Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

‘Maybe This’s Why I Never Return Your Call’ โชว์สนุกจน Missed Call เป็นร้อยสาย

  • Story and photos by Montipa Virojpan

30 สิงหาคม 2561

เรามักจะตั้งคำถามกับงานที่จัดโดย Narwhal and Her Plankton อยู่เสมอ ว่าไปเจอเหตุการณ์อะไรมาในชีวิตถึงได้มีชื่ออีเวนต์อีโมชันนัลถึงเพียงนี้ คือไม่ใช่อะไร เวลาเพื่อนถามว่าคืนนี้มีงานไรวะเราจะตอบไม่เคยได้เพราะชื่อมันยาว! เลยได้แต่เรียกว่างานไอ้นีออน อยู่แทบทุกครั้งไป อย่างงานล่าสุดที่จัดขึ้นเมื่อคืนที่ De Commune ใช้ชื่อว่า Maybe This’s Why I Never Return Your Call (ถ้าจำได้คือเก่ง) อีกงานที่กล้าจะนำเสนอวงดนตรีหน้าใหม่ที่แทบจะไม่มีใครรู้จัก แต่เชื่อมือได้ว่าวงเหล่านี้ผ่านการคัดเลือกมาแล้วทั้งสิ้นด้วยความน่าสนใจของดนตรีที่พวกเขาสร้างสรรค์ขึ้นมารวมถึงฝีไม้ลายมือการแสดงสดที่น่าทึ่ง ความพิเศษของงานนี้คือมีแม่หมอมาดูไพ่ยิปซีบุฟเฟ่ต์ ถามกี่คำถามก็ได้ในราคาพิเศษ จากผู้ใช้บริการ 95% มีความพึงพอใจและบอกกันเป็นเสียงเดียวว่าแม่น!

หลังจากที่เราเสร็จภารกิจที่ห้องซ้อมดนตรีก็รีบบึ่งไปยังสถานที่จัดงานในเวลาสามทุ่ม ตอนนั้นก็คิดในใจแล้วว่าไม่น่าจะไปทันวงแรกแน่ แต่ปรากฏว่าการแสดงเริ่มจริง ตอนประมาณสามทุ่มครึ่ง ก็ได้รู้ว่าวงที่กำลังเล่นอยู่นี้เป็นวงเซอร์ไพรส์ที่เพิ่งประกาศในตารางเวลาและไม่มีชื่อปรากฏในไลน์อัพ แต่ยิ่งเซอร์ไพรส์เข้าไปอีกเมื่อเพลงที่พวกเขาเล่นเป็น post punk, shoegaze, alternative rock ดุดันแบบโดนเส้น ตรงสาย เฝ้าฝันมานานที่จะได้ฟังวงอะไรแบบนี้และเสียงร้องของนักร้องนำก็ทำให้เรานึกถึงวง new wave จากยุคนั้น พวกเขาคือ Known/Unknown ที่ตอนเราดูพวกเขาแสดงก็สังเกตว่านี่เสียงดังกว่าปกตินึเปล่านะ แต่แนวดนตรีแบบนี้แหละที่ยิ่งฟังดังเท่าไหร่ก็จะได้ยินรายละเอียดของความแตกพร่าหนักหน่วงนั่นมากขึ้นเท่านั้น แม้เราจะไม่รู้จักเพลงของวงนี้สักเพลงแต่จากผลพวงองค์ประกอบทั้งหมดทำเอาเราโยกคอหลุดตั้งแต่เพลงแรก และก็มีเพลงจังหวะช้า ให้ได้ผ่อนคลายอารมณ์แต่ไปซัดเอาอย่างหนักหน่วงตอนท้ายเพลงอยู่เหมือนกัน นักร้องนำเล่าว่าเพลงนี้มีเพื่อนที่ปัจจุบันอยู่ที่อเมริกาแต่งค้างไว้ และพวกเขานำมาทำให้เสร็จ เป็นเพลงที่เขียนขึ้นเพื่อเพื่อนอีกคนที่ล่วงลับไป พอได้เห็นพวกเขาสาดใส่ท่วงทำนองในบทเพลงนี้ก็ยิ่งเข้าใจว่าเพลงและโชว์นี้สำคัญกับพวกเขาขนาดไหน กับอีกอย่างที่ทำเอาติ่งแตกในค่ำคืนนี้คือเพลงสุดท้าย เมโลดี้กีตาร์เยือกเย็นอันคุ้นเคยถูกบรรเลงขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน นั่นคือเพลง Comforting Sounds ของ Mew ที่จัดเป็นหนึ่งในเพลงร้าวรานที่สุดตลอดกาลของเรา รู้สึกฟินมาก ก็เรียกได้ว่าโชว์จาก Known/Unknown เป็นอะไรที่น่าติดตามต่อจริง แม้บางคนอาจจะคิดว่าพวกเขาเป็นพี่ใหญ่สุดในบรรดาวงที่ไม่คุ้นชื่อในงานนี้ แต่กับเรื่องดนตรีมันไม่จำกัดอายุคนเล่นคนฟังหรอกจริงไหม

แล้วก็ได้เวลาของวงต่อไป อัลเทอร์เนทิฟ ดรีมป๊อปรุ่นใหม่ที่ชื่อของพวกเขาเริ่มเลื่องชื่อลือกระฉ่อนขึ้นรายวันสำหรับ Death of Heather ที่เราเคยนำเสนอเรื่องราวใน EP ชุดแรกของพวกเขากันไปแล้ว นี่ก็จะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้รับชมการแสดงของพวกเขาแบบสด หลังจากได้ยินชื่อมาพักใหญ่ พวกเขาก้มหน้าก้มตาเล่นแบบไม่พูดไม่จา สาดใส่พลังอันล้นปรี่ผ่านกีตาร์เสียงแตกและดนตรีหนักหน่วงในเพลง Molly พร้อมกับจังหวะเร้า ของกลองที่ทำให้เราฮึกเหิมได้เกือบตลอดทั้งโชว์ แต่ในความเกรี้ยวกราดนั้นก็ยังมีความอ่อนหวานในเมโลดี้แฝงอยู่อย่างในเพลง Gracie รวมไปถึงพาร์ตหลัง ของโชว์ก็ไม่ได้เป็นสายพร่าหูแต่อย่างใด กลับลดลงมาเป็นความซอฟต์กับเพลงดรีมป๊อปที่พอให้โยกสบาย รวมถึงงานนี้พวกเขาได้หยิบเพลงที่ไม่ได้อยู่ใน EP มาเล่นให้ฟังกันเป็นที่แรก ต่อจากงานครั้งก่อนที่เขาไปเล่นมาด้วย ก่อนจะปิดท้ายด้วยเพลงซึ่งเราน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีนั่นคือ Drown ที่ดนตรีมีไดนามิกพุ่งพล่านแต่ไม่ได้กระแทกกระทั้น มีความน่ารักในตัว ถ้าพอจะให้เห็นภาพก็ประมาณส่วนผสมระหว่าง Desktop Error กับ DIIV หลังจากที่วงเล่นจบก็มีผู้ชมแสดงท่าทีอยากได้ซีดีของพวกเขามาไว้ในครอบครอง แต่น่าเสียดายว่าแผ่นที่พวกเขาพกมาด้วยขายหมดไปแล้วอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าใครยังสนใจก็สามารถทักไปที่ inbox fanpage ของวงได้อยู่นะ

Narwhal

ต่อด้วยวงที่สามของค่ำคืนนี้กับ Soft Pine วงใหม่แกะกล่องใสกิ๊กยังไม่เคยเล่นที่ไหน ถือว่าเป็น debut show กันเลย แต่ถ้าสังเกตดี เราจะพบว่าสองในสี่สมาชิกของวงคือ เอ๊กซ์ มือกีตาร์วง Game of Sounds และบูม มือกลองวง In This Peace พวกเขาขนเพลงน่ารัก ฟังสบายสไตล์ lo-fi, bedroom pop, slacker rock ซาวด์กีตาร์งุ้งงิ้ง แต่น่าสนใจด้วยเมโลดี้ของเพลงอันพิลึกพิลั่น เสียงเทปยืดย้วยยาน กล้าใช้ความผิดเพี้ยนของโน้ตที่ตามขนบไม่ควรจะอยู่ในท่อนนั้นของเพลงได้อย่างเป็นประโยชน์ หรือจังหวะขัด ของกลองก็ดีไซน์ออกมาได้เท่ ใครที่ชอบวงประมาณ Mac DeMarco, Ariel Pink, Mild High Club ก็น่าจะอินกับวงนี้ประมาณนึง โดยเพลงที่หยิบมาเล่นก็มีทั้งเพลงความหมายชวนง่วงเหงาหาวนอน ขี้เกียจตื่นอย่าง Morning, เผลอนอนต่อ แต่พอได้ฟังก็เป็นเพลงที่สนุกและโยกเพลินทีเดียว ตามด้วย My Sweet Egg เพลงที่แต่งให้กับสุนัขของเขาที่ชื่อไข่หวานฟังแล้วเหมือนเพลงประกอบการ์ตูนวินเทจแบบ ‘Peanuts’ ยังไงยังงั้น แล้วยังมีเพลงบรรเลงซินธ์/คีย์บอร์ดเนิบช้าชวนฝัน ในช่วงแนะนำสมาชิกก็มีการเล่นเพลงประกอบ ซึ่งตอนจบก็ทำซาวด์แบบเทปยืดโน้ตเพี้ยนอะไรแบบนั้น ลูกเล่นเยอะไปหมด แล้วยังมีคัฟเวอร์ Ariel Pink ในเพลง Put You Number In My Phone และ See You Again ของ Tyler, The Creator ที่ร้องกับ Kali Uchis ซึ่งเซอร์ไพรส์เรามาก กรี๊ดแตกไปเล้ยเมื่อน้องเมี่ยง มือเบส รับหน้าที่ร้องในพาร์ตผู้หญิง ด้วยลุคเงียบ ๆ ทำให้นึกไม่ถึงว่าเสียงน้องเพราะมาก โชว์ของวงนี้จัดว่าสนุกสนานทีเดียวเพราะมีเพื่อน มาตามเชียร์กันโขยงใหญ่ ด้วยความที่เป็นงานแรกของไวกิ้ง มือกีตาร์/คีย์บอร์ด ก็เลยถูกแซวและแกล้งเกือบทั้งโชว์ไปตามระเบียบ แล้วพวกเขาก็ปิดท้ายด้วยเพลงอบอุ่นหัวใจชื่อ Lido บอกเลยว่าวงนี้มาแน่ เพราะงานแรกก็เจอข้อผิดพลาดน้อยมากและเพลงก็ถือว่าคราฟต์มากสำหรับสายนี้ รีบ ปล่อย official กันได้แล้วนะ

เวลาประมาณเที่ยงคืน เห็นทีว่าจะต้องขยับแข้งขยับขาเพิ่มขึ้นแล้วในโชว์ของ Daniel Didyasarin หรือ แดเนียลจากวงบริตป๊อป อัลเทอร์เนทิฟร็อกมาแรงอย่าง Penny Time ที่ตอนนี้เขามีโปรเจกต์เดี่ยวของตัวเองออกกับค่าย Sanamluang Music ด้วย แต่จากเพลง คอยดู ที่เขาปล่อยมาเป็นซิงเกิ้ลเปิดตัว ทำให้เราจินตนาการไปก่อนแล้วว่าโชว์ของเขาจะต้องเป็นอะคูสติกป๊อปฟังสบายอย่างแน่นอน แต่พอเอาเข้าจริงแล้วเพลงของแดนกลับเป็นอัลเทอร์เนทิฟร็อกเท่ ดุดัน พลังพุ่งพล่านเกือบจะทั้งโชว์ แค่อินโทรเพลงแรกก็เดือดดาล เฉิดฉายรังสีของร็อกสตาร์ออกมาแบบฉุดไม่อยู่ ตามด้วยเพลงสโลวร็อกเท่ และอีกเพลงที่ให้กลิ่นอายอัลเทอร์เนทิฟจากยุค 90s แบบครบถ้วน นอกจากนี้ก็มีเพลงบรรเลงร็อกดาร์กหม่นหนักแน่น ก่อนที่จะเล่นเพลง คอยดู แบบ full band ซึ่งทำให้เราได้เห็นสีสันของเพลงนี้ในอีกแบบนึง ก็ดูน่าสนใจขึ้นทีเดียว และจบโชว์ด้วยเพลงที่คาดว่าน่าจะชื่อ Jam งานของ Penny Time ในอารมณ์เดือดดาลระคนรวดร้าว มาตรฐานของเขาคนนี้ยังแน่นอนอยู่เสมอในทุกโชว์จริง

ส่งท้ายกันที่วงที่เรารอคอย Beam Wong & Friends คือวงดนตรีที่เราได้ยินชื่อมานานมากและเคยฟังเพลงของพวกเขาบน Soundcloud แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ดูแบบสด  เลย และเวลานี้ก็มาถึง เราพบว่าสมาชิกของวงล้วนแต่เป็นบุคคลคุ้นหน้าในแวดวงภาพยนตร์อิสระทั้งสิ้น โดยเฉพาะถ้าใครติดตามวง Whal & Dolph ก็จะได้เห็นพวกเขาวนเวียนอยู่ในมิวสิกวิดิโออยู่บ่อย แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า บทเพลงที่พวกเขาบรรเลงนั้นขัดกับลุคตลกโปกฮาในวิดิโอเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง เพราะนี่คือ alternative, ambient, experimental rock ที่พลังพุ่งพล่านไม่แพ้หลาย วงก่อนหน้า เปิดโชว์มาด้วยการเปิด midi เสียงบรรยากาศอันหนักหน่วงลึกลับเริ่มสร้างอารมณ์หม่น ขึ้นในโชว์ ก่อนจะปล่อยเราเข้าสู่ห้วงแอมเบียน์เลื่อนลอยอีกครา พาเดินทางไปในห้วงอวกาศไกลโพ้น ตอนนี้เรารู้สึกว่าร่างกายไม่สามารถต้านทานแรงโน้มถ่วงกับความหนักอึ้งของอารมณ์เพลงทำให้ต้องจับจองที่นั่ง (เวลาตอนนั้นประมาณตีหนึ่งกว่า แล้ว รู้สึกอ่อนแอโต้รุ่งนาน ไม่ได้อีกต่อไป) แต่แล้วเมื่อแสงไฟสีเขียวซัดสาดขึ้นไปบนเวที พวกเขาก็สลับมาเล่นดนตรีการาจร็อกดิบ ประกอบซาวด์แอมเบียนต์ที่เกริ่นมาก่อนหน้าเสียอย่างนั้น เสียงนอยซ์อื้ออึงเริ่มปลุกกายละเอียดที่หลับใหลของเราให้ตื่นขึ้น กายหยาบจึงเริ่มมีพลังงานที่จะพยุงตัวเองไปยืนโยกง้อกแง้กหน้าเวที จนเมื่อเพลงถัดไปที่เป็นนอยซ์เดือดปุด เราก็แทบจะกระโดดไปกับเพลงนั้นในทันใด แล้วพวกเขาก็ผ่อนความดิบกร้านลงด้วยการเปิด midi เมามายทำให้เพลงมีความเป็น hypnagogic pop ไปพักใหญ่ ส่งเข้าเพลงดรีมป๊อปที่เมโลดี้กีตาร์สุดเมาขับกล่อมให้เราตกอยู่ในภวังค์ แล้วจึงสลับกลับไปที่ dark ambient สั่นประสาท และจบด้วยเพลงสุดท้ายที่จังหวะกลองเร่งเร้าดุดัน Beam Wong เต้นออกท่าทางรุนแรงกว่าดนตรีที่เล่นออกมา แต่เมื่อเพลงถูกเล่าจนถึงช่วงกลางและช่วงท้ายเราก็พบว่าสิ่งที่เขาแสดงออกมาแรง นั้นไม่ได้เกินพอดี และต้องมีอินโทรกันคนดูเหวอเพราะเพลงนี้มันหนักมาก ต่างหาก พลังทั้งหมดของเขาถูกปลดปล่อยผ่านการว้ากอย่างบ้าคลั่งแบบที่เราไม่คาดคิดและเครื่องดนตรีทั้งหมดสอดประสานอย่างว้าวุ่นทว่าทรงพลัง ทำให้ Beam Wong & Friends เป็นอีกโชว์ที่น่าจดจำที่สุดในค่ำคืนนี้

แม้จะถูกสูบพลังไปจนหมดจากการที่ทุกวงจัดหนักจัดเต็ม และดึงเวลายาวนานจนเกือบตีหนึ่งครึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าก็ยังมีผู้ชมอยู่ยงคงกระพันดูกันจนจบไปพร้อม กับเราแต่ก็ไม่น่าเกินสิบห้าชีวิต ซึ่งก็ถือเป็นโอกาสดีนะเพราะที่สุดแล้วก็ได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของชื่ออีเวนต์ที่ว่า Maybe This’s Why I Never Return Your Call เพราะโชว์ของทุกวงมันน่าตื่นตาตื่นใจจนเวลามีคนโทรมาแล้วเราไม่ได้รับสาย ก็แทบไม่อยากจะโทรกลับหากต้องละสายตาและสมาธิจากทุกวงในค่ำคืนนี้ และขอให้มั่นใจได้เลยว่าหากพวกเขามีผลงานออกสู่สาธารณชนมากขึ้น วงการดนตรีจะได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของวงเล็ก  น้องใหม่ที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพอย่างแน่นอน

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้