขออย่างเดียวงานนี้อย่าเผาร้าน

พอล: ถ้าอยากจะพังของให้เอาจานชามอะไรมาเองนะ แล้วเก็บกวาดด้วย แนะนำว่าอย่าขับรถมา เพราะงานนี้พังแน่นอนครับ

dsc06845

ติดตามความเคลื่อนไหวของ Ugoslabier ได้ ที่นี่ และรับฟังเพลงของพวกเขาบน ฟังใจ ได้ ที่นี่

Facebook Comments

Next:


Krit Promjairux

kicking and screaming in Pistols99 อยากใช้ชีวิตเหมือน William Miller ในหนังเรื่อง Almost Famous.