No Rice No Life Tour : Bangkok กับคอนเซปต์น่ารัก ๆ ว่า เรามันคนเอเชีย มีข้าวเป็นอาหารจานหลัก ถ้าขาดข้าวไปมื้อนึงมันก็คงจะยังไง ๆ อยู่

Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

No Rice No Life Tour งานที่ทำให้รู้ว่าดนตรีอิเล็กทรอนิกก็เหมือนข้าวที่เราขาดไม่ได้

  • Writer: Montipa Virojpan

15 กันยายน 2560

เพิ่งจะปีนี้แหละมั้งที่เราเขยิบการไปคอนเสิร์ต/งานดนตรีของตัวเองมาทางอิเล็กทรอนิกมากขึ้น ด้วยการที่ไอ้เราก็เริ่มมีเพื่อนผันตัวมาทำเพลงสายนี้หรือเป็นดีเจกันเยอะ ก็ต้องมีการตามมาสนับสนุนเป็นธรรมดา

สำหรับเมื่อคืน ก็อย่างที่หลาย ๆ คนบ่นกันเรื่องคอนเสิร์ตของศิลปินต่างประเทศท่านหนึ่ง ที่แม้การมาเล่นรอบแรกในปีที่แล้วของเขาจะทำเอาแฟน ๆ ฟินขนาดไหนก็ตาม แต่รอบสองนี้ก็ไม่วายมาล่มที่การจัดการสถานที่ เครื่องเสียง หรือที่หนักสุด ๆ เห็นจะเป็นคนดูมารยาททรามที่ทำเอาเสียบรรยากาศมาก ๆ (ต้องให้เปิดประเด็นนี้อีกกี่หน?) คือนอกจากจะคุยกันเสียงดังราวกับมาผับทองหล่อแล้ว ยังเอามือถือขึ้นมาถ่ายรูปถ่ายคลิปแบบแช่นานจนบังคนอื่นเขาหมด (ขอโทษค่ะที่เตี้ย/ แล้วสำหรับคนที่บอกว่าถ้าคุยดังก็ย้ายที่หนีสิ นี่ก็ย้ายมาหลายจุดแล้ว คุยแม่งทุกจุด) ไม่เมื่อยจั๊กกันบ้างหรอ หนักกว่านั้นคือสูบบุหรี่หรือดูดกัญชากันในฮอลกันเลยทีเดียว ถามว่าถ้าบ่นขนาดนี้จะมาดูทำไม เปิดเพลงฟังอยู่บ้านไม่ดีกว่าหรอ นั่นน่ะสิคะ ดิฉันจึงเลือกเดินออกตั้งแต่ครึ่งโชว์แบบหัวร้อนแล้วหาที่ลงใหม่ทันที

ระหว่างที่ลงลิฟต์มาก็นึกขึ้นได้ว่าดีเจชื่อดังท่านหนึ่งเชิญชวนให้ไปงานที่น่าสนใจจาก More Rice ค่ายเพลงอิเล็กทรอนิกน้องใหม่ที่สนับสนุนศิลปินท้องถิ่นและประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง (เดี๋ยวเราจะเอาเรื่องราวของพวกเขามาเล่าเร็ว ๆ นี้) โดยมีศิลปินและดีเจตัวโหด ทั้ง Tarsius จากฟิลิปปินส์ มาโชว์ไลฟ์กลองสดตีควบคู่ไปกับเพลงมินิมอลเทคโน หรือ Manuel Fischer ที่เคยเล่นใน Boiler Room มาแล้ว ยังมีเจ้าบ้านทั้ง Sarayu, DOTT, และ Mikail มารวมตัวในงานฉลอง first release No Rice No Life Tour : Bangkok กับคอนเซปต์น่ารัก ๆ ว่า เรามันคนเอเชีย มีข้าวเป็นอาหารจานหลัก ถ้าขาดข้าวไปมื้อนึงมันก็คงจะยังไง ๆ อยู่ เหมือนกับเพลงอิเล็กทรอนิกของพวกเขาแหละที่คนเหล่านี้ก็ขาดไม่ได้ แถมยังอร่อยจนต้องบอกว่า ‘ขอเพิ่มข้าวอีก’ อะ ไหน ๆ ก็เป็นค่ายเอเชียนธีมชัดขนาดนี้แล้ว ก็มาจัดปาร์ตี้ที่ Studio Lam ให้สุดทางไปเลย

No Rice No Life Tour : Bangkok

เรามาถึงที่งานตอนห้าทุ่มครึ่ง ก็พลาดดีเจ Mikail ไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาที่ Tarsius กำลังหวดกลองอย่างเมามันพอดี เราเบียดฝูงชนคนเนืองแน่นทั้งด้านนอกและข้างในร้านไปหาจุดเหมาะ ๆ เต้นไปกับเพลงของเขา คือการมาดูงานนี้ไม่ได้พกความคาดหวังใด ๆ มา ก็เซอร์ไพรส์มากที่เห็นว่าเขาเล่นกลองชุดจริง ๆ พร้อมกับเปิดเพลงไปด้วย แล้วบีทมันเร้ามาก ทุกคนเต้นกันแบบไม่คีปคูล ไม่กั๊กท่า แทบจะงัดสเต็ปมาประชันกันด้วยซ้ำ คนที่จะโซเชียลกันก็ไม่มายืนเกะกะฟลอร์ เสียงโห่ร้องดังเป็นระยะ ๆ เมื่อเขามีลูกส่งเท่ ๆ เข้าสู่ห้องต่อไปของเพลง ไดนามิกเปลี่ยนแปลงและมีอะไรที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นบ่อยมาก เป็นโชว์ที่เท่และสนุกมากจนไม่คิดจะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายเลยแม้ว่า vibes มันจะดีจนน่าบันทึกไว้ขนาดไหน นี่สิ Die with a Smile ที่แท้จริง

เรามีโอกาสได้ดูเขาถึงแค่เที่ยงคืน ก็ได้เวลาส่งไม้ต่อให้กับ Manuel Fischer ดีเจจากซูริค สวิตเซอแลนด์ ที่จะเปิดเพลงต่อเนื่องยาวนานสองชั่วโมงจนจบงาน เพลงที่เขาเลือกมาเป็นเทคโนเต้นกันหนึบ ๆ มีมิกซ์เพลงคุ้นหูเข้ากับจังหวะแปลก ๆ มาให้เหวอบ้าง แล้วช่วงหลัง ๆ ก็ปรับมาเป็นอิเล็กทรอนิกผสมพวกฟังก์ นูดิสโก้ สนุกมากจนลืมเวลา ตอนนี้คนที่เต้นอยู่ front row จากโชว์ก่อนก็เปลี่ยนไปเป็นอีกกลุ่มนึงทันที เหมือนจะเป็นขาแดนซ์ที่ทุกคนรู้จักกันอยู่แล้ว แล้วก็มีชาวต่างชาติสองคนที่สเต็ปแดนซ์นี่เหมือนกำลัง battle กันอยู่ ประทับใจท่าเต้นเขามากเพราะใช้ทุกส่วนของร่างกาย ขึ้นสุดลงสุด เต้นแบบครึ่งจังหวะไม่ได้โยกตามบีท เก่งมาก ทำได้ไง

ปุบปับก็เป็นเวลาตีสอง มานูเอลเฟดเพลงของตัวเองลงแล้วหยิบแผ่นของ The Paradise Bangkok Molam International Band มาเปิดราวกับให้เกียรติสถานที่ ไฟในร้านสว่างขึ้นเป็นสัญญาณที่ทุกคนรู้ดีว่างานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา เสียงปรบมือโห่ร้องชอบใจของคนดูยังกึกก้องพักนึงก่อนที่ต่างคนจะแยกย้าย เราเดินออกจากงานมาพร้อมเม็ดเหงื่อแห่งความสุขที่ได้เผาผลาญแคลอรี่จากเบียร์ลาวขวดเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น

BEAMFEST 2017 | BANGKOK CITY MUSIC FESTIVAL

ยังไม่สาย! มารู้จัก 8 วงไทยคุณภาพที่มา Bangkok Music City แต่คุณอาจไม่ได้ไปดู

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้