Shugo Tokumaru กับโชว์ที่อัดแน่นด้วยวาไรตี้ป๊อปเหนือความคาดหมาย
- Story and photos by Montipa Virojpan
11 พฤศจิกายน 2560
เมื่อเสาร์ที่ผ่านมา เป็นอีกวันที่มีอีเวนต์ชนกันโครมครามที่สุดวันนึง เพราะมีคอนเสิร์ตชนกันถึง 4 งาน ยังไม่นับปาร์ตี้ดีเจยิบย่อยยุบยับอีกนะ อาจเพราะเป็นฤกษ์ดีเลขสวยจำง่าย ทีม Seen Scene Space เลยชวน Shugo Tokumaru มาเล่นสดแบบใกล้ชิดในวันที่ 11 เดือน 11 ที่ Play Yard นั่นเองล่ะจ้า (และแน่นอนว่าอีกทั้ง 3 งานอย่าง JMSN, DEAN และ งานเปิด live house แห่งใหม่อย่าง De Commune เราก็แยกร่างไปเก็บบรรยากาศมาฝากกันด้วย รออ่านกันได้เลย โจ้ว)
โทคุมารุ ชูโกะ คือศิลปินชาวญี่ปุ่นที่สร้างสรรค์เพลงป๊อปออกมาได้อย่างมีเอกลักษณ์ จากการผสมแนวดนตรีหลากหลายตั้งแต่แจ๊ส คันทรี และโครงสร้างเพลงที่มีการเรียบเรียงซับซ้อนแบบจับทางไม่ถูกจนสร้างความประหลาดใจให้ผู้ชมได้ตลอดโชว์ การเล่นเครื่องดนตรีนานาประเภท หรือนำของเล่นแปลก ๆ มาทำให้เกิดเสียงเพื่อทดลองหาซาวด์ใหม่ ๆ ถือเป็นเรื่องถนัดของเขา ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้เราและนักดนตรีหลายคนอยากดูการแสดงสดของชูโกะให้ได้สักครั้งในชีวิต
และครั้งนี้เองก็เป็นครั้งที่สามของเราแล้ว (สองรอบก่อนหน้าคือที่งาน Neon Lights สิงคโปร์ปี 2015 กับ Fuji Rock เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา) ถามว่าทำไมดูแล้วดูอีก ไม่เบื่อบ้างเหรอ ก็ต้องบอกว่าโชว์ของจารย์ชูโกะเขาดีไซน์ออกมาสนุก แถมยังเซอร์ไพรส์เราได้ทุกครั้งจริง ๆ ดูยังไงก็ไม่เบื่อ โดยเฉพาะกับรอบที่ญี่ปุ่นเขาหอบเครื่องดนตรีทดลองชุดใหญ่และนักดนตรีรับเชิญ Maywa Denki ผู้คิดค้นของเล่นเหล่านั้นมาสร้างความฮือฮาให้ผู้ชมอย่างเพลิดเพลิน เอาง่าย ๆ ว่าตอนที่เขาประกาศว่าชูโกะจะมาเล่นที่บ้านเรา นี่กดบัตรตั้งแต่วันแรกแบบไม่คิดมากเพราะจะได้ดูวงพีค ๆ ในราคา 400 บาท ทั้ง Midnight Children, Sasi และ Summer Dress พร้อมกันในคืนเดียวด้วย คุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
เวลาเกือบทุ่มครึ่ง ด้านในของร้าน Play Yard ยังไม่ค่อยมีคนดูหนาตามากนัก เราจึงจับจองพื้นที่ด้านหน้ายืนดู Midnight Children ได้อย่างสบาย ๆ เราได้ยินชื่อวงนี้จากที่ไหนสักแห่งแต่ยังไม่เคยดูมาก่อน เมื่อวานเลยเป็นการเปิดประเดิมหนแรกและได้พบว่า แม้จะเป็นวงดนตรีสามชิ้นแต่ซาวด์กลับไม่โหวงเหวง เล่นอะไรออกมาก็ดูแน่นปึ๊กไปหมดด้วยความสามารถทางดนตรีสายแจ๊สระดับพระกาฬ เป็นโปรเกรสซิฟ กรูฟไหล ๆ โซโล่ทีนี่โชว์สกิลไล่สเกลเอย รัวกลองเอย เปลี่ยน time signature ตลอด มาหมดไม่ว่าจะแมธ อัลเทอร์เนทิฟ แจ๊ส แอบมีเมทัลให้เป็นลูกเหวอนิด ๆ ถ้านึกไม่ออก เพลงวงนี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในบาร์แจ๊สสายฟิวชัน ผสมกับซาวด์หม่นประมาณ Desktop Error และความซับซ้อน หลากหลาย และหนักหน่วงแบบ aire จนเรายืนไม่นิ่ง เผลอดิ้นตามจังหวะไปแบบไม่รู้ตัว เพลงที่หยิบมาเล่นวันนี้ก็มี Light, ฟ้า, Such และ Here ที่พอถึงท่อนผลัดกันโซโล่หรืออิมโพรไวซ์นี่แบบ… จะโหดกันไปไหน๊๊๊๊๊ มือกลองเก่งมาก กัวล้าว ๆๆๆๆๆ ขอยกให้เป็นความหวังใหม่ของสาย instrumental กันเลย เจอชื่อวงนี้ในไลน์อัพไหน ต้องลองไปดูให้ได้นะ
จากนั้นประมาณสองทุ่ม วง Sasi ที่มีผลงานการเล่นสดสุดตราตรึงใจเราเสมอมาก็ขึ้นแสดง คนดูเริ่มตบเท้าเข้าด้านในเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงตั้งใจดูกันอย่างสงบเรียบร้อยไม่ค่อยออกท่าทาง โดยขึ้นมาเป็นอินโทรโฟล์กร็อกเร้าอารมณ์ก่อนจะทักทายผู้ชม และประเดิมเพลงแรก ต่อด้วยเพลง ละเมอ ให้อารมณ์เหงา ๆ ในช่วงต้นเพลงแล้วเพิ่มพลังความหนักหน่วงเข้าไปในช่วง verse 2 จากนั้นจึงเป็นเพลง เมนส์ ที่เพิ่มความเดือดขึ้นมาอีก คราวนี้ใส่เอฟเฟกต์ร้องโหด ๆ ดนตรีกรันจ์ ๆ ที่ให้กีตาร์เล่นไลน์เบสกรูฟหนึบหนับ ทำเอาเราลืมภาพจำของวงศศิไปชั่วขณะ แล้วก็เป็นคิวของเพลงสุดเศร้าแต่สวยงามอย่าง Evening ที่ยังบาดหัวจิตหัวใจได้อย่างดีเช่นเคย ชอบมาก ๆ คือท่อนท้ายเพลงที่กลองชุดทั้งสองตียูนิซันกันอย่างเข้มแข็งและพร้อมเพรียง (อ้อ ลืมบอกว่าจุดเด่นของวงนี้คือมีกีตาร์สองตัว และอีกสองกลองชุด ซึ่งมีตัวนึงตีเน้นตีเป็นพาร์ตเบส) หลังจากที่วงแนะนำสมาชิกกันแล้วก็ได้คิวของเพลงเร็กเก้สุดย่อง ไปวันวัน มีเสียงกระพรวนฟังสบายคลอไปตลอดเพลง แล้วปิดท้ายด้วยเพลงที่ทำให้รู้จักกับพวกเขา นั่นคือ ใจ ได้อย่างน่าประทับใจ
เวลาสามทุ่มตรง อินโทรของเพลง Fancy I เริ่มบรรเลง พร้อมกับปริมาณคนดูที่หนาตาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตัวเราเองก็ถูกดันให้มาอยู่เบื้องหน้าเวทีที่มี Summer Dress ที่กำลังแสดงอยู่ หนนี้สังเกตได้ว่าพวกเขามีของเล่นมาเพิ่ม นั่นคือดรัมแพดของแน็ท และคีย์บอร์ดซินธ์ของเต๊นท์ โดยปกติวงนี้เขาก็ขึ้นชื่อเรื่องซาวด์ดีไซน์ชวนเหวอกันอยู่แล้ว นี่ก็ชักจะตื่นเต้นแล้วสิว่าโชว์ในครั้งนี้จะพีคกว่าทุกครั้งหรือเปล่า สิ่งที่เราค้นพบก็คือ (ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่านะ) แต่รอบนี้ดนตรีกลมกล่อมครบรสขึ้นมากจริง ๆ แหละ เมื่อจบเพลงแรกก็ต่อด้วยเพลงที่นานมาแล้วไม่ได้ฟังจากอัลบั้ม Activity อย่าง บรรเลง ที่เราคิดถึงมาก แต่เป็นเวอร์ชันที่อัดแน่นเต็มเหนี่ยว แอบมีกรูฟฟังก์ ๆ ไม่เหลือเค้าความขี้เล่นแบบยุคแรก กลายเป็นวงรุ่นใหญ่ไปแล้ว ตามมาด้วย The Beatles Fever เพลงยั่วล้อความขี้ขิงของแฟนคลับวงในตำนานที่รอบนี้เพิ่มสีสันในช่วงท้ายเพลงกับไลน์ซินธ์สวย ๆ จากนั้นก็เป็นเพลง Soundscape เพลงอ่อนโยนไพเราะแต่แฝงความเกรี้ยวกราดไว้ในตอนท้าย กับ Synthesizer ที่จุดนี้ไม่มีใครหยุดเพดานเสียงสุดพิสดารเกินคาดเดาของพวกเขาได้แล้วจริง ๆ ยิ่งกีตาร์ของแน็ทในช่วงท้ายเหมือนบูสต์อะไรเพิ่มเข้าไปสักอย่างทำให้เสียงหนาขึ้นกว่าปกติ แล้วเล่นเป็นโน้ตโดด ๆ ขึ้นมาทำให้เพลงเท่ขึ้นเป็นกอง ก่อนจะจบโชว์ด้วยเพลงฮิต ดีออก ที่กรูฟย้วยสุดอะไรสุดจนเราต้องเลื้อยตาม สำหรับเราแล้วคิดว่าโชว์ที่เพิ่งจบไปเป็นอีกโชว์ที่ดีที่สุดของ Summer Dress ที่เคยดูมา กับการอาเรนจ์ดนตรีใหม่จนละเมียดขึ้นอีกหลายเท่าตัว
ก่อนถึงเวลาตามที่ตารางแจ้งไว้นิดหน่อย backing track ดนตรีป๊อปสดใสก็ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงกรี๊ดของผู้ชม มือกลองของวงที่ทุกคนรอคอยก็ขึ้นมาประจำที่และหวดอย่างไม่ยั้งมือเป็นการเปิดโชว์ แล้วสมาชิกคนอื่น ๆ ก็ขึ้นมาจนครบวงพร้อมกับเล่นเพลง Bricolage Music เพลงเท่โทนสว่างจากอัลบั้มล่าสุด Toss ที่ผสมเอา world music และความเป็นแมธร็อกเข้าด้วยกัน เป็นเพลงที่ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จบแล้วก็เป็นเพลงดังของเขา Katachi ที่พอทรัมเป็ต intro ขึ้นมาเป็นซิงเกิ้ลโน้ตที่ทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดีก็พากันกรี๊ด และตบมือร้องตามกันอย่างถ้วนหน้า Shugo Tokumaru กล่าวทักทายแฟนเพลงพร้อมกับหยิบ iPhone ขึ้นมาอ่านและพูดว่า ‘ยินดีที่ได้รู้จัก’ แบบเขิน ๆ เรียกเสียงเฮจากคนดูดังลั่น ก่อนที่จะเล่นเพลงจากอัลบั้มชุดใหม่ชื่อ Taxi ที่แอบใส่ความ neo-soul นิด ๆ อัพบีตหน่อย มีจังหวะยกให้เราโยกกันเข้าเคล็ด ต่อด้วยเพลงที่เปิดมาด้วยการเป่าลูกโป่งและปล่อยลมออกเป็นเสียงฟิ้ววววว กับเพลงชิบุย่าเกะติดหูที่มีท่อน ‘ลั้น ลั้น ลั้น ลั้น ลา’ อย่าง Poker จากอัลบั้ม In Focus? และ Lift จากงานชุดใหม่ มีช่วงนึงที่เกิดปัญหาทางเทคนิค ไม่แน่ใจว่าปลั๊กหลุดหรืออะไร ช่วงนั้นก็มีเพลงขึ้นคลอไปเรื่อย ๆ จนเมื่อแก้ปัญหาได้แล้วเสร็จชูโกะก็โซโล่กีตาร์เพลงโฟล์กขับกล่อมพวกเราในเพลง The Mop และ Decorate ที่แฟน ๆ พากันร้องตาม
ชูโกะทักทายคนดูอีกครั้งและแนะนำสมาชิกวง ก่อนจะเริ่มเล่นเพลงที่นักดนตรีทุกคนช่วยกันตบมือเข้าจังหวะอย่างพร้อมเพรียงใน Green Rain และโฟล์กจังหวะกลาง ๆ อย่าง Such a Color ส่วนเพลง Hikageno จากชุดใหม่ก็ถูกเอามาทำเป็นเพลงคันทรีจนเราเหวอเลย แถมนักดนตรีผู้หญิงในวงก็ปีนขึ้นไปเล่นกีตาร์บนโต๊ะ พร้อมกับมือคีย์บอร์ดก็เอาผ้ามาพัดให้ผมของเธอปลิว มีแกล้งกันมุ้งมิ้งด้วยอะ ง่อววว ต่อด้วย Video Kill the Radio Star ที่ชูโกะเล่นอูคูเล่เล่ได้น่ารักน่าชังและทุกคนตบมือร้องตามเป็นภาพที่กุ๊งกิ๊งมากจริง ๆ ตามมาด้วยเพลงช้า La La Radio ที่เหมือนจะน่ารักฟังสบายหรอก เล่น ๆ ไปแอบมีความหน่วงเมาเฉยเลย พอจบจากเพลงนี้ก็เป็นเพลงฮิตของเขาอย่าง Rum Hee ที่แฟน ๆ ร้องลั่นทันทีที่ได้ยินอินโทร ตอนท้ายเพลงเขาแนะนำตัวสมาชิกอีกครั้งพร้อมกล่าวว่า ‘ผมจะกลับมาอีกครับ’ เป็นภาษาไทยยาหอมกันจริง ๆ เล้ย
ช่วงสุดท้ายของโชว์แล้ว พวกเขาเล่นเพลง Down Down ที่อาเรนจ์ใหม่ให้แอบมีความร็อกแอนด์โรล แล้วยังให้นักดนตรีผลัดกันโซโล่พลางแกล้งแหย่กันเล่น ก่อนจะปิดท้ายที่อังกอร์กับ Parachute ที่นักดนตรีทุกคนคว้าไม้กลองมายืนเคาะกันอย่างเมามันจนจบเพลง ผู้ชมพากันตบมือยาวนานเหมือนไม่อยากให้โชว์ในค่ำคืนนี้จบลง
โชว์ทั้งหมดชั่วโมงนิด ๆ ของพวกเขาเป็นอะไรที่มอบความคาดเดาไม่ได้ให้อยู่เรื่อย ๆ มีไดนามิกของพลังงานจากเพลงที่มากบ้างน้อยบ้าง แต่บาลานซ์ออกมาได้ดี และเติมเต็มความสุขให้คนดูได้แบบท่วมท้น รวมไปถึงวงเจ้าบ้านทั้งสามวงก็แสดงความสามารถกันอย่างเต็มศักยภาพ เชื่อว่าหลายคนที่ตัดสินใจเลือกงานนี้คงรู้สึกเหมือนกันว่าคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่มา และหลังจากคอนเสิร์ตสิ้นสุดลง ชูโกะและนักดนตรีคนอื่น ๆ ก็ออกมานั่งแจกลายเซ็นให้กับแฟนเพลงที่ต่อคิวยาวเหยียด แต่บรรยากาศก็ยังอบอุ่นเป็นกันเองเมื่อทุกคนถ่ายรูปและแบ่งปันรอยยิ้มชื่นมื่น
จบไปแล้วกับ ระเห็ดเตร็ดเตร่ Shugo Tokumaru Live in Bangkok by Seen Scene Space ยังเหลือระเห็ดอีกสามงานให้ไปเตร็ดเตร่ ทั้ง JMSN, DEAN และงานเปิด De Commune รออ่านกันด้วยล่ะ!