Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

พิสูจน์วงดนตรีและดีเจที่เหนือการคาดเดาตลอด 4 วันเต็มที่ Wonderfruit 2018

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Chavit Mayot

ทีมงาน Fungjaizine เดินทางถึงกรุงเทพ แล้ว หลังจากไปใช้ชีวิตเกือบ 4 วันเต็มใน lifestyle festival ที่รอคอยให้เวียนกลับมาทุกปีอย่าง Wonderfruit ซึ่งในปีนี้ได้ย้ายโซนจัดงานไปไว้อีกจุดนึง ทำให้เราได้ซึมซับบรรยากาศของเวทีโปรดหลาย เวทีที่กลับมาในรูปโฉมใหม่ รวมถึงเวทีและกิจกรรมใหม่ ที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนหน้าอีกหลายเท่าตัว

ขออนุญาตเล่าเท้าความก่อนสำหรับคนที่อาจจะยังไม่รู้ว่า Wonderfruit คืออะไร นี่คือ festival แรกในไทยที่ประกาศตัวว่าเป็น lifestyle festival ซึ่งจัดขึ้นมาแล้วทั้งหมด 5 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนธันวาคมปี 2014 เหตุผลที่งานนี้ไม่ถูกเรียกว่าเป็น music festival เพราะภายในงานทุกคนจะได้พบกับกิจกรรมที่มีมากกว่าดนตรี นั่นคือศิลปะ การแสดง งานประดิษฐ์ของทำมือ แฟชัน อาหาร และสุขภาพ เรียกว่าได้ใช้ชีวิตครบทุกด้านเป็นระยะเวลา 4 วัน แบบไม่ไม่ต้องออกไปไหน แถมยังได้เปิดประสบการณ์กับหลายวงดนตรีที่ไม่เคยรู้จัก หลายกิจกรรมที่ไม่เคยทำ หรือพบผู้คนที่หลากหลายแบบเกินความคาดหมาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในงานสามารถเติมไฟของเราได้มากโขเลยแหละ

อ่านบรรยากาศครั้งที่ 2-4 ได้ ที่นี่ ว้า เสียใจ ไม่ได้ไปครั้งแรก 2015 / 2016 / 2017

*เตือนก่อนว่า ระเห็ดอันนี้ไม่ได้มีแต่ดนตรีนะ เพราะนี่ไปทำกิจกรรมตั่งต่างในงานด้วย ใครไม่อินส่วนไหนก็ skip ไปได้ หรือถ้าสนใจด้านอื่น อยากรู้ว่าที่นี่เขามีอะไรให้ทำบ้างก็จะเล่าให้อ่านโดยละเอียดเลย*

13 ธันวาคม 2561

เราออกเดินทางจากกรุงเทพ ไปเก็บของในที่พักเรียบร้อย และขับรถมาถึง The Field ประมาณห้าโมงครึ่ง เพราะกิจกรรมแรกมีให้ทำตอน 4 โมงเย็น สถานที่จัดในปีนี้ถูกย้ายมาอยู่อีกมุมหนึ่งของ Siam Country Club ทำให้จากเดิมที่รู้ว่าเวทีไหนอยู่ทิศใดก็ต้องรีเซ็ตกันใหม่ แล้วก็แอบยากหน่อยเพราะแอพลิเคชันที่ใช้ดูตารางกิจกรรม ไลน์อัพ และแผนที่ ยังมีปัญหาแครชบ่อย อยู่ เลยต้องอาศัยการดูแผนที่ที่เขาแจกหน้างานแบบแมนนวลกันไป

พอเดินผ่านจุดตรวจกระเป๋าเข้ามาก็จะพบกับ main entrance ที่เป็นผ้าหลากสีขนาดใหญ่เรียงรายพร้อมป้ายโลโก้งานให้ทุกคนได้มาถ่ายรูปแลนด์มาร์กประกาศตนว่า พรี่มาเหยียบงานนี้แร้วววว และพอเดินผ่านเข้าซุ้มมาเราจะเจอ Thai Pavilion หรือบูธของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอยู่ทางซ้ายมือพอดี สิ่งที่น่ารักคือเขาเอาไอคอนคนสำคัญของโลกมาใส่ชุดไทย ทั้ง Frida Kahlo ยืนขายผลไม้รถเข็น Amy Winehouse กับ Freddie Mercury เซิ้งกันอย่างออกรส ข้างล่างมีเป็นเวิร์กช็อปผ้าบาติกด้วย แล้วความพีคคือ มียาดองม้ากระทืบโรงกับกำลังเสือโคร่งให้บริการถึงสี่ทุ่มแบบฟรี ก็จัดกันไปคนละขันจิ๋วเป็น starter ค่ะ

พอเดินตรงไป top up เงินเข้า RFID หรือชิปที่ติดมากับ wristband สำหรับใช้จ่ายอาหาร สินค้า และค่าเวิร์กช็อปภายในงานเรียบร้อยก็พร้อมลุยงานแล้วค่ะ เดินต่อไปอีกนิดด้านขวาจะมีเป็นพื้นยกสูงเป็นบันไดขั้น เหมือนไร่เลื่อนลอย แล้วมีร่มดอกเห็ดสีชมพูตั้งเรียงราย เป็นลานกิจกรรมชื่อ Eco Pavilion เดินต่อไปอีกนิดนึงเราจะเจอกับ Wonder Garden หรือโซน health and wellness ที่จะมีกิจกรรมโยคะ นั่งสมาธิ ออกกำลังอะไรต่าง ให้ทำตลอดทั้งวัน รวมถึงร้านอาหารสุขภาพน่าโดนทุกร้าน เรากด kombucha หรือชาหมัก มีหลายรสเลยโดนไปสองแก้ว ราคาแรงอยู่แต่อร่อย พี่ยอมจ้ะ ยิ่งกินก่อน/หลังออกกำลังนี่สดชื่นมาก

และกิจกรรมแรกที่เราเลือกมาทำคือ Shadowboxing by Tribe ที่ Yoga Barn อันนี้ขอเล่าว่าเป็นโปรแกรมที่ทาง Wonderfruit ร่วมกับ Class Pass หรือแอพลิเคชันล่าสุดที่เราจะซื้อเครดิตมาได้จำนวนนึง แล้วสามารถเลือกเล่นสตูดิโอ/ฟิตเนสไหนในกรุงเทพ ก็ได้ โดยแต่ละคลาสก็จะคิดเครดิตไม่เท่ากัน แต่กับคลาสที่ Wonderfruit นี่ฟรีจ้า เราที่เป็นเมมเบอร์อยู่แล้วก็ไม่อยากเสียโอกาส ก็ลองมาเล่นดู ปกติ Tribe จะเป็นสตูดิโอปั่นจักรยาน โยคะ พิลาทิส แต่คราวนี้เขาสอน shadowboxing หรือการออกกำลังแบบ bodyweight ผสมท่าทางการชกมวยนั่นเอง พอเล่นเสร็จนี่รู้เลยนะคะ เหงื่อท่วม แต่แข็งแรงแน่นอน จบกิจกรรมเขามีให้กิฟต์เซ็ตเป็นกระเป๋าคาด ผ้าเช็ดหน้า แล้วก็กระติกน้ำด้วย

จบจากออกกำลังแล้วก็วิ่งหาที่อาบน้ำค่ะ ลืมคิดไปว่ามันมีที่อาบน้ำแค่ใน campsite ซึ่งปีนี้คนจะกางเต๊นท์มันไม่ฟรีแล้วอะ ต้องเสียเงินสำหรับที่กางด้วย เราเลยเดินตัวเน่ากลับรถ ใช้ทิชชู่เปียกเช็ด กับเปลี่ยนชุดเอา จะให้ขับรถกลับไปที่พักเพื่ออาบน้ำก็กลัวที่จอดรถดี ที่จอดอยู่ใกล้ทางเข้าจะโดนซิวไป (อ่านถึงตรงนี้คงคิดว่าอีนี่ซกมกมาก แต่ประสบการณ์เฟสติวัลที่ผ่าน มาก็ไม่ค่อยสะอาดสดชื่นเท่าไหร่ค่ะ ต้องลุยพอสมควร และการมีทิชชู่เปียกติดตัวไว้คือช่วยชีวิตมาก ) ดังนั้นขอแนะนำว่าถ้าใครอยากได้ full experience ของ Wonderfruit (ออกกำลัง ว่ายน้ำ หรืออะไรที่มันจะมีเหงื่อหรือต้องอาบน้ำ) ควรนอน campsite ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย มันไม่ลำบากขนาดนั้นด้วยจากที่เคยนอนในปีแรกที่มา แถมปีนี้โซนกางเต๊นท์เขาร่มรื่น มีต้นไม้ นี่เดินผ่านยังอยากเข้าไปนอนเองเลย แง่

พอเดินกลับเข้ามาเราก็เดินผ่านตรงที่เขาทำ Gong Bath กัน คือมันจะมีฆ้องใหญ่ ให้ตีแล้วมีคนนอนฟังเสียงอยู่รอบ บริเวณนั้น ได้ยินเสียงกังวาน แล้วรู้สึกสงบจริง นะ แล้วเราก็เดินข้ามฟากไปยังอีกโซนหนึ่งซึ่งเป็นบริเวณที่เวทีดนตรีสดกับดีเจตั้งอยู่ อย่างที่บอกว่านี่เป็นเฟสติวัลที่เราแทบจะไม่รู้จักศิลปินต่างประเทศเลย ก็เหมาะมากถ้าจะมาเปิดโลกการฟังที่นี่ แต่ขณะเดียวกันก็น่ายินดีที่รู้สึกว่าปีนี้มีศิลปินไทยมาแสดงเยอะมาก ส่วนศิลปินรายแรกที่เราได้ดูคือ Tristan Kino ดีเจชาวฝรั่งเศสที่เปิดเพลงประมาณ tech house ซึ่งเคยจัดอีเวนต์ดีเจในกรุงเทพ มาพักใหญ่ ตอนนี้ได้ย้ายไปอยู่ออสเตรเลียแล้วก็กลับมาสร้างความสนุกให้เวที Neramit ซึ่งเป็นโซนที่อยู่ใกล้ บูธของร้าน Tep Bar คอนเซ็ปต์บาร์ไทยเดิมที่มีทั้งวงดนตรีไทยเล่นสดและค็อกเทลส่วนผสมไทย มาให้เราลองในงานนี้ จบจากเขาแล้วเราก็ได้ดู small&TALL กันต่อ ตอนนี้คนเริ่มมาเยอะขึ้นแล้ว (ฟ้าเริ่มมืด) พวกเขาก็จัดเพลง deep house, tech house, เฮาส์กรูฟ ให้เต้นกัน

แต่เต้นไปพักนึงก็คอแห้งใช่มะ เราเลยออกมาหาอะไรดื่มสักนิด ก็ไปเจอว่ามีบาร์ Tropic City มาด้วย! เรารักร้านนี้มาก เขามีเมนูตัวนึงที่ชื่อ Tropico Pop ที่เป็น clarified milk punch หรือการเอาน้ำผลไม้ กับนม ไปทำให้มันใส แต่ยังได้รสชาติของส่วนผสมครบถ้วน ในงานนี้เขาก็เปลี่ยนช่ือให้เข้ากับงานเป็น Wonder Pop แต่ยังอร่อยเหมือนเดิม อ้อ สำหรับใครที่ใช้แก้ว refill ของ Wonderfruit ก็จะได้ส่วนลดเครื่องดื่ม 50 บาทด้วย เป็นรางวัลของคนลดขยะกันไปจ้า พอหายคอแห้งแล้วเราก็ไปเต้นกันต่อที่ Mercedes me @SOT หรือ Staright Outta Thonglor ที่เขาขนร้านดังย่านทองหล่อมาทั้ง La Monita, Peppina, Soulfood มหานคร พร้อมกับบรรยากาศอันคุ้นเคยกับการเปิดเพลงฮิปฮอปนั่นเอง แต่แล้วประมาณสามทุ่มเราก็แวบไปที่เวทีใหม่ที่ชื่อ Polygon เป็นเวทีรูปหลายเหลี่ยมที่ติดลำโพงแบบรอบทิศ ย่านเบสนี่ชัดแจ้งทุกประสาทสัมผัสเหมือนเราโดนเพลงอุ้มอยู่เลยแหละ ชอบมาก ส่วนใหญ่ดีเจที่มาเปิดที่นี่ก็เน้นบีตหนืด หนัก กันด้วย แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราเลยไปกดหมูปิ้งมาหนึ่งไม้กับน้ำผลไม้กินก่อนไปดู small&TALL ต่อที่ Neramit อีกรอบ แล้วตอนนั้นก็มีกลุ่มบีบอยมาเต้นไปกับเพลงเทคเฮาส์ ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ไม่ชินสำหรับเราเหมือนกัน ใครจะไปคิดว่าบีบอยต้องเต้นกับแค่เพลงฮิปฮอปจริงไหม

ประมาณสี่ทุ่ม ก็ได้เวลาของ Victor b2b Greg (La Mamie’s) ที่เวที Forbidden Fruit เราได้ยินจากทีมผู้จัดว่า La Mamie’s ใช้ได้เลย ก็ไปลองซะหน่อย พอไปลองจริง มันเฟร้นช์เฟรนช์ ดิสโก้สวย กันไป ก็เลยเต้นอยู่แหมบ ออกไปกดค็อกเทลที่ Tropic City อีกรอบ (รู้เลยนะคะว่างานนี้เงินหมดไปกับอะไร) โดนเจ้าตัว Big Red มา นางเป็นจิน Hendrik’s เบสเป็นน้ำแตงโม สดชื่นดี แล้วก็เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย กลับเข้ามา SOT อีกรอบ เห็นว่าตอนนี้คือดีเจชื่อ Nanziee เป็นดีเจที่เปิดเพลงจากไวนิล รวมสารพัน urban music ทั้งฟังก์ โซล r&b ดิสโก้ เห็นว่าเขาสะสมแผ่นมาตั้งแต่ปี 2006 แล้วคือลิสต์เพลงดีมาก ๆๆๆๆๆ เปิดเพลิน ยาวไปเลย จนเราดูเขาจบก็มี Deejay B ขึ้นมาต่อ โห อันนี้ก็ไม่ธรรมดา ฮิปฮอป old school ตรงสายนี่รัว แบบพวกที่เอาแทร็คโซล r&b กรูฟ มาเป็นแบ็กกราวด์แล้วแร็ปทับ ใส่บีตไรงี้ เปิดไปสักพักก็เริ่มเปลี่ยนเป็นแดนซ์ฮอลละ เอ้า เต้นกันจนปวดเอวไปอีกพัก อยู่ดี ก็ทองหล่อไวบ์ขึ้นมาทันที จัดไปแม่บีสองเพลง Crazy in Love ต่อด้วย Single Lady แล้วก็มี Yeah! ของ Usher, Daft PunkHarder, Better, Faster, Stronger แล้วก็ Michael Jackson กับ Cyndi LauperGirls Just Want To Have Fun เฉยเลย Montell JordanThis Is How We Do It ก็มาโอ้ย ดักแก่ ๆๆๆๆ แง หนุกมาก คือเต้นจนปวดเท้าอีกชั่วโมงเต็ม (โปรดอัพเลเวลความหยาบคายอีกสต๊อป คือพูดออกปากกับเพื่อนด้วยคำนั้น) ก่อนจะเดินไปเช็กที่ Polygon ก็เจอของโหดเข้าไป Martha Van Straaten คือมาทั้งแบบเทคโน เบสหนัก ทรอปิคัลแดนซ์ฮอล ที่สลับกับเพลงเน้นเบสแต่เมโลดี้เป็นเวิร์ลมิวสิก คือเวิร์ลจริง เต้นกันหนืด หน่วง ไปเลยสำหรับคืนนี้ ขอลากันไปที่เวลาประมาณตีหนึ่งเพราะวันรุ่งขึ้นตั้งใจว่าจะมาออกกำลังคลาสที่จองไว้กับ Class Pass ตอนสิบโมงเช้า จะตื่นไหวหรือเปล่า มาดูกัน

14 ธันวาคม 2561

น้องตื่นแล้วค่า! เราเชื่อว่าโลกนี้มักจะให้รางวัลกับคนที่ตื่นเช้าเสมอ /ไม่ใช่อะไร เวลากินเหล้าเยอะ หรือออกกำลังกายประจำ ร่างกายมันจะบังคับให้ตื่นเองอัตโนมัติ ซึ่งวันนี้กดไป 7.30 ค่า นอนต่อไม่ได้แล้ว ไม่รู้จะทำอะไรเลยรีบลุกไปเปลี่ยนชุด ขับรถออกไปถึง The Field ประมาณ 8.30 ก็มาอยู่ที่ซุ้ม Wonder Garden ได้เล่นคลาสโยคะ Wonder Flow for the Curious Explorer โดยครู Rosemary ที่มาจากฮ่องกง จริง มันก็คือคลาสวินยาสะ (vinyasa yoga) ที่จะให้ฝึกควบคุมลมหายใจไปพร้อมกับเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ยิ่งเป็น flow ก็คือจะยิ่งไปไว แล้วนี่เป็นการเข้าคลาสโยคะที่ Wonderfruit ครั้งแรกของเรา ตอนไปถึงก็เจอเหล่าโยคี ฮิปปี้มาจับจองพื้นที่ บางคนเอาเสื่อโยคะมาเอง อันที่จริงก็เริ่มไปได้พักนึงแล้วที่ที่เป็นพื้นเรียบก็โดนสอยไปแล้ว เราได้ที่ค่อนข้างออกแดดกับพื้นไม่เสมอเลยทำได้ไม่ครบทั้ง session แดดเก้าโมงครึ่งแยงตา/เผาหน้า มะหวาย

พอใกล้ เลยชิ่งออกก่อนแล้วไปหาข้าวเช้ากินที่ Makai Acai ที่ปกติเป็นร้านขาย acai bowl อยู่แถวออฟฟิศฟังใจเนี่ยแหละ เขามาเปิดที่นี่ด้วยก็กรี๊ดมาก กินเสร็จก็พุ่งไปเตรียมตัวที่ Yoga Barn เล่นคลาส WonderBurn by BASE กันต่อ

ปกติเราเล่นคลาสที่ BASE อยู่แล้ว พอมีฟรีคลาสของ Class Pass ที่นี่ก็เลยมาลุย ความตลกคือเทรนเนอร์จำนี่ได้ แต่ไม่ได้สอนโหด สอนหนักแบบคลาส Burn ที่สตู ที่เป็น HIIT (high intensity interval training) เป็นการออกกำลังกายหนักสลับเบา โหดกว่าคาร์ดิโอ หรือการออกกำลังแบบเน้นการเผาผลาญ สร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรง มันก็จะเหนื่อยมาก แต่อันนี้ไม่เหนื่อยแฮ่กเพราะเขาผสมกับ weight training เล่นส่วนลำตัวเพิ่มกล้ามท้องกับสวอทเยอะ กระชับสะโพก คือเหมือนคลาสนี้ออกแบบมาให้ใส่บิกินีเดินร่อนในงานได้แบบสวยมั่นใจอะค่ะ พอออกกำลังกายเสร็จก็ขับรถกลับบ้านไปอาบน้ำแล้วนอนต่อ รอเข้างานอีกทีตอนเย็น เลย

ประมาณสี่โมง เรากลับเข้างานมาพร้อมกับทีมงาน Fungjaizine ที่ตามมาสมทบในวันที่สอง วันนี้จะเริ่มมีวงดนตรีสดเยอะขึ้นแล้ว พอมาถึงทุกคนมุ่งหน้าไปยัง Thai Pavilion กดยาดองคนละขันอุ่นเครื่องตามสูตร แล้วพุ่งไป foodtruck ของ 25 Degrees ร้านเบอร์เกอร์ 24 ชั่วโมงใต้โรงแรม Pullman G สีลม คือสมัยเรียนไปบ่อย ตอนบอลโลกก็ใช้เป็นที่ดูประจำ จนสต๊าฟที่งานเขาก็ทักว่าใช่คนที่ชอบสั่งคราฟต์เบียร์ใช่ไหม ใช่จ้ะ เบอร์เกอร์ที่นี่เขาอร่อยจริง ในงานขาย 250 ชิ้นเล็กลงแต่แถม curly fries จัดว่าคุ้ม อิ่มแน่น

สั่งเสร็จเขาบอกว่าถ้าถ่ายรูปคู่กับทรัคจะได้มิลก์เช้กที่ร้านฟรี แต่ต้องกลับมาสั่งที่กรุงเทพ นะเพราะที่งานไม่มี ไอ้นี่เห็นของฟรีไม่ได้ ก็จัดไปค่ะ มี ginger beer ให้กินด้วย อร่อยมาก พอท้องอิ่มแล้วก็ไปดู DeLorean ที่ SOT เขาคือผู้ร่วมก่อตั้งปาร์ตี้ drum and bass ชื่อ Phatfunk แล้วก็เป็น music curator ที่โรงแรม W Bangkok เพลงที่เขาเปิดตอนที่เราไปถึงก็เป็นเร็กเก้ชิล หลายเพลง เช่น Marcia AitkenI’m Still In Love With You Boy ซึ่งค่อนข้างเซอร์ไพรส์เพราะเราคิดว่าเขาจะเปิดแต่ dnb ต่อด้วย OutkastPrototype และ Childish GambinoRedbone ก็มีความเพลิน กันช่วงบ่าย

ต่อจากนั้นห้าโมงเราก็เดินไปที่ Solar Stage เวทีที่มักจะมีดีเจเปิดกันตั้งแต่มืดยันสว่าง แล้วโมเมนต์ที่หลายคนหลงรักเวทีนี้คือตอนพระอาทิตย์ค่อย ขึ้นนั่นแหละ แต่ตอนนี้ NJWA (อ่านว่า นาจวา) กำลังแสดงอยู่ เธอเป็นนักร้องโซล r&b จากมาเลเซีย ซึ่งน้ำเสียงของเธอมีความ soulful มาก คืออ่อนโยน ไพเราะงดงาม แต่ความที่เราไม่ได้อินกับเพลงของเธอมากก็เลยไปดู Southern Boys ที่ Theatre Stage เราได้ยินชื่อของวง rockabilly วงนี้มาพักใหญ่ แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ดูพวกเขาสด ต้องบอกว่าเล่นถึง เล่นแน่นมาก ทั้งเพลงบลูส์ ร็อกแอนด์โรล ทั้งเพลงออริจินัล เพลงคลาสสิก ของไทยแบบ ร็อกเริงใจ ก็ได้ฟังในโชว์นี้ มีเพลงนึงเขาใช้เทคนิคลูกคอแบบ เอ้อ เก่งจริง มีฝรั่งคนนึงสเต็ปถูกต้องมาก ไปเต้นโซโล่อยู่หน้าเวที น่ารักกกก อยากเต้นบลูส์เป็นเลย

ตอนหกโมงเราก็เดินกลับไปที่ SOT เพื่อดู Perfectly Casual จาก Comet Records คือเราติดใจตั้งแต่เขาส่งเพลงมาอยู่บนสตรีมมิงฟังใจแล้ว เป็นโอกาสดีที่จะได้ดูสด ซึ่งโชว์ของเขาก็น่าสนใจมาก เป็น multi-instrumentalist อิเล็กทรอนิก ใช้กีตาร์ ใส่บีตลูป ซินธ์ บรรเลงเพลงดรีมป๊อปกรุ๊งกริ๊ง เมโลดี้สนุก กรูฟ สองเพลงแรกเราไม่แน่ใจว่าชื่ออะไร แต่เพลงที่สามคือ Falling You งานแรกที่ทำให้เราได้รู้จักกับเขา มันเพลินมาก กับอีกเพลงที่เพิ่งปล่อยไปคือ Daydreamer ดีมาก ๆๆๆๆ จากนั้นเขาก็ได้ Parim มาร่วมแจมในเพลง Secret ซึ่งก็เป็นอิเล็กโทรป๊อปจังหวะกลาง ที่เราชอบมากอีกเหมือนกัน น่าเสียดายที่เวลาของพวกเขาทับซ้อนกับอีกวงที่อยากดูอย่าง Abandoned House พอดี (ไว้รออ่านรีวิววงไทยใน Wonderfruit ฉบับละเอียดได้ที่อีกบทความนึงนะ)

ตารางตอนนี้มีความวายป่วงมากจริง มีอีกสองสามวงที่เราอยากดูในเวลาเดียวกัน ทำให้เราวิ่งจากเวทีนั้นไปกดเหล้าที่ Tropic City รอบนี้ลองเมนูที่ชื่อ Purple Tuesday เป็นจิน ใส่แตงกวากับน้ำเชื่อมคอร์เดียล สดชื่นเจง แล้วพุ่งไปต่อที่ Theatre Stage ตอนประมาณหกโมงครึ่ง ตอนนั้น Two Pills After Meal กำลังแสดงอยู่พอดีในเพลง เสียงรบกวน ให้เราได้ร้องท่อน ‘อ๊าอะ อ๊าอะ’ ไปพร้อม กับพวกเขา ต่อด้วย รฟท ซิงเกิ้ลแรก ที่ทำให้วงนี้เป็นที่รู้จัก ตามด้วย ดาวอังคาร สามเพลงนี้ก็ยังทำเราโยกไม่หยุดเลย

แต่อยู่ได้ไม่นานก็ต้องรีบวิ่งไปอีกฟากหนึ่งกับเวที Living Stage ที่ Mole the Explosion กำลังจะขึ้น ทีแรกนึกว่าอยู่ไกลมาก แบบเดินข้ามโลก แต่อันที่จริงแล้วมันมีทางที่ใกล้กันอยู่ กว่าจะรู้ก็ปาเข้าไปวันที่สี่ เรียกว่าเดินขาลาก แล้วพอถึงก็พบว่าตารางเลตไปประมาณ 15 นาที สมาชิกวงปรากฏตัวบนเวทีพักหนึ่ง ออฟ ฟรอนต์แมนก็เดินขึ้นมาพร้อมกับเพลง ชายคนแรกผู้มอบดอกไม้ให้เธอ สังเกตเห็นว่าคอรัสข้าง กันไม่ใช่ใครแต่คือ ญาณิน ที่มาร่วมร้องในเพลง จันทราในแอ่งน้ำ แต่เพลงต่อไปที่เล่นคือ เธอฝันฉันตื่น และอีกเพลงใหม่ยังไม่ได้ปล่อย แต่ก็ดีมาก รอติดตามเลย แล้วเราก็อยู่ดูได้แปปเดียว รีบวิ่งไปต่อที่ SOT เพราะ ภูมิ วิภูริศ กำลังเล่นอยู่

ตอนนี้เป็นเพลงช้า อย่าง Sweet Hurricane จากนั้นเขาก็แนะนำสมาชิกวง เป็นครั้งแรกมั้งที่เราได้ยินน้องพูดภาษาอังกฤษรัว ในโชว์ ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าตอนพูดไทยที่น้องจะดูเขิน หรือเพราะการไปทัวร์มาเป็นเดือนทำให้โชว์เขาดูคล่องและลื่นไหลมากขึ้น ซึ่งก็เป็นงั้นจริง ที่น้องวางกีตาร์แล้วร้องเต้นไปกับคนดูในเพลงหลัง ช่วงนี้ภูมิแนะนำสมาชิกแต่ละคน แล้วก็เปิดโอกาสให้ ปอม มือเบส Part Time Musicians ที่เขาเป็นรองแชมป์บีตบ็อกซ์ประเทศไทยโชว์ช่วงนึง คือพีคมาก เราไม่รู้ว่าเขามีความสามารถทางด้านนี้มาก่อน เลยยยย แล้วเก่งขนาดนี้อยากรู้ว่าที่หนึ่งจะโหดขนาดไหน เพราะนี่เขาสามารถทำบีตเป็นทรอปิคัลเฮาส์ แทร็ป EDM ดั๊บสเต็ปก็มา โหดมาก ก่อนที่จะกลับโชว์ปกติที่เพลงน่ารัก Strangers in a Dream และ Beg แล้วมาเป็นอินโทร Lover Boy ที่เล่นแบบช้า ฉายแวว John Mayer อีกแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าพอเป็นเพลงนี้คนดูก็ช่วยร้องกันได้อย่างพร้อมเพรียง แล้วคนที่มาดูไม่ใช่แค่คนไทยเด้อ ฝรั่งก็เยอะใช้ได้เลย แล้วน้องก็ส่งท้ายด้วยเพลง Long Gone ที่ยื่นไมค์มาให้คนดูช่วยร้อง มีคนนึงเป็นผู้หญิงเสียงดีมาก น้องยิ้มเหวอเลย ก็จบโชว์ไปอย่างชื่นมื่น จากที่ได้ดูภูมิมาหลายครั้ง สรุปแล้วว่าน้องเล่นโชว์สนุกขึ้นมากจริง แล้วคิดว่าน่าจะไปได้ไกลกว่านี้อีก เก่งมาก

Wonderfruit

ประมาณสองทุ่ม เราไปแวะที่เวที Rabbit Hole ซึ่งเป็นบาร์อยู่ที่ทองหล่อ ในงานนี้ก็มีแก๊งดีเจที่เราคุ้นเคยทั้ง Mela, More Rice มาเปิด แต่ตอนที่เราไปไม่แน่ใจว่าเป็นใครเล่นอยู่ เปิด nu disco เพลิน ก็สั่งค็อกเทล Whisky Ooh Lala เป็น vanilla amaro เปรี้ยวหวาน ใช้ได้ และราคาไม่แรงเท่า Tropic City แต่เรายังชอบอีกร้านมากกว่า แหะ พอได้ของจิบระหว่างดูโชว์แล้วก็รีบก้าวขาฉับ ไปที่ Thetre Stage เพื่อดู Sóley

โอ้ย คือพอเห็นชื่อนี้ในไลน์อัพก็ช็อกเบา อย่างที่เคยเล่าไปในคอนเทนต์แนะนำวงว่าสมัยก่อนจะฟังโพสต์ร็อก แอมเบียนต์ โฟล์ก มันจะต้องมี Sigur Ros, The Paper Kite, Daughter แล้วก็มีชื่อนี้โผล่มาในแถบข้าง ที่เป็น YouTube Suggestion อะนึกออกมะ ปกอัลบั้ม We Sink เลย แม้ตอนนี้จะไม่อินแล้วแต่ต้องดูเพราะเป็นอะไรที่ย้อนวัยเด็กจริง นางคือศิลปินจากไอซ์แลนด์ที่ทำเพลงแอมเบียนต์เย็นยะเยือก ทรงพลัง ฟังแล้วเห็นทุ่งน้ำแข็งกว้างอะไรเบอร์นั้นแหละ ทันทีที่เพลงของเธอถูกบรรเลง ไฟที่ฉายวิชวลไปบนโครงสร้างของ Theatre Stage คือสวยมาก สลับสีและลวดลายไปเรื่อย เข้ากับเพลงของเธอมาก สุดจะจินตนาการ ตอนระหว่างเพลง Sóley ก็จะพูดโน่นนี่นั่นไปด้วย ช่วงนึงเธอบอกว่า ชอบประเทศไทยมาก โดยเฉพาะกับดวงอาทิตย์ คือหน้าหนาวของไอซ์แลนด์จะมีสิ่งที่เรียกว่า winter solstice หรือช่วงที่กลางวันจะมีแสงสว่างแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น เธอสไกป์คอลหาลูกสาวเล่าว่าที่นี่อบอุ่นและมีแสงแดด แต่พอถามว่าที่นู่นเป็นไงบ้าง ลูกก็บอกว่าทุกอย่างมืดหมดเลย โถ เอ็นดู๊ แล้วก็เล่นเพลงต่อไปที่เธอแต่งให้ลูกสาวของเธอ โดยบอกว่าการที่เธอต้องเดินทางไปเล่นคอนเสิร์ตทั่วโลก สิ่งที่พอจะทำได้ในฐานะคนเป็นแม่ก็คือแต่งเพลงให้ลูกเนี่ยแหละ โฮ แล้วเพลงนี้ก็เป็นเพลงเมโลดี้อ่อนโยน อบอุ่น ใช้เปียโนเป็นเครื่องดนตรีหลัก ซึ่งการพรมนิ้วลงไปบนคีย์ของ Sóley คือเหนือชั้นมาก เทพจริง รื่นหูไปหมด หรือแม้แต่เพลงจากอัลบั้มใหม่ที่แม้จะให้ความรู้สึกหลอนเพี้ยนแบบ Björk แต่ก็เป็นซาวด์ดีไซน์ที่เท่และฟังง่ายกว่าอีกแม่เพราะเสียงร้องใสเย็น แล้วเราก็ต้องมูฟไปเวทีต่อไป

อีกศิลปินที่น่าสนใจกำลังขึ้นเล่นที่ Solar Stage คนดูเยอะมาก แต่แล้วเราก็ถูกจุดหนึ่งของงานดึงดูดความสนใจ เสียงจังหวะโจ๊ะพรึม แบบพื้นบ้านที่ Molam Bus ที่โปรดของเราในทุก ปีที่ให้เราทิ้ง Nightmare on Wax ปได้อย่างง่ายดาย (จริง คือรู้มาว่าเดี๋ยวนางมีเล่นที่ Living Stage อีกวันนึง เลยไว้ก่อนก็ได้) ตอนนี้เหมือนว่าจะเป็นหมอลำคณะเสียงอีสานกำลังเล่นอยู่ ม่วนหลาย เพลงอะไรก็ไม่รู้จักแต่เต้นไว้ก่อน สเต็ปเดิมของอิฉันคือการเต้นตามหางเครื่อง ได้รับการการันตีจากรุ่นน้องที่อยู่ด้วยกันว่าเซิ้งหมอลำเหนื่อยกว่าเต้นเทคโนที่แค่ย่ำเท้า อันนี้คือไปทั้งตัว ยิ่งกว่าคาร์ดิโอ!

แล้วตอนนั้นเหมือนเราก็เมากึ่ม ชวนรุ่นน้องอีกคนพากันไปเปิดวงหน้าเวที คราวนี้ล่ะคนดูคนอื่น ก็ตามกันเลย จบด้วยเพลง เต่างอย ของจินตหรา พูนลาภ เพลงอะไรมันจะฮิตข้ามปีได้ขนาดนี้ ปีที่แล้วก็เต้นเพลงนี้ตามตุ๊กกี้ ชิงร้อย สนุกมากกกกก แต่ก็อยู่ได้แค่พักนึงเท่านั้นแม่ว่าอยากจะอยู่นาน เพราะต้องไปดูศิลปินฮิปฮอปอีกคนที่เราอยากดูที่ SOT (ตอนเดินออกมา รุ่นน้องบอกว่าปีนี้ตุ๊กกี้ขึ้นไปร้องเต่างอย โอ้ย พลาด ส่วนปีที่แล้วที่ฉันอยู่นางร้องโบรักสีดำแหละ)

ประมาณสามทุ่มสิบห้า ดีเจคนนึงกำลังเปิดเพลงบิลด์ก่อนที่ทุกคนจะได้ดู Kweku Collins คือแร็ปเปอร์ โปรดิวเซอร์วัย 21 ปีจากชิคาโก้ ระหว่างนั้นก็ฟังบีตฮิปฮอปเพลิน ไปก่อน แต่จู่ พี่ดีเจแกก็เปิด Mr. Brightside ของ The Killers เฉย โอ้โห งงไปแปปนึงแต่โดดยับเลย แล้วตอนประมาณสามทุ่มครึ่ง Kweku Collins ก็ขึ้นมาบนเวทีพร้อมแฟนเพลงสาว มากรูกันเต็มหน้าเวที (ฉันก็เช่นกัน นางน่ารักมากไม่ไหวแล้ว) พร้อมส่งเพลง turnt ชวยโยกและโดดมารัว ตั้งแต่ Aya โอ้ย turnt เดือด ไปเด้อ ไหนจะ Sisko and Kasidy หรือพอ Lonely Lullabies มานี่เราแบบ เฮ้ย ใช้แซมพ์เพลง Youth ของ Daughter นี่หว่า ขนลุกเลยเด้อ คือสังเกตว่าเพลงเขาจะเป็นแร็ปผสมโฟล์ก ชิลฮอป แจ๊สฮอป หรือบีตมินิมัลกรุบกริบ ยุกยิก ก็มี อย่างในเพลง Stupid Rose นี่เราชอบมาก ก็เอามาเล่นในโชว์ด้วย พร้อมกับท่าเต้นน่ารัก ของนาง เอาใจพี่ไป

ตอนนั้นก็ได้เวลาเติมพลังกันก่อนกับ Aperol Spritz หนึ่งแก้วและไก่ย่างถ่านของเชฟแวนที่ร้าน Dag x Jam Factory ไม้ละร้อยแต่หอมนุ่มฟินมาก ๆๆๆๆๆ พอเรี่ยวแรงกลับมาแล้วก็ไปลุยต่อที่ตะพ่อ drum and bass ในตำนาน Goldie ที่ Living Stage กันต่อ จากที่เคยเกริ่นไปเช่นกันว่า Goldie เป็นเหมือนผู้คร่ำหวอดและบุกเบิกในทางสายนี้ เขาไปได้สุดถึงการเป็นวาทยากร หรือ conductor ที่กำกับการบรรเลงของนักดนตรีบนเวที แต่นักดนตรีที่ว่าไม่ใช่สายคลาสสิก หากแต่เป็นคนคุมดั๊บ คุมเบสซินธ์ ดรัมแพด มีกลองสด เล่นเพลง dnb ไปพร้อม กับการร้องสด น่าเสียดายที่เบสหนักไปแล้วลำโพงแตก ตอนแรกเรายืนใกล้เวทีมาก ก็ต้องยอมแพ้ไม่งั้นหูจะดับ คือเล่นกันแน่น เดือด พลังพุ่งพล่านไปหมด เต้นสนุกไม่ไหวแล้ว ตอนเพลง Inner City Life ขึ้นมานี่คือขนลุกมาก แบบ โอ๊ย ฉันได้ยินเพลงนี้สด จริง หรอ จะร้องงงง

จบจากตรงนี้เราก็วาร์ปไปที่ The Querry หรือเวทีอโคจรที่ปกติปีก่อน จะต้องเดินไกลเข้าไปในป่าลึก แต่ปีนี้เวทีตั้งอยู่ในบริเวณที่เดินถึงกันได้สบาย หากแต่นางลงไปอยู่ในหล่มพื้นที่ต่ำกว่าระดับปกติ ว่ากันตามตรงก็กินฝุ่นกันอร่อยปอดเลยทีเดียว ทีแรกตั้งใจจะดู Margaret Dygas กับ Craig Richards ซึ่งเป็นไฮไลต์ของวันนี้ตอนตีห้า แต่สุดท้ายก็อยู่ถึงแค่ Midland เพราะถ่างตาไม่ไหวจริง จ้า แต่ว่าไปแล้วก็เป็น session ที่ดี เสิร์ฟเพลง ดีเจสายเฮาส์ เทคโน ยูโรดิสโก้ ให้เราเต้นเพลิน ได้พักนึงก่อนจะแบตหมดไปจริง ตอนเกือบ ตีสอง ซึ่งก็ต้องขอลาวันที่สองไปแต่เพียงเท่านี้ เนื่องด้วยเช้าวันที่สามต้องตื่นมาออกกำลังกับอีกคลาสนึงด้วย สวัสดี

15 ธันวาคม 2561

หลังจากโดนรุ่นพี่ที่ไปด้วยกันสวดว่าแทนที่มึงจะอยู่ถึงเช้าดู Craig Richards แต่ดันไปนอนแล้วตื่นมาออกกำลัง ก็ไม่แปลกที่ตกดึกจะตายก่อนเวลาอันควรเราก็ไม่เข็ดหลาบ เข้าคลาส WonderBarre ตอนสิบโมงเช้าของ Physique 57 ซึ่งเป็นอีกคลาสยอดนิยมที่เราเล่นประจำเช่นกัน มันจะเป็นสตูดิโอที่เราได้ออกกำลังทั้งตัวโดยใช้ body weight ได้เกร็งต้นขา หน้าท้อง ช่วงแขน ครบ เหมือนจะไม่ได้เหนื่อย แต่มันจะปวดบริเวณเฉพาะจุดต่าง แบบจี๊ด กรีดร้องกันเลยทีเดียว จบคลาสก็โอดครวญอยู่เหมือนกัน แล้วก็ได้กาแฟร้อนที่ Casa Lapin บูสต์คาเฟอีนให้ตื่น เพราะวันนี้สัญญากับรุ่นพี่ไว้แล้วว่าต้องอยู่ยันหว่างให้ได้!

สามโมงตรงก็ได้เวลากลับเข้างานอีกครั้ง ตอนนี้เราได้มาสำรวจบริเวณที่ยังไม่ได้มาเยือนอย่าง Bath House ซึ่งมีกิจกรรม wellness ดีท็อกซ์ร่างกายต่าง อยากจะมาลองทำเหมือนกันแต่กว่าจะกลับไปอาบน้ำ กว่าจะกลับมาก็ไม่ทันแล้ว แต่โซนนี้น่ารักมากเพราะเขาดีไซน์เป็นคล้าย ศาลากลางน้ำที่เป็นทรงโดมคล้ายลูกมะพร้าวสามลูก แล้วก็มีคนเข้าไปนอนหลบร้อนกันได้ กับอีกจุดนึงเหมือนเป็นแพให้คนนั่ง นอน ห้อยขาลงไปในน้ำ ซึ่งถ้ามองจากตรงนี้จะเห็น Tiki Bar จากหาดอีกฝั่งนึง แล้วปีนี้ก็แต่งได้น่ารักสดใสมากเช่นกัน เราเดินกลับไปที่บาร์แล้วสั่ง white sangria กินดับร้อน ส่วนดีเจเปิดเพลงตอนนี้ก็เป็นเทคเฮาส์ดี๊ดี เต้นไปดูผู้หญิงผู้ชายใส่ชุดว่ายน้ำอวดหุ่นเดินไปเดินมา เพลินมากค่า

จนได้เวลาเกือบสี่โมงครึ่ง เราก็เดินไปรอ Adisak ที่เวที Neramit นี่คืออีกไซด์โปรเจกต์ของเบิร์ด Desktop Error ที่น่าสนใจมาก กับการเอา lap steel มาเล่นเป็นแอมเบียนต์ down tempo โยกกันเพลินเลย แล้วก็ใช้กีตาร์ที่เอากล่องซิการ์มาทำบอดี้มาเล่นไปกับบีต hypnotyzed เล่นไปเล่นมาจากที่สะกดจิตหน่วง ก็กลายเป็นเพลงสุดร็อก ตามด้วยเพลงเน้นซินธ์ที่ให้ซาวด์แบบเอเชียน ไหนจะเพลง deep techno หรือการหยิบ resonator guitar มาเล่น ให้ซาวด์แบบเพลงบลูกราส คาวบอย แต่มีบีตกับคอร์ดเป็น psych trance ซะอย่างนั้น ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมช่วงหลัง ชอบเจอพี่เบิร์ดตามงานอิเล็กทรอนิก/ ดีเจอยู่บ่อย สักพักก็หยิบพิณมาเล่น จัดเพลงหมอลำกับอิเล็กทรอนิกบีตที่เลียนสำเนียงมงแซะได้เท่มาก จังหวะชวนโยกตัวโยน ก่อนจะตีคอร์ดพิณเป็นร็อกแอนด์โรลกันเลย ล้ำมาก เป็นอีกโชว์ที่เราประทับใจสุด ในงานนี้

แล้วหลังจากนั้นก็จะเป็นโชว์ของ Pyra ที่เริ่มเลตกว่าตารางพอสมควร เราเลยได้ดูแค่ช่วงต้น ของโชว์ที่ผสม performing arts มีคนมาเต้นประกอบซาวด์ และไพร่าก็เดินไปรอบ กับพูดบทกวีคลอไปกับเพลง และเหมือนมีคิวว่าพอนักแสดงเต้นไปถึงตรงไหนก็จะไปสะกิดให้นักดนตรีในวงค่อย ขึ้นไปประจำที่ทีละคน ซึ่งกว่าเราจะได้ดูโชว์ช่วงต่อไป เวลานี้เราก็ต้องมูฟไปที่อีกเวทีแล้ว (อันที่จริงจะไปฟัง Goldie พูดในหัวข้อ Music & Life ที่ Eco Pavilion ด้วย แต่จากเวลาที่โดนกินไปรวมกับระยะทางที่ใช้เดินไปอีกน่าจะไม่ทัน ก็เลยต้องเปลี่ยนแผนกันเล็กน้อย

18.15 คือช่วง Intermission ของ Living Stage ตอนนี้ Orbital XX พร้อมขึ้นแสดงแล้ว และตรงเวลามาก จัดมาเลยกับเพลงดีปเฮาส์เท่ เต้นไม่หยุดเลยจริง และดรอปจังหวะกันในงานล่าสุด Dry Roses ก่อนจะต่อด้วย Alright ซึ่งอันที่จริง ญาณิน ร้องไว้ แต่ในเวอร์ชันไลฟ์ของยุพดีก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน สิ่งที่โดดเด่นของวงนี้คือการเอาซาวด์อิเล็กทรอนิกมาผูกรวมไว้กับเมโลดิกกีตาร์ได้ลงตัว และเรียบเรียงเพลงออกมาได้มีเทสต์ มีชั้นเชิง รู้ไดนามิกของโชว์ทำให้สนุกและไม่อยากให้จบเลย ยิ่งในเพลง Gravity และ Survive นี่คือโยกมันมาก ทั้งเวอร์ชันออดิโอและ performance เราบอกเลยว่า วงนี้ต้องดังได้แล้ว!

จบจากเวทีใหญ่เราก็ไปแวะที่ Polygon แปปนึง แต่อยู่ได้ไม่นานเพราะรู้สึกว่าเพลงมีความคาบาเร่ต์มาก ไม่อิน เลยไปต่อที่ Rabbit Hole ซึ่งวันนี้เป็นคิวของ More Rice เปิดกันยาว จะเห็นดีเจหน้าคุ้น อย่าง DOTT และ Elaheh อยู่ด้านหลังบูธ แล้วเราก็เดินต่อไปที่ SOT ที่กำลังมีวงอภิรมย์กำลังเล่นเพลง ดวงตานั้น อยู่ เราอยากจะอยู่ฟังเพลงอะคูสติกสุดสบายพร้อมเสียงนุ่มละมุนของพวกเขาต่ออีกสักนิด แต่เวลาดันไปตรงกับ Nightmare on Wax ที่อยู่ Living Stage ซึ่งห่างออกไปพอสมควร

เราก็ต้องเลือกแล้วล่ะค่ะ รีบพุ่งไปอยู่โซนกลาง พร้อมกับโชว์ที่เกิดขึ้นในเวลาประมาณทุ่มครึ่ง พร้อมกับอินโทร dnb สุดคึก ก่อนจะสลับมาเป็นเพลงแจ๊สดั๊บ กรูฟดั๊บ หรือโซลที่มีส่วนผสมของ dnb ไม่แปลกใจเลยที่เวลานี้เริ่มได้กลิ่นเขียว โชยมาพร้อมกับซาวด์ดนตรีหนุบหนับ สิ่งที่เราชอบมาก อีกอย่างนอกจากเพลงของ Nightmare on Wax คือวิชวลสีสดกับกราฟฟิกน่ารัก ที่โลดแล่นอยู่บนจอ LED ดูเพลินมาก พอ Shape the Future ขึ้นมานี่ โอ้ย ฟินกับบีตอันแสนจะดีงามของเพลงนี้ เสียงเครื่องสายมาทีก็ขนลุกที ต่อด้วย Tomorrow ที่เป็นเร็กเก้ดั๊บเท่ ก่อนจะเป็นชิลฮอป Back To Nature หรือเพลงอัลเทอร์เนทิฟโซลสุดเท่ใน You Wish แล้วก็อีกหลายเพลงที่ทำเอาโยกไม่หยุดเลย สนุกมาก แต่ก็อยู่ไม่ได้จนจบเพราะอีกวงที่อยากดูมาก คือ ดาว บ้านดอน!!!

แต่ก่อนจะเดินไปถึงหมอลำบัส เราก็ได้แวะที่ Forbidden Fruit เต้นกับดีเจจากญี่ปุ่นอีกคนที่เขาว่าเด็ดมาก ชื่อ Sisi หรือ Takahashi Kuniyuki เขาคือดีเจที่ได้อิทธิพลจากไซคีเดลิกและดนตรีมินิมอล แต่เพลงที่เขาเปิดกลับเป็นดิสโก้ เฮาส์ และเวิร์ลมิวสิก แล้วไวบ์ตอนเปิดคือดีมาก นี่ก็เต้นเพลินยาว จนเกือบลืม ดาว บ้านดอน แต่ความลูกทุ่งหมอลำมันเรียกร้องเลยรีบวิ่งไปเซิ้งกับเขา ซึ่งหนนี้ไม่ได้มีแค่ ดาว บ้านดอน แต่มี All Thidsa วงหมอลำร่วมสมัยมาร่วมแสดงด้วย พอเซิ้งได้พักนึงก็ต้องรีบกลับไปที่ Living Stage เพราะ Huun Huur Tu กำลังจะเล่นแล้ว นี่คือวงดนตรีจากแคว้นหนึ่งทางตอนใต้ของรัสเซีย ติดกับมองโกเลีย นำเสนอดนตรีพื้นบ้านกับเทคนิคการใช้เสียงร้องที่มีเอกลักษณ์ ฟังแล้วเหมือนคางคก ขับกล่อมเราไปพร้อม กับซาวด์อิเล็กทรอนิกของโปรดิวเซอร์ Carmen Rizzo ที่ดึงเอามิติที่น่าสนใจของวงออกมาได้อย่างน่าทึ่ง บางเพลงให้ความรู้สึกเหมือนบทสวดมนต์แต่ใส่เบสเข้าไป เพลงส่วนใหญ่ของพวกเขาจะมีความ panoramic, soundscape กว้างไกล มักพูดถึงธรรมชาติ ชุมชน ครอบครัว หรือวิถีชีวิตของพวกเขาที่อาศัยกันอยู่ในทุ่งกว้างของ Tuva

ตอนประมาณห้าทุ่มเรามาแวะซื้อของกินและเครื่องดื่มเล็กน้อย แล้วก็ไปเจอแก๊งพี่ ที่เคยทำงานด้วยกันที่ BK Magazine กำลังเต้นกันอยู่กับสารพัดเพลง Billboard Chart ที่ Dag x Jam Factory ทั้ง Young Dumb and Broke, We Don’t Talk Anymore และอีกหลายเพลง บอกเลยว่าเละมาก สนุกมาก ไม่มีการวางมาดใด อีกต่อไป ก่อนจะไปต่อที่ The Querry เพื่อดู Bobby Pleasure สักพักก็วาร์ปไปเต้นต่อกับ Kangding Ray เรียกว่าถูกจริตเกินความคาดหมาย คือไม่ได้อยู่ในแพลนเลยนะแต่เพื่อนที่เป็นสายเทคโนพิมพ์มาบอกสั้น ว่า ‘Theatre Stage’ เท่านั้นก็คิดว่าน่าจะลองดู กลายเป็นเราเฉย กับพี่บ๊อบไปซะงั้น พี่คนนี้จัดเพลงเทคโนหนัก กับซาวด์ทดลองที่เป็นซาวด์ดีไซน์แปลกใหม่ เต้นได้ยาว ไป รอเวลาที่จะไปดู Knower ที่ Living Stage

วงดนตรีอิเล็กทรอนิกดูโอที่ได้อิทธิพลจากแจ๊ส ฟังก์ และงานดนตรีทดลอง การร้องแบบกึ่งแร็ป โวยวาย บีตเร็ว กับเมโลดี้ชวนหัวปั่น นำทีมโดย Louis Cole มือกลอง โปรดิวเซอร์ตัวจี๊ดที่วันรุ่งขึ้นเขาจะมีโชว์เดี่ยวให้ดูอีกรอบ ส่วนตอนนี้เราพร้อมไปดิ้นกับพวกเขาแล้วในเพลง Time Traveler เสียงซินธ์ชวนปวดเศียรเวียนเกล้าเหมือนจะไม่เข้ากับเสียงร้องประดุจนกไนติงเกลของเจเนวิฟ แต่ไป มา พอบวกสกิลกลองขั้นเทพของหลุยส์ และเมโลดี้หวานหู ผสมทุกอย่างเข้าไปคือเหมือนจะไม่เพราะ แต่ดันเพราะ แล้วก็พลังงานล้นไปหมด สนุกแบบไม่ต้องมีพิธีรีตรองใด หรือเพลงจี๊ดใจแบบ Overtime, Whats In Your Heart แล้วก็มีเพลงสว่าง โลกบวกอย่าง Hanging On และเพลงแจ๊สจ๋าแบบ Around ที่ดรอปความรวดเร็วลงมาให้ได้หายใจหายคอบ้าง ถ้านึกภาพตามไม่ออก เราขอเปรียบกับ Cornelius ในเวอร์ชันที่มีความเป็นตะวันตก ติดลูกแจ๊ส และลุกลี้ลุกลนกว่า คนบ้าอะไรตีกลองเก่งจังว้อยยยย จบจากตรงนี้ก็เป็นเวลาประมาณตีหนึ่งครึ่ง เริ่มรู้สึกถึงว่าหลอดพลังงานกลายเป็นสีแดงแล้ว เห็นทีน้องต้องของีบ ก็ปีนขึ้นไปบนชั้นสองของ Tropic City หรือที่เขาเรียกว่า The Hamlet คือข้างล่างมีดีเจเปิดอยู่ตลอด แต่พอหัวถึงหมอน ที่นอนนุ่ม นี่ก็ผลอยหลับไปเลย

พอตื่นขึ้นมาอ่านเมสเสจในกรุ๊ปแชต ทีมงานบางส่วนหนีกลับบ้านกันไปหมดแล้ว เหลือแต่ฉันกับเฮียแห่งเพจ Hear and There นี่แหละค่ะผีบ้าสองคนที่ตั้งมั่นจะอยู่ยันหว่าง ฉันก็ถามเฮียว่าอยู่ไหน นางบอกอยู่ SOT เราก็นึกขึ้นได้ว่า เชี่ย พี่มังกร หรือ DJ Dragon เปิดกับ DJ Pichy และมีพี่ตุล Apartment Khunpa มาเป็น MC แกจะพลาด session dnb อันนี้ไปได้หรอ รู้สึกว่าการงีบเกือบชั่วโมงนึงของอิฉันเวิร์กมาก แรก ก็เดินงัวเงีย อยู่หรอก แต่พอไปถึงแล้วได้ยินเสียงกลองกับเบสเท่านั้นแหละ เต้นตีนแตกลืมง่วงไปเลยจ้า สนุกมากกกก ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยคนนี้ คือเราได้ยินชื่อพี่มังกรมาจากเพื่อนดีเจที่รู้ว่าเราชอบ dnb ก็จะต้องฟังคนนี้ ก็มีโอกาสได้ดูสดเขารอบนึงที่ De Commune นี่ก็เป็นรอบสองของเราแต่ยังสนุกเหมือนเดิม พลังเอ่อล้นมาก พี่ตุลก็บิลด์เก่งจริงนึกอะไรไม่ออกก็ rewind’ พร้อมกับเสียงแผ่นไวนิลถูกกรอกลับ เท่มากกกก เนี่ย ก็มีคนเต้นแร้งเต้นกาไปกับเราอีกพอสมควร เต้นกันยันตีสี่ครึ่ง เพลงจบแล้วคนก็ยังไม่จบ เหมือนได้รีชาร์จกันที่เวทีนี้ ไปเอาเรี่ยวแรงกันมาจากไหน!!!

จบจากตรงนี้เราก็ไม่รู้จะไปดูอะไรต่อแล้ว แต่มิชชันจริง คืออยู่จนพระอาทิตย์ขึ้น อะ มาดูกันว่าจะทำได้หรือไม่ ตอนนี้ก็เริ่มงง เพราะยังไม่ได้นอนนน เลยเดินไปแวะที่ Solar Stage เจอ Libella กำลังเล่นอยู่ ซึ่งพวกเขาไม่ใช่ใครที่ไหน หนึ่งในนั้นคือโปรดิวเซอร์ของ Huur Huun Tu Carmen Rizzo กับอีกคน Joel Shearer คนนึงโปรแกรมเพลง อีกคนเล่นเครื่องดนตรีสารพัดชิ้น บรรเลงเพลงแอมเบียนต์แทรกด้วยบีตเท่ กับซาวด์ดีไซน์สุดพิศวง รับแสงตะวันกันแบบอิ่มเอม แต่ดูไปพักนึงก็อยากไปเช็กว่าที่ Polygon ตอนนี้เป็นอะไร ระหว่างที่เดินจาก Solar Stage ไปจนถึงที่ก็ได้เห็นสภาพของ Wonderfruitians ทุกคนนอนเอนกายสบายใจบนพื้นหญ้า จากไปอย่างสงบค่ะ เห็นแบบนี้แล้วก็คิดว่า ปีหน้าน่าจะเอาบ้าง ไม่ไหวตรงไหนก็นอนมันตรงนั้นเลย แดดออกร้อนนอนต่อไม่ไหวค่อยมาลุยต่อ ฮ่า โอเค ตอนนี้เป็นช่วงของ Timboletti ดีเจเฮาส์ที่จัดบีตหนัก ให้สมกับที่อยู่เวทีลำโพง surround มีส่วนผสมของทั้งความกรูฟ dnb เร็กเก้ เวิร์ลมิวสิก ไซคีเดลิก เรียกว่าครบความหน่วงเมากันไปเลย แปปนึงเราก็มูฟไปที่ Rabbit Hole ก็ต้องช็อกเล็กน้อยที่ยังเห็นเหล่าดีเจ More Rice เวียนคิวกันเปิดคนละแทร็คเกือบ 10 คนได้ แบบ เปิดตั้งแต่หัวค่ำจนถึงรุ่งสาง ยังไม่นอนกันอีกเร่อ แต่เปิดดีจริงจนเราขอยืนเต้นไปกับพวกเขาสักพัก แล้วก็ได้เจอกับคุณว่าน คุณแอ๊ป Mattnimare กับประโยคที่ทักทายดิฉันคือโดนตัวไหนมาแก ใจเย็น ฉันแค่เต้นแรงไม่ได้โด้ปอะไรมาจ้า จนแล้วจนรอดเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า แม้ฟ้ายังไม่สว่างแต่ร่างไม่น่าจะไหว เห็นแก่เวลาอันสมควรที่จะกลับไปนอน ค่อยมาลุยกันต่อในวันสุดท้าย แต่ขณะที่กำลังขับรถกลับบ้าน ฟ้าก็กำลังสว่างขึ้นพอดี นับว่า mission accomplished ได้หรือเปล่านะ

16 ธันวาคม 2561

จริง วันนี้เราก็จองคลาส Physique 57 ไว้ แต่รู้สึกว่าตื่นไม่ไหวแน่ เลยปล่อยตัวเองนอนยาวไปถึงสิบเอ็ดโมง แล้วก็เลยขอเข้างานช้าหน่อยเพราะอยากหาข้าวกลางวันกินกับทีม แถมด้วยการนวดแผนไทยให้ร่างพร้อมลุยกันต่อในช่วงบ่ายถึงดึก

แต่แล้วทั้งอีการหาร้านนวด นั่งให้เขานวด และการขับรถจากนาเกลือกลับไป The Field ทำให้ฉันลืมดู Horse Meat Disco, Yensuk และ Tontrakul!!! กลุ่มแรกสุดคือดีเจที่เป็นผู้เคลื่อนไหวใน queer community เปิดเพลงฟังก์ ดิสโก้ 70s ขนานแท้ ส่วนวงที่สองคือร็อกเท่ ที่ Howie B ที่เคยโปรดิวซ์ U2 กับ Björk เป็นโปรดิวเซอร์ให้ และคนสุดท้ายคือมือพิณ โหวด แคน ของ Rasmee Isan Soul และมีวงชื่อ Asia 7 ส่วนนี่คือโปรเจกต์เพลงหมอลำอิเล็กทรอนิกของเขาที่เราติดใจมาก ตั้งแต่ตอนที่ส่งมาอยู่บนสตรีมมิงฟังใจใหม่ คือตอนจ้ำอ้าวมาถึงเวที Neramit ก็เป็นเวลาห้าโมงตรงที่เขาเล่นจบพอดี จะร้องไห้ มาถึงก็เจอทีมงานที่มาถึงก่อนบอกว่า มึงพลาดแล้ว ใช่ค่ะ เศร้ามาก (แต่รออ่านจากอีกบทความโดยคุณแม็คที่ตั้งใจโฟกัสวงไทยใน Wonderfruit ได้ เร็ว นี้)

เราเลยได้มาดู Alligatorz ที่ Forbidden Fruit แทน พวกเขาคือดีเจที่เปิดเพลงฟังก์ ดิสโก้ เรโทรโคตรสนุก มีซาวด์แบบละติน และบางเพลงที่แอบทะลึ่งตึงตังแต่ทุกคนก็พร้อมใจจะเต้นไปพร้อมกับเสียงครางระหว่างเสพสมในเพลงอย่างไม่เขินอาย แล้วเราก็แวะไปที่ Theatre Stage ที่มีวงอย่าง DuOuD เล่นอยู่ พวกเขาคือศิลปินคู่ที่บรรเลงเพลงจาก oud ซึ่งลักษณะคล้าย lute หรือกีตาร์ตัวเล็ก เป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านทางตอนเหนือของแอฟริกา ซึ่งเพลงที่เราได้ฟังก็มีความเป็นแอโฟรบีตผสมกับดาวน์เทมโป้ บางเพลงก็จัดหนักเล่นร็อกกันเลย น่าสนใจมาก แต่ยังดูไม่ทันจบดีก็ต้องย้ายไปที่ Living Stage เพราะมวยเอกกำลังจะขึ้นชก แต่ก่อนอื่นขอแวะซื้อ Dub Icecream ก่อน เห็นมาขายทุกปีแต่ยังไม่เคยซื้อกินสักปี บอกเลยไอศกรีมช็อกโกแลตเขาดีงาม ไม่หวานมาก เลือกท้อปปิ้งใส่เองได้ตามใจฉันในราคา 150 บาท แล้วเราก็ไปสแตนบายที่เวทีใหญ่ เพราะ น้าจ๊อบ บรรจบ หรือ Job2Do กำลังจะเล่นที่นี่

เข็มยาวชี้เลขหก เข็มสั้นชี้เลขห้า น้าจ๊อบและสหายประจำการบนเวที และเริ่มโชว์กับเพลงทักทายสวัสดีผู้ชม สังเกตว่ามีแฟนเพลงเฉพาะกลุ่มมากรูกันข้างหน้า โยกไปตามจังหวะเพลงเร็กเก้อย่างสบายใจ จบเพลงนี้ น้าจ๊อบก็พูดว่าเร็ว นี้จะมีข่าวดี ที่เขาให้กัญชาถูกกฎหมายพร้อมกับเสียงเฮของผู้ชม แล้วเล่นเพลง Legalized Marijuana ตามด้วย ลายเคง และได้ อำนาจ เดอะ วูแมน มาแจมในโชว์กับเพลง ฝันให้ไกลไปให้ถึง เราไม่เคยฟังเพลงของเธอมาก่อนเลย แต่ชอบเสียงมาก ใสแต่ใช้เทคนิคให้ออกแหบหน่อย แล้วก็ทิ้งหางเสียงแบบ อธิบายไม่ถูกแต่มีเอกลักษณ์มากกก แล้วก็อีกสองสามเพลงที่เราไม่แน่ใจว่าคือเพลงอะไร แต่ก็มีแฟนพันธุ์แท้ร้องตามได้พอสมควร จนเพลงไฮไลต์ก็มาถึงอย่าง ดูเธอทำ ที่คราวนี้ก็ร้องได้ทั้งบริเวณนั้นเลย กลิ่นเขียวก็เริ่มโชยมา พร้อมกับน้าจ๊อบถามออกไมค์ว่าไหนใครอยากดูดกัญชาาาาาคึกกันมาก ตามด้วยเพลง พรรคเขียว และอีกเพลงดัง ลืมไม่ลง แต่ก็ดูได้ไม่จบดีขอไปแวะโฉบ ที่เวที Costly Wood กับ Sarayu สักหน่อย

เท่าที่สังเกต วันนี้เป็นวันที่เน้นดนตรีเร็กเก้เป็นพิเศษ อย่างวงต่อไปที่เราตั้งใจจะไปดูคือ Rootsman Creation เราเดินไปถึง SOT ประมาณหกโมงสี่สิบ เหมือนได้ยินเพลง I Still in Love with You Girl คิดว่าแค่เปิดเพลง แต่จริง คือวงเล่นแล้วจ้า คัฟเวอร์ได้เนียนมาก เล่นดีมากตั้งแต่เพลงต้น เลย เราก็รีบพุ่งเข้าไปจับจองที่หน้าเวทีเพราะติดตามวงนี้ตั้งแต่ในสตรีมมิงฟังใจอีกเหมือนกัน ต่อด้วย Rootsman เพลงโคตรย่องของพวกเขาที่เราชอบมาก ตามด้วยคัฟเวอร์ Bob Marley & The WailersWaiting In Vain ตามด้วยเพลง Mariwana ของ Soul Syndicate ที่เป็น rocksteady แบบที่แทบจะเรียกว่า ขนานแท้อะ แล้วมีการปรับคีย์ร้องในท่อนฮุค คือเพราะพริ้งมาก เล่นเนียนมากโอ๊ย ชอบบบบ แล้วก็เป็นเพลงเร็กเก้ที่มีท่อนนึงไม่รู้อิมโพรไวส์ไหมแต่เป็นภาษาเหนือ กับฟรอนต์แมนที่พูดว่าเชียงใหม่สไตล์ ยูโน้วบ้านมาก ดีงาม ต่อด้วย Dawn PennYou Don’t Love Me ที่ได้ Fyah Burning มาแจมด้วย เป็นอีกคนที่เท่มากในสายนี้ แร็ปอะไรเก่งไปหมด แล้วก็มีเพลงที่ร้องเรียกอิสรภาพให้กับประเทศไทย ตามด้วย Mr. Dubman เสียดายที่ไม่ได้เล่นเพลง เดิน ด้วย แต่โชว์โดยรวมทั้งหมดคือดีงามมาก เป็นอีกวงเร็กเก้ที่อยากให้ติดตามกันมากขึ้นเยอะ แล้วโชว์ต่อไปเราต้องเลือกระหว่าง GA-PI กับ Louis Cole เพราะเล่นชนกันพอดี แต่ในเมื่อปีที่แล้วเราดูน้าแก๊ปที่งานไปแล้ว เลยขอเลือกปิศาจกลองแจ๊สที่ Solar Stage แทนแล้วกัน

ตอนนั้นหลุยส์เล่นไปได้พักนึงแล้ว แต่ ขณะนั้นเราสามารถเดินเข้าไปในกลุ่มคนดูได้สบาย คือคนไม่ได้เยอะอย่างที่คิดขนาดนั้น อาจจะเพราะเพลงของเขามีความเฉพาะกลุ่ม การเล่นในจังหวะที่เร็วมาก เป็นแจ๊ส ฟังก์ เทคโน และ dnb จัดจ้าน แต่ยังมีความเป็นเมโลดิกและความเดือดอยู่ด้วย คือสามารถเขียนอะไรแบบนี้ออกมาได้ยังไง อันที่จริงก็ได้ยินชื่อของเขาจากเพื่อน ที่เป็นนักเรียนแจ๊สว่าควรไปดู แล้วพอมาเจอของจริงก็ถึงบางอ้อตั้งแต่ตอน Knower แล้ว จนเพลงต่อไปเขาหยิบกระดาษขึ้นมา น่าจะเป็นบทกวีที่เขาอ่านประกอบกับบีตที่กำลังเล่นอยู่ ไอ้เราก็ผงกหัวตามอย่างเมามันในเพลงแจ๊สดั๊บเพลงนี้ ต่อด้วยเพลงชิลฮอปน่ารักซอฟต์ใสผิดกับทุกเพลงก่อนหน้านั่นคือ Phone เหมือนนางจะบอกว่า ทำเพลงเพราะ กับเขาก็เป็นเหมือนกันนะ แต่ไม่ทำ! ตามด้วย Weird Part of the Night และเพลงเดือด อย่าง F It Up สนุกมาก เร็วมาก ผีบ้า กับเพลงเร็ว ดั๊บหนัก ที่ร้องว่า ‘Who cares? Who cares? Motherfucker’ วนไปแบบไม่ใช่คำหยาบยังงั้น ตามด้วย Thinking งานฟังก์สไตล์เก๋ แล้วก็เล่นท่อนดรอปหลากสไตล์ดุเดือดให้เราเต้นกันไม่ถูกประมาณ 4-5 แบบ มีทั้งดั๊บสเต็ป ฟังก์ เบสหนัก จับจังหวะไม่ทันเหลย จบเพลงนี้เขาก็บอกว่ามีซีดีมาขายด้วย มาช็อปให้หมดก่อนเขาบินกลับ แล้วเพลงต่อไปเขาบอกว่าจะเล่นเทคโนที่เร็วมาก นั่นคือ Mean It ไม่ได้เร็วแค่บีต แต่พี่แกยังร้องเร็วด้วย ไปเอาพลังมาจากไหน บางท่อนที่จะโซโล่เบสกับกลอง ก็พูดก่อนเล่น คือเหมือนเขาพูดกำกับ บ่น ๆๆๆ ไปตลอดโชว์ ไอ้เราก็ฟังไปแบบเพลิน เหมือนนางแร็ปอยู่ยังไงยังงั้น แล้วเพลงต่อไปที่เล่นคือ When You’re Ugly ซึ่งเป็นฟังก์ r&b สว่าง ทั้งที่แฟนเพลงยังไม่อิ่มดีอยากฟังต่อเรื่อย แต่โชว์ของเขาก็ถูกตัดจบซะก่อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับ FUTURO – X by The Waldorf Project

ก่อนหน้านี้จะมีประกาศขึ้นบนจอ LED เป็นพัก ตลอดทั้งงานอยู่แล้ว เราเองก็สงสัยว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน สรุปคือตลอดช่วงเวลานั้นทุกเวทีถูกสั่งให้หยุดทำกิจกรรมล่วงหน้าก่อนเวลาเริ่มโปรเจกต์ประมาณครึ่งชั่วโมง เลยเหมือนเป็นการบังคับกลาย ให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่เวทีใหญ่ เพราะเป็นกิจกรรมเดียวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ไฟตามจุดต่าง ในงาน ทั้งเวทีการแสดงและร้านค้าค่อย ถูกปิดลง พอมาถึงเวทีใหญ่ ทุกคนก็ถูกจับให้ยืนเรียงตามเส้นหนาสีขาวที่ตีไว้ มีทีมงานคอยจับให้เรายืนเรียงแถว จากนั้นถูกจับให้นั่ง มีเพลงบรรเลงคลอตลอดกิจกรรม ให้ความรู้สึกอึดอัดไม่ปลอดภัย จากนั้นก็ถูกจับให้นอนลงโดยนักแสดงที่ใส่เสื้อใยแก้วเรืองแสงหน้านิ่ง ไม่พูดจา ทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่ดูงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนจับใจความได้ว่านี่น่าจะเป็น performing arts ที่ให้ผู้ชมมีส่วนร่วม แต่ช่างเป็นช่วงเวลาอันยาวนานที่เราถูกให้จับมือกับคนแปลกหน้าข้าง นอนแหงนหน้าดูดาวเกลื่อนฟ้า ความรู้สึกอึดอัดยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อรู้ว่ากล้องจับจากมุมสูง และโดรนบินเก็บภาพอยู่ เรากำลังตกเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองอะไรบางอย่างแบบไม่ค่อยเต็มใจและคิดว่าหลายคนคงรู้สึกงุนงงแบบเดียวกัน แต่ก็เข้าใจว่าถ้าขอความร่วมมือโดยสมัครใจให้มาร่วมโปรเจกต์ใหญ่ที่ใช้คนจำนวนมากแบบนี้ก็คงไม่มีใครมาเพราะทุกคนกำลังสนุกกันอยู่ เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มที่เรานอนนิ่งอยู่อย่างนั้น เสียงเพลงเปลี่ยนไปจากซาวด์ลึกลับตึงเครียด เป็นเพลงโทนสว่าง แล้วก็มีเหล่านักแสดงมาเดินลูบใบหน้าของเรา แทนที่จะรู้สึกผ่อนคลายแต่ยิ่งอึดอัดขึ้นไปอีก ระหว่างนั้นก็คาดหวังว่าจะมีอะไรที่เป็นเซอร์ไพรส์ให้รู้สึกดีในตอนท้ายอย่างการฉายลำแสง หรือจุดพลุหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีอะไรเด้อ จบกิจกรรมกันไปแบบงง แล้วต้องวิ่งไปเข้าห้องน้ำแบบมืด ต้องเอาไฟมือถือส่อง กว่าไฟจะมาก็ฉี่เสร็จพอดี

ไม่มีเวลาให้เซ็งหรือไม่พอใจเท่าไหร่นักเพราะโชว์ของ Southside ที่เราอยากดูต้องขึ้นเลตไปครึ่งชั่วโมง แต่พอมาถึง SOT เราก็ได้ดูความทรงพลังของ live band อันเลื่องชื่อ กับการเล่นเพลงร็อกไปพร้อม กับการแร็ปของพวกเขา คนชาวไทยเหมือนจะมารวมตัวกันที่เวทีนี้อย่างเนืองแน่น แล้วก็มีเพลงนึงที่เอาแซมพ์เพลง กัญชา ของ คาราบาว เรียกว่าเหนือความคาดหมายมาก แล้วสักพักเราก็เดินแหวกฝูงชนว่าจะไปฟัง Seb Wildblood สักครู่ที่ Solar Stage ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ เที่ยงคืนได้ แต่เรากลับเดินผ่าน Dag x Jam Factory และพบ Stylish Nonsense กำลังเล่นอยู่พอดี ก็เลยนั่งโยกยาว เพลิน เป็น surprised show และโชว์สุดท้ายที่คิดว่า คงเต็มอิ่มแล้วสำหรับ 4 วันใน Wonderfruit ปีนี้

เรากับทีม Fungjaizine รวมตัวกันก่อนเดินกลับไปที่รถเพื่อขับกลับที่พัก ระหว่างนั้นก็แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่แต่ละคนได้แยกย้ายกันไปเดินดูตามจุดต่าง ในงานว่าใครเจออะไรเด็ด แล้วใครที่พลาดอะไรไปบ้าง อย่างเราเนี่ยพลาดกะเพราเนื้อคือตอนแรกไม่กล้าซื้อเพราะราคาแอบแรง แต่ของเด็ดของเขาคือการที่ต้องสั่งออพชัน ‘add happiness’ นั่นคือน้ำมันเนื้อสีเขียวเจ้มจ้นแบบ ลู้เลยนะคะ มีทีมงานคนนึงได้ลองไปแล้วก็หลับสบายกันเลยทีเดียว แล้วก็พลาดเหล้าหมักสับปะรดที่ Wonder Kitchen พลาดการเพนต์กลิตเตอร์ที่ Wibwabwub ของแพรวา Yellow Fang เพราะปีนี้คิวยาว คิวแน่นมาก พลาด Lord Echo ที่เป็นโปรดิวเซอร์เพลงเร็กเก้/ ดั๊บ จากนิวซีแลนด์ เพราะเล่นชนกับใครไม่รู้เลยไม่ได้เลือกไปดู อะแง

แต่สิ่งที่รู้สึกว่าไม่พลาดก็คือการได้ทำมิชชันที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่สามครั้งก่อนนั่นคือ การได้ออกกำลัง โยคะ และเต้นยันหว่าง คือไม่รู้จะทำไปทำไมเหมือนกัน แต่มันเป็นที่ที่เหมาะจะทำอะไรที่ YOLO มาก Wonderfruit คือที่ที่ใครหลายคนเลือกที่จะมาหลบหนีจากโลกความเป็นจริงและอาศัยอยู่ในประเทศสมมติเป็นเวลา 4 วันเต็มเพื่อรีชาร์จอะไรบางอย่างที่เว้าแหว่งในตัวเอง ซึ่งบางคนก็ได้พลังกลับมามากมาย แต่บางคนก็อาจจะแหว่งกว่าเดิม อาจจะเป็นเงิน หรือสุขภาพ อันนี้แล้วแต่คนเลย ฮ่า ที่แน่ เราก็ได้พลังจากหลายโชว์ที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้ดู แบบต้องหาดูได้ยากแน่ ได้ค้นพบศิลปินชาวไทยมากความสามารถอีกหลายคนที่ควรค่าแก่การสนับสนุน ได้เต้นรำไปกับเพื่อน เหมือนทุกคนมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้งโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่รู้สิ มันเป็นเทศกาลที่พอได้มาครั้งนึงแล้วก็อยากมาอีกทุกปีเล่าอย่างเดียวคงไม่พอ อยากให้ทุกคนได้มาสัมผัสเองสักครั้งจริง

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้